บิ๊กแมตช์ประจำพรีเมียร์ลีก อังกฤษนัดกลางสัปดาห์ (นัดที่ 22) ก็ได้ผ่านพ้นไปแล้ว สำหรับการชิมลางของคู่ชิงชนะเลิศคาราบาว คัพในฤดูกาลนี้อย่าง "หงส์แดง" ลิเวอร์พูลที่เปิดแอนฟิลด์ต้อนรับการมาเยือนของ "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี ซึ่งผลการแข่งขันก็กลายเป็นลิเวอร์พูลนั้นถล่มเอาชนะเชลซีไปได้แบบขาดลอย 4-1 สำหรับผมเป็นการแข่งขันที่ค่อนข้างเซอร์ไพรส์พอสมควร เพราะด้วยความเป็นเกมใหญ่เป็นบอลสามหน้าและสถิติการเจอทีมใหญ่ของเชลซีในฤดูกาลนี้ค่อนข้างดีเลย ชนะท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ เสมอทั้งอาร์เซนอลและแมนเชสเตอร์ ซิตี แถมเกมแรกที่เจอกันก็เสมอกัน 1-1 ที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ในเกมนัดเปิดฤดูกาลของทั้งสองทีมและสำหรับเกมนี้ก็มีประเด็นมากมายให้พูดถึงเหมือนกัน ทั้งฟอร์มการเล่นของแต่ละทีม, ฟอร์มส่วนตัวของนักเตะ รวมไปถึงการทำหน้าที่ของกรรมการที่เรียกได้ว่า "กาว" อีกแล้ว จะมีประเด็นอะไรบ้างใน 5 ประเด็นที่ผมหยิบยกมา ไปดูกันเลยครับจารย์พอลท็อปฟอร์มไม่หยุดมีประเด็นให้พูดถึงไม่หยุดไม่หย่อนจริงๆ สำหรับผู้ตัดสินของพรีเมียร์ลีก ลีกที่ขึ้นชื่อว่า "ดีที่สุดในโลก" แต่ผู้ตัดสินก็ขึ้นชื่อว่า "ห่วยที่สุดในโลก" เช่นเดียว และในเกมนี้ก็วนกลับมาเป็นคิวของ "จารย์พอล" พอล เทียร์นีย์ ผู้ตัดสินที่ครั้งหนึ่งเคยโดนเยอร์เกน คล็อปป์ด่าออกสื่อเลยว่าเหมือนเทียร์นีย์มีปัญหากับตัวเขาและลิเวอร์พูล ส่วนในเกมนี้ผมว่าเทียร์นีย์คงมีปัญหาหรือไม่ชอบอะไรส่วนตัวกับเมาริซิโอ โปเช็ตติโนและเชลซีแล้วแหละเกมนี้เขาเป่าได้แบบค้านสายตารวมไปถึงการเป่าแบบ "อีหยังวะ" อีกด้วย เริ่มตั้งแต่ต้นเกมที่คอเนอร์ กัลลาเกอร์โดนเวอร์จิล ฟาน ไดจ์กปะทะในกรอบเขตโทษ แต่ทั้งเขาและทีมงาน VAR ก็ไม่ให้จุดโทษ (ส่วนตัวมองว่าจังหวะนี้ 50/50 สามารถให้หรือไม่ให้ก็ได้) นอกจากนี้ต้นเกมก็ยังมีอีกกรณีที่ไปแจกใบเหลืองให้กับมอยเซส ไคเซโดข้อหาโวยใส่เทียร์นีย์ในจังหวะที่เข้าแย่งบอลกับหลุยส์ ดิอาซซึ่งก็งงเหมือนกันว่าจังหวะนี้ฟาล์วยังไง เพราะไคเซโดก็เข้าสกัดที่บอล และเกมนี้ทั้งเกมเทียร์นีย์แจกใบเหลืองให้กับฝั่งเชลซีง่ามากๆ ง่ายจนถึงขั้นผมที่เป็นแฟนลิเวอร์พูลยังงงเลยว่าทำไมใบเหลืองของนักเตะเชลซีออกง่ายจัง ออกง่ายซะเหลือเกินแล้วคนที่โดนล้วนแล้วแต่เป็นผู้เล่นที่ต้องเล่นเกมรับด้วย เพราะนอกจากไคเซโดแล้วยังมีเบน ชิลเวลล์, เอ็นโซ เฟอร์นันเดซและอเล็กซ์ ดิซาซี แต่ชิลเวลล์นี่โดนเพราะข้อหาพุ่งล้ม แต่มันก็ทำให้เจ้าตัวเล่นยากและโดนเปลี่ยนตัวออกในช่วงพักครึ่งแต่ประเด็นใหญ่อยู่ที่พอเขาไม่เป่าให้เชลซีได้จุดโทษ แต่เขาดันเป่าให้ลิเวอร์พูลได้จุดโทษจากจังหวะที่ดิโอโก โชตาโดนเบอนัวต์ บาเดียชิลทำฟาล์วในกรอบเขตโทษแต่ดาร์วิน นูนเญซนั้นดันยิงไปชนเสา แถมในช่วงครึ่งหลังก็มีจังหวะที่เชลซีควรได้จุดโทษจริงๆ ก็ไม่เป่าให้เพราะเป็นจังหวะที่คริสโตเฟอร์ เอนคุนคูโดนฟาน ไดจ์กเตะบริเวณเท้าในช่วงนาทีที่ 73 จังหวะนี้อะมันน่าเป่ามากกว่าในช่วงครึ่งแรกที่กัลลาเกอร์โดนซะอีก มันชัดมากๆ แต่ทั้งเทียร์นีย์และ VAR ก็ไม่ให้ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมจังหวะถึงไม่เป็นจุดโทษของฝั่งเชลซี ยังไงมันก็ควรเป็นจุดโทษ 100% ซึ่งก็ไม่แน่เหมือนกันว่าถ้าหากพวกเขาได้จุดโทษลูกใดลูกนึง เกมนี้อาจจะไม่จบด้วยการโดนถล่มแบบนี้ก็ได้และก็เหมือนเดิมทุกครั้งหลังจบเกม หรือแม้กระทั่งระหว่างเกมด้วยซ้ำ แฟนบอลก็มาด่ากันตีกันเองในโซเชียล ส่วนกรรมการคนที่ทำให้เกิดข้อผิดพลาดอะหรอ ลอยตัวเหนือปัญหา โดนลงโทษทีก็แค่พักงานหรือลงไปเป่าลีกรองแค่นั้น ไม่ได้เสียผลประโยชน์แบบสโมสรที่เขาลงทุนอะไร น่าเบื่อเหมือนกันนะที่ต้องเจอกรรมการผีเข้าผีออก 1 วันดี 6 วันไข้แบบนี้เชลซีห่วยเองเกมนี้ถ้าหากเรื่องของกรรมการออกไปก็ต้องยอมรับว่าเชลซีเล่นได้แบบน่าแพ้มากๆ สู้ลิเวอร์พูลแทบไม่ได้เลยตลอดทั้งเกม (อันนี้ผมไม่ได้มโนขึ้นมาเองนะ แฟนเชลซีเองก็บ่นและยอมรับเช่นกัน) เกมนี้เป็นเกมที่ลิเวอร์พูลเอาชนะเชลซีได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดจริงๆ สามารถกดและโถมบุกใส่เชลซีได้ตลอด 90 นาทีซึ่งถ้าหากส่วนนึงชมหงส์แดงได้เต็มปาก อีกส่วนก็ต้องตำหนิเชลซีได้เต็มปากอีกเช่นกันเพราะอย่างที่บอกในชื่อหัวข้อในข้อนี้ไปที่เชลซีนั้นห่วยเอง พวกเขาเล่นได้ไม่สมกับฟอร์มที่เคยทำได้ดีกับทีมใหญ่ๆ ที่ผ่านมาเลยที่สามารถบุกไปถล่มสเปอร์และเสมอทั้งแมนซิตี้และอาร์เซนอล ไม่ได้เห็นฟอร์มแบบนั้นเลย ในเกมที่ถล่มสเปอร์อาจจะพูดได้ว่าก็คู่แข่งเหลือ 9 คนนี่ถล่มได้ก็ไม่แปลก แต่ถ้าดูในเกมจริงๆ จะเห็นได้ว่าเชลซีไม่ได้เล่นแย่อะไรเลย เล่นดีมากๆ ตั้งแต่เริ่มเกมถึงแม้จะเป็นเกมเยือน แต่ในเกมนี้ที่มาเยือนเหมือนกัน มันไม่ได้ใกล้เคียงกับการเห็นภาพที่เคยเล่นดีในเกมสเปอร์เลย เกมบุกก็โดนเกมรับลิเวอร์พูลเก็บกินหมด วันนี้โคล พาลเมอร์ที่แบกทีมมาตลอดก็โชว์ฟอร์มไม่ออก เกมรับก็ผิดพลาดส่วนบุคคลเยอะมากจนมีทำเสียจุดโทษอีกด้วยซ้ำ แดนกลางยิ่งไม่ต้องพูดถึง