"แมนยู ปิศาจผู้หลับไหล คำนี้คงมิใช่คำกล่าวเกินจริง นับแต่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน วางมือ เมื่อปี 2013 ยูไนเต็ด ถึงแม้ผ่าน กุนซือ(ทั้งตัวจริงและขัดตาทัพ)ไปแล้ว 8 ราย แต่พลพรรคปีศาจแดง ยังไม่เคยไปถึงจุดที่เคยยิ่งใหญ่อีกเลย เมื่อก่อนเหล่าแฟนผี เคยล้อเลียน เหล่าแฟนหงส์ว่า ต้องรอถึง 30 ปีกว่าจะได้แชมป์พรีเมียร์ลีก อีกครั้ง แต่วันนี้เผลอแปบเดียวก็ 11 ปีแล้วเหมือนกันนะครับ ที่ผีแดงร้างราความสำเร็จ จุดเริ่มต้น ปี 2013 หลังจาก จบแมตช์ที่เอาชนะ วิลล่าไป 3-0 และมีประตูสุดสวยของ ฟานเพอร์ซี่ (ที่ทำแฮตทริคในนัดนี้) บรรจง ฮาล์ฟวอลเล่ย์ จากบอลยาวของ รูนี่ย์ เข้าประตูไปแบบไม่ต้องจับ ตูมเดียวหาย ส่งผลให้แมนยูฯคว้าแชมป์ สมัยที่ 20 ทันที และหลังจบเกม แมตช์สุดท้ายที่แมนยู เสมอ กับ เวสต์บรอมบริช อัลเบี้ยน ไปอย่างสุดโหด ด้วยสกอร์ 5-5 ป๋าเฟอร์กี้ ก็กล่าวอำลาต่อหน้าแฟนบอลในโอล์ดแทรฟฟอร์ด โดยมีเหตุผลส่วนตัวเรื่องครอบครัวที่เขาต้องดูแล และขอมอบทายาทอสูรไว้ให้กับ เดวิด มอยส์ กุนซือ เอฟเวอร์ตัน หวังว่าจะพาปิศาจแดง บินสูงได้เหมือนเขาเพราะเขาได้มอบนักเตะที่มีศักยภาพเพียงพอ อยุ่ในช่วงพีคของอายุ และระบบที่เขาวางไว้ ทำให้ทีมไปต่อได้แน่นอน แต่ป๋าเคยบอก มอยส์ไว้ว่า อย่าโล๊ะ สตาฟโค้ช ชุดเก่าของแมนยูออก เพราะทีมงานเหล่านี้รู้ดีว่าจะต้อง จัดการอย่างไรกับนักเตะ แต่สุดท้าย มอยส์ ก็โล๊ะทีมงานเก่าๆของป๋าออก แล้วผลงานก็เป็นอย่างที่เห็นครับ ในกรณีของมอยส์ อาจจะพูดได้ว่าเป็นเรื่องของฝีมือ หรือชื่อชั้น ก็ยังพอจะสันนิษฐานว่าเป็นไปแบบนั้นได้ แต่หลังจากนั้น ยูไนเต็ด ใช้กุนซือไปแล้ว 7 ราย แต่แมนยูของเราก็ยังไม่ฟื้นซักที ในเรื่องนี้มีองค์ประกอบอะไรบ้าง ที่ทำให้ทีมที่ยิ่งใหญ่ ที่ป๋าเคยมอบไว้ให้เป็นมรดก และเคยบอกแนวทางที่มอบไว้ให้สานต่อ ไปไม่ถึงฝัน ผู้จัดการทีม หลังจากมอยส์ กิกส์ ที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์ คุมทีมเข้ามาขัดตาทัพคงจะบอกอะไรไม่ได้ชัดเจน แต่หลังจากนั้น ก่อนจะถึง เทนฮาก มีทั้ง ฟานกัล,มูรินโญ่,โซลชา,คาร์ริค และ รังนิค ทุกคน ก็ยังไม่เคย พาแมนยู ไปได้ถึงจุดที่ใกล้ความสำเร็จแบบที่ป๋าเคยทำได้อีกเลย แม้จะยังไม่ต้องถึงขนาดป๋า แต่ให้เป็นทีมที่ลุ้นแชมป์ได้สนุกหน่อย เหมือนกับที่ลิเวอร์พูลของ คล๊อป และ อาร์เซนอล ของ อาร์เตต้า ทำได้ พลพรรคปิศาจแดง ก็ยังไม่เคยเข้าใกล้จุดนั้นเลย สิ่งที่น่าแปลก คือ มีข่าวลือหลุดมาตลอด คือแมนยู ค่อนข้างมีปัญหา ในเรื่องเชิงการบริหาร และสปิริต