ต้องขอเกริ่นก่อนว่าบทความนี้จะเป็นความรู้สึก หรือความคิดเห็นของแฟนลิเวอร์พูลอย่างผมเพียงคนเดียว ที่มีต่อคู่ปรับตัวฉกาจแห่งยุคอย่าง "แมนซิตี้" นะครับ ถ้าหากผู้อ่านท่านใดมีความคิดเห็นที่อยากจะร่วมแชร์ก็สามารถแสดงความคิดเห็นแลกเปลี่ยนกันได้เลยนะครับประโยคหรือชื่อหัวข้อบทความนี้เป็