สู้ลิเวอร์พูลไม่ได้เลย พอชจับนักเตะเล่นมั่วซั่วไปหมด (อีกแล้ว) เอ็นโซไม่ได้เหมาะกับการเล่นตัวบนเลย ส่วนกัปตันกัลลาเกอร์ก็มีแต่พลังงาน แต่อย่างอื่นไม่ได้ช่วยอะไรเลย ผมเชื่อว่าถ้านูนเญซคมๆ ไม่แม่นเสาคานหรือไม่มีจอร์เจ เปโตรวิชเซฟช่วยในหลายๆ จังหวะ ผมว่าเชลซีมียับกว่านี้แน่แถมก็ไม่รู้ว่าต้องรออีกนานแค่ไหนที่โปเช็ตติโนจะให้จัดทีมแบบให้นักเตะเล่นตำแหน่งถนัด อย่างเกมนี้เอาแค่แบ็คขวาก็ได้มีมาโล กุสโต แบ็คขวาอาชีพก็ไม่ให้ลงเล่น จับนั่งเป็นสำรองก่อนที่จะส่งลงในครึ่งหลัง โอเคแหละ เกมก่อนหน้าดิซาซีนั้นทำผลงานได้ดี แต่เกมใหญ่แบบนี้ก็ควรให้นักเตะเล่นตำแหน่งที่ถนัดหรือเปล่าถ้าไม่ได้มีใครเจ็บหรืออะไร และพอกุสโตลงมาในครึ่งหลังก็มีจ่ายให้มิไคโล มูดริกแท็บอินยิงจ่อๆ แต่น่าเสียดายที่ข้ามคานไปเชื่อเถอะว่าถ้าโปเช็ตติโนเลิกอินดี้เมื่อไหร่นะ เชลซีดีขึ้นแน่นอนลิเวอร์พูลดุดันไม่เกรงใจใครไม่รู้ว่าเป็นเพราะการประกาศอำลาของเยอร์เกน คล็อปป์หลังจบฤดูกาลนี้หรือเปล่าที่ทำให้ 2 เกมล่าสุดที่ลงเล่นหลังจากการประกาศ ลูกทีมของคล็อปป์นั้นเล่นได้อย่างสุดยอด ดุดันและโหดเหี้ยมมากๆ ยิ่งบวกกับพลังแฟนบอลในแอนฟิลด์ที่ปกติขึ้นชื่ออยู่แล้วพอเจอประกาศของคล็อปป์เข้าไป เสียงมันยิ่งกระหึ่มก้องแอนฟิลด์เข้าไปอีก ยิ่งส่งเสริมพลังงานให้กับนักเตะขึ้นไปอีกในเกมนี้ลิเวอร์พูลยังคงแนวทางการเล่นแบบปกติแบบที่เป็นมาที่เดินหน้าฆ่ามัน เพรสซิงสูงตั้งแต่แดนบนและเข้าทำแบบรวดเร็ว ฉกฉวยโอกาสที่เชลซีผิดพลาดได้บ่อยครั้ง เพราะสถิติที่ทาง Opta Analyst บอกมาคือลิเวอร์พูลสามารถเอาบอลกลับมาครองได้ในแดนบุกถึง 18.8% หรือเรียกง่ายๆ ว่าสามารถเอาบอลกลับมาครองได้ในแดนเชลซีถึง 18.8% ส่วนเชลซีนั้นเอาบอลมาครองในลิเวอร์พูลได้เพียง 3.3% ส่วนเกมรุกยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย หงส์แดงผ่านบอลในแดนเชลซีได้ถึง 341 ครั้ง ส่วนเชลซีผ่านบอลในแดนหงส์แดง 209 ครั้ง ลิเวอร์พูลผ่านบอลเข้ากรอบเขตโทษเชลซีได้ถึง 45 ครั้ง มากกว่าเชลซีเกือบ 3 เท่า (17 ครั้งของเชลซี) ส่วนการยิงประตูนั้นลิเวอร์พูลก็มีโอกาสถึง 28 ครั้ง ส่วนเชลซีแค่ 4 ครั้งเท่านนั้นนอกจากนี้ก็ต้องชมผู้เล่นลิเวอร์พูลจริงๆ ว่าเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมจริงๆ ในเกมนี้หาคนที่เล่นแย่ไม่มีเลยตั้งแต่เกมรับยันเกมรุก ทุกคนเล่นได้อยู่ในระดับสูงจริงๆ ตัวนูนเญซที่ถึงแม้จะยิงชนเสา+คานไป 4 ครั้งแต่ภาพรวมแล้วก็ถือว่าทำได้ดีเลย คุกคาม