บรรยากาศในห้องแต่งตัว คนที่ทำให้เขาลือนี้ ดูมีมูลที่สุด คงไม่พ้น น้ามู ซึ่งเคยออกมาบอกตรงๆ ว่า บอร์ดไม่เคยซื้อนักเตะที่เขาขอไปเลย ทั้งเซนเตอร์ ที่มีปัญหา และเปริซิซ ที่เขาอยากได้ รวมถึงคนอื่นๆอีก แต่ในขณะเดียวกัน นักเตะที่เขาไม่อยากได้ อย่าง เฟร็ด สโมสรกลับซื้อมา เป็นตัวเลือกให้เขาใช้ หรือแม้แต่ โรนัลโด้ ที่เคย เอ่ยปากให้สัมภาษณ์ว่า ที่เขากลับมายูไนเต็ดรอบ 2 ทุกอย่าง กลับดูเหมือนเดิม ต้ังแต่เขายังอยู่กับ ยูไนเต็ดรอบแรกเลย ทุกอย่างไร้การพัฒนา นับตั้งแต่ป๋าออกไป นั่นคือสิ่งที่พี่โด้ พูดไว้ จริงอยู่ที่ผู้จัดการทีมที่เก่ง ต้องสามารถบริหารทีมให้ไปถึงความสำเร็จได้ แม้จะต้องอยู่ในสถาวะใดก็ตาม แต่ถ้าบางอย่างมันฝังลึก จนเราไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ การเดินจากมา หรือ เลือกจะไม่รับงานนั้น อาจเป็นทางที่ง่ายกว่า ถ้าจะให้เห็นตัวอย่างที่ง่ายสุด ก็คือ เป๊บ กวาร์ดิโอล่า กุนซือ ที่เราเห็นแล้วว่า ไม่ว่าอยู่ทีมไหน เขาก็มีความสามารถพอที่จะให้ทีมเหล่านั้นเป็นแชมป์ได้ แต่ใครจะรู้บ้างว่า เป๊บ ค่อนข้างมีเงื่อนไขพอสมควร กับทีมที่เขาเลือก นั้นหมายถึง เขาต้องมีสิทธิขาดเพียงพอในการเลือกทีม และทีมนั้น ต้องมีศักยภาพ เพียงพอที่จะก้าวไปพร้อมกับเขา จนถึงจุดที่สำเร็จได้ แต่กลับกัน ที่แมนยู ทำไม น้ามู พี่โอเล่ รังนิค กลับเคยออกมาพูดเหมือนกันว่า มีนักเตะบางคนที่ยอมแพ้ และเหมือนลงไปเล่นเพียงเพื่อรับเงินเดือนภายใต้ชุดของยูไนเต็ด เหตุใด ทั้ง 3 คน กลับถึงยอมเลือกนักเตะที่ดูธรรมดากว่าคนอื่น อย่างแมคโทมิเนย์ ลงสนาม เพราะมีจิตใจที่กระหาย และพร้อมทำเพื่อทีมมากกว่าคนอื่น คุณภาพนักเตะ และดีเอ็นเอ ที่หายไป ในยุคของ ป๋า แม้ว่าจะเหลือเวลา กี่นาทีก็ตาม แฟนผียุคนั้น จะยังดูเกมจนจบแน่นอน เพราะนักเตะยุคป๋า จะไม่เคยยอมแพ้ใครเป็นอันขาด จนกว่าจะสิ้นเสียงนกหวีด จนหลายครั้ง ทีมกลับมาชนะได้หลายครั้ง จนกระทั่งสื่อต้องขนานนาม 5 นาทีสุดท้าย ว่า เฟอร์กี้ไทม์ เราอาจเรียกได้ว่านั่นคือ ทัศนคติที่ถูกปลูกฝังจนกลายเป็นดีเอ็นเอ ให้นักเตะแมนยู ทุกคนได้ดำเนินรอยตาม แม้กระทั่งนักเตะที่ อาจดูธรรมดา เมื่อย้ายไปทีมอื่นอย่าง จอนนี่ โอเชีย ยังเคยเป็นนักเตะสารพัดประโยชน์ ที่เล่นได้อย่างแข็งแกร่ง เมื่อยามอยู่ภายใต้การคุมทีมของป๋า แต่เมื่อผ่านยุคป๋า ไปแล้ว ดีเอ็นเอเหล่านี้ ค่อยๆหายไปจากทีม ไม่เว้นแม้กระทั่ง ลูกหม้อ อย่าง แรชฟอร์ด ,ลินการ์ด และปอกบา ที่ดูจะสนใจ เรื่องนอกสนามมากกว่า มิหนำซ้ำบอร์ดบริหาร ยังซื้อนักเตะ ที่ตามใจตัวเอง มากกว่าความต้องการของ ผู้จัดการทีม นักเตะที่ตกทอดมาถึงผู้จัดการที่รับช่วงต่อ จึงเป็น นักเตะที่มีอาชีพนักเตะ มากกว่า นักเตะอาชีพที่ทำเพื่อสโมสร และไม่แปลกนัก ที่จะมีนักเตะเดินเล่น นักเตะที่เล่นเพื่อตัวเอง มากกว่าทีม และในเรื่องเดียวกันนี้ แฟนผีหลายคน อาจจะเคยบ่น บรูโน่ ว่าเป็นพวกขี้บ่น วิ่งพล่านไปทั่ว อะไรก็แล้วแต่ แต่ก็ต้องบอกว่า ผมเองกลับรู้สึกดีมากกว่า ที่มีนักเตะที่ไม่ยอมแพ้แบบนี้ ดีกว่าเห็นพวกเดินเล่น พวกเลี้ยงบอลเพื่อไปยิง(คนเดียว) และทั้งหมดทั้งมวลนี้ เราต้องยอมรับว่า นักเตะบางคนตอนนี้ ไม่ดีพอจริงๆ ที่จะให้ยูไนเต็ดบินสูง ตราบใด ที่เรายังไม่มี ผู้จัดการทีม ที่ทำให้นักเตะเล่นลืมตาย ได้เหมือนป๋าอีก ผู้บริหาร และการจัดการของทีม คงปฏิเสธ ไม่ได้ว่า การเข้ามาของ ตระกูลเกลเซอร์ จะทำให้ทีมแมนยู ตกต่ำลง เพราะถึงแม้ว่า ช่วงแรกที่เข้ามาเมื่อปี 2005 แมนยู ก็ยังมีแชมป์ มีความสำเร็จอยู่บ้าง แต่นั่นอาจเป็นเพราะ ป๋าคุมทีม และ หนึ่งในผู้มีอำนาจ ทรงอิทธิพลในการบริหาร แต่หลังจากป๋า ขึ้นไปเป็นบอร์ดบริหารแล้ว การบริหารหลายๆอย่าง ก็ตกไปอยู่กับคนที่ไม่เข้าใจ เกมฟุตบอล จนทำให้หลายครั้งเราไม่เข้าใจกับการเลือกซื้อนักเตะ ทั้งการซื้อนักเตะที่หมดสภาพแล้วมาร่วมทีม การได้นักเตะที่ราคาแพงกว่าที่ควรจะเป็น หรือการถูกทีมอื่นปาดหน้าซื้อนักเตะที่ดีไป (กรณีของฮาแลนด์ ที่โซลชาเคยขอให้ซื้อ) นี่ยังไม่รวมถึงการจัดการเรื่องสนามซ้อมแคร์ริงตัน ระบบเยาวชนที่มีข่าวลือว่า มีปัญหา ก่อนหน้านี้ สิ่งเหล่านี้ เกลเซอร์จะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เป็นเพราะความไม่เข้าใจฟุตบอลของเขา เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ยูไนเต็ด ตกต่ำถึงทุกวันนี้ แม้จะเคยทุ่มเงินให้ฟานกัล ได้นักเตะระดับสูงหลายร้อยล้านปอนด์ ก็ตาม แต่สุดท้ายแล้ว แพนผีแดงอย่างเรา ก็พอได้ชื่นใจบ้าง เมื่อ อัศวิน อย่าง เซอร์ จิม แรตคลิฟฟ์ เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และ มีการเปลี่ยนผู้บริหาร ตลอดจนแนวทางการบริหารทีมของคนที่เข้าใจ ฟุตบอลมากขึ้น อย่างน้อย 11 ปีที่ผ่านมาของเรา ก็ได้เห็น การคว้านักเตะ ที่ไม่ต้องรอ 48 ชั่วโมงแล้ว แล้วเพื่อนๆ คิดเห็นอย่างไรกับสโมสรของเราบ้าง คอมเมนต์มาคุยกันได้นะครับกับผม รองเจชอบเล่าเรื่องขอบคุณภาพประกอบโดย / Official Manchester United Facebook Page: ภาพปก,ปกหลัง,ภาพที่ 1,ภาพที่ 2,ภาพ 3,ภาพ 4 ส่องนักบอลตัวเต็ง ดูสดระเบิดแมทช์สุดมันส์บน App TrueID โหลดฟรี !