ปั่นป่วนแนวรับของเชลซีได้อยู่ตลอดเรียกได้ว่าเกมนี้เป็นเกมที่ลิเวอร์พูลสามารถเอาชนะเชลซีได้แบบราบคาบจริงๆ ครับน้องแบรดลีย์เปิดซิงประตูแรกมีส่วน 5 ประตูใน 2 เกมหลังสุด (ยิง 1 แอสซิสต์ 5) นี่คือสถิติของเจ้าหนูคอเนอร์ แบรดลีย์ แบ็คขวาดาวรุ่งที่ได้รับโอกาสลงเล่นในช่วงที่เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์มีอาการบาดเจ็บครับ เรียกได้ว่าฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลเหมือนถูกหวยรางวัลที่ 1 สองงวดติดแบบนั้นเลย เพราะก่อนหน้านี้ก็มีจาเรลล์ ควอนซาห์ที่แจ้งเกิดขึ้นมาได้แบบเต็มตัวและเซอร์ไพรส์มากๆ มาถึงตอนนี้ก็ถึงคิวของน้องแบรดลีย์บ้างแล้วที่ตอนนี้เข้าไปในนั่งใจของแฟนๆ ได้เป็นที่เรียบร้อยเกมนี้นอกจากจะแอสซิสต์ 2 ประตูให้กับโชตาและโดมินิก โซโบซไลแล้ว เขาก็ยังสามารถยิงประตูแรกให้กับทีมชุดใหญ่ได้อีกด้วยและเป็นประตูที่สวยและคมมากๆ ผมว่าสำหรับเด็กคนนึงที่ได้เติบโตมาก็ใฝ่ฝันในการลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ ได้ลงเล่นในเกมใหญ่ๆ แบบนี้ก็ยิ่งปลื้มไปอีกและที่มันสุดยอดก็คือทำผลงานได้ดีและยิงได้ในเกมใหญ่ ผมว่านี่ก็แทบจะเกินฝันไปมากๆ แล้วนะ และนี่คือสิ่งที่ผมรอคอยมาตลอดหลายปี ในที่สุดเทรนท์ก็จะได้มีคนมากดดันเขาในตำแหน่งแบ็คขวาซักที หลังจากที่ก่อนหน้านี้ไม่มีใครจะเข้ามากดดันเขาได้เลย ไม่ว่าจะเล่นแย่หรือฟอร์มตกยังไงก็ไม่เคยโดนดรอปเลย ในวันนี้เทรนท์คงต้องมีร้อนๆ หนาวๆ กับแบรดลีย์บ้างแล้วล่ะ ถ้าประมาทหรือฟอร์มตกขึ้นมาเมื่อไหร่ มีสิทธิโดนดาวรุ่งแย่งตำแหน่งก็ได้ และนี่คือสถิติหลังเกมของน้องแบรดลีย์ที่มาพร้อมกับรางวัล Man of The Match 2 เกมติดต่อกันครับสัมผัสบอล 65 ครั้งผ่านบอล 31 ครั้ง (แม่นยำ 80%)ผ่านบอลเข้าสู่พื้นที่ Final Third 7 ครั้งแย่งบอลมาครอง 2 ครั้งชนะการปะทะ 2 ครั้งเรียกฟาล์ว 4 ครั้ง (มากที่สุดในสนาม)ชนะการดวล 7 ครั้ง (มากที่สุดอันดับ 2 ของสนาม)คีย์พาส (สร้างโอกาส) 4 ครั้ง (มากที่สุดในสนาม)แอสซิสต์ 2 ครั้งยิง 1 ประตูหนูนกับสถิติแม่นเสาคานไม่รู้ว่าในเกมนี้เรื่องไหนจะเป็นคอนเทนต์มากกว่ากันระหว่างฟอร์มที่สุดยอดของแบรดลีย์หรือคอนเทนต์ของ "คอนเทนต์ ครีเอเตอร์" อย่างดาร์วิน นูนเญซที่ถ้าเปลี่ยนอาชีพไปเป็นหมอดูหรือคนทำนายดวงก็คงมีลูกค้ามากมาย เพราะ "แม่น" ซะเหลือเกิน แต่ไม่ได้แม่นในการทำประตูนะ แต่แม่นในการยิงชนเสาชนคานนี่แหละ ปัดโธ่!!!! ขนาดได้จุดโทษก็ยิงไปชนเสา ได้โหม่งจ่อๆ ก็ชนคาน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะยิงแม่นหรือปีชงของน้องหนูนกันแน่แม่นขนาดไหนน่ะหรอ? ก็แม่นซะจนเป็นสถิติใหม่ของพรีเมียร์ลีกนับตั้งแต่มีการเก็บสถิติมาเลยทีเดียวที่นักเตะคนนึงจะยิงชนเสาหรือคานได้ 4 ครั้งในเกมเดียว ตอนแรกน่ะแค่ทาบสถิติที่เคยมีนักเตะคนอื่นๆ ทำได้คือการยิงชนเสา+คานในเกมเดียวที่ 3 ประตูต่อจากเลอันโดร ทรอสซาร์ดและติโม แวร์เนอร์ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็กลายเป็นเจ้าของสถิติคนใหม่ในการยิงชนเสาและคานมากที่สุดในเกมพรีเมียร์ลีกเกมเดียว แถมในช่วงต้นเกมเขาก็ทำสถิติยิงชนเสาและคานถึง 7 ครั้ง (รวมตลอดฤดูกาล) ซึ่งมากกว่าผู้เล่นคนอื่นๆ ในลีกถึง 2 เท่า จะแม่นอะไรขนาดนั้นล่ะพ่อเอ๊ยยย คอนเทนต์แท้ๆแต่พูดถึงคอนเทนต์ไปแล้วจะไม่พูดถึงฟอร์มในเกมเลยก็จะเป็นการแกล้งนูนเญซเกินไป เพราะถ้าไม่มีคอนเทนต์ชนเสาคาน เกมนี้เป็นเกมที่นูนเญซเล่นได้ดีเลยทีเดียว แถมเล่นได้ดีทั้ง 2 ตำแหน่งที่ถูกจับเล่นเลย เพราะในครึ่งแรกเขาโดนคล็อปป์จับเล่นในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้า ส่วนในครึ่งหลังเล่นริมเส้นตอนที่โคดี กัคโปลงมาเล่นแทนโชตาและสุดท้ายเขาก็มีแอสซิสต์มาฝากแฟนๆ หลังจากที่จ่ายให้ดิอาซยิงได้ในช่วงท้ายเกมเป็นประตูตอกฝาโลง แถมภาพรวมเขาก็สามารถเล่นงานแนวรับของเชลซีได้ตลอดทั้งเกม ไม่ว่าจะเป็นการทะลุทะลวงใส่คู่เซนเตอร์หรือการกระชากลากเลื้อยบริเวณริมเส้น เขาสามารถทำได้ดีเลย ดีมากๆ เลยด้วย น่าเสียดายที่ไม่มีประตูแต่อย่างน้อยก็ไม่เสียความมั่นใจมากเกินไปเพราะยังมีแอสซิสต์ติดไม้ติดมือกลับบ้านสำหรับผมแล้วนูนเญซขาดแค่ประตูแค่นั้นจริงๆ ที่เหลือผมไม่ห่วงอะไรอีกแล้ว ภาษาอังกฤษก็ดีขึ้นเรื่อยๆ การคุกคาม การมีส่วนร่วมกับเกมทั้งรับและรุกเขาทำได้ดีจริงๆ พลังงานก็มีเยอะเช่นเดียวกับแพสชันที่ลงเล่นเกิน 100 ทุกเกม แอสซิสต์ก็มีมาฝากเรื่อยๆ สถิติที่น่าสนใจหลังเกมชัยชนะเกมนี้ทำให้ลิเวอร์พูลหยุดสถิติไม่ชนะในการเจอเชลซีในทุกรายการรวมกัน 8 เกมก่อนหน้านี้ และชนะเชลซีเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่กันยายน 2020นับตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้ว (2022/2023) เชลซีกลายเป็นทีมในพรีเมียร์ลีกที่แพ้ในเกมเยือนมากที่สุด (รวมทุกรายการ) พวกเขาแพ้ไปแล้ว 22 เกมเยือนและแพ้ไปแล้ว 6 เกมจาก 7 เกมเยือนหลังสุดในเกมนี้ลิเวอร์พูลมีโอกาสยิงไปทั้งหมด 28 ครั้ง ทำให้เข้าไปร่วมสถิติสูงที่สุดในการมีโอกาสยิงนับตั้งแต่มีการเก็บสถิติมา (2003/2004) ในการเจอกับเชลซี และในเกมนี้ที่หงส์แดงยิงเข้ากรอบ 13 ครั้งทำให้เชลซีโดนส่องตรงกรอบมากที่สุดต่อหนึ่งเกม (เฉพาะพรีเมียร์ลีก)4-1 กลายเป็นผลการแข่งขันที่ห่างมากที่สุดในการเจอกับเชลซีในเกมพรีเมียร์ลีก นับตั้งแต่พฤษภาคม 2012 ที่ในตอนนั้นก็ชนะในสกอร์เดียวกันนี้โดยเกิดขึ้นในยุคของเซอร์เคนนี ดัลกลิชชัยชนะเกมนี้ทำให้เยอร์เกน คล็อปป์ลายเป็นผู้จัดการทีมคนที่ 7 ในประวัติศาสตร์ของพรีเมียร์ลีกที่ทำทีมชนะได้ถึง 200 เกม และมีเพียงเป๊ป กวาร์ดิโอลาที่เหนือกว่าคล็อปป์ในจำนวนเกมที่น้อยกว่าในการเก็บชัยชนะ 200 เกม โดยเป๊ปใช้เวลาเพียง 269 เกม ส่วนคล็อปป์ใช้เวลา 318 เกมคอเนอร์ แบรดลีย์กลายเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดของลิเวอร์พูลที่สามารถทำทั้งประตูและแอสซิสต์ได้ในเกมเดียว (พรีเมียร์ลีก) ด้วยวัย 20 ปี 206 วัน ต่อจากราฮีม สเตอร์ลิงที่เคยทำไว้ในเกมพบกับเซาแธมป์ตัน สิงหาคม 2014 (19 ปี 252 วัน)ดาร์วิน นูนเญซยิงชนเสาและคานในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้รวมกันไปแล้ว 9 ครั้ง มากกว่านักเตะคนอื่นๆ ในลีกถึง 3 เท่า และกลายเป็นคนแรกที่ยิงชนเสาและคานถึง 4 ครั้งในเกมเดียว (เฉพาะพรีเมียร์ลีก) เกมนับตั้งแต่มีการเก็บสถิติมา (2003/2004)นอกจากนี้หากรวมทุกรายการในฤดูกาลนี้ นูนเญซยังทำไปแล้ว 11 แอสซิสต์ให้กับลิเวอร์พูลซึ่งในบรรดานักเตะพรีเมียร์ลีกมีเพียงบูคาโย ซากาเท่านั้นที่ทำได้มากกว่าเขาที่ 12 แอสซิสต์การพลาดจุดโทษของนูนเญซในเกมนี้ ทำให้ลิเวอร์พูลยิงจุดโทษพลาดไปแล้ว 40 ครั้งในเกมพรีเมียร์ลีก มีเพียงแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดทีมเดียวที่พลาดมากกว่าหงส์แดงที่ 43 ครั้งบทความที่เกี่ยวข้องดาวรุ่งแจ้งเกิด (อีกแล้ว)!!! 4 ประเด็นหลังเกมลิเวอร์พูล vs นอริชซิตีวิเคราะห์ 4 เหตุผล เยอร์เกน คล็อปป์อำลาลิเวอร์พูลเจอกันเวมบลีย์! 5 ประเด็นหลังลิเวอร์พูลเสมอฟูแลมเข้าชิงคาราบาว คัพหนูนโชตาเบิ้ลคู่!!! 5 ประเด็นหลังเกมลิเวอร์พูลบุกถล่มบอร์นมัธเหตุใดวาตารุ เอนโดถึงสำคัญกับลิเวอร์พูล จากกัปตันทีมชาติญี่ปุ่นสู่ตัวหลักหงส์แดงขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจากOpta AnalystOfficial Facebook และ Instagram ของลิเวอร์พูล (@liverpoolfc), เชลซี (@chelseafc) และพรีเมียร์ลีกOfficial X ของ Squawkaภาพปก 1, ภาพปก 2, ภาพปก 3, ภาพประกอบ 1, ภาพประกอบ 2, ภาพประกอบ 3, ภาพประกอบ 4 และภาพประกอบ 5 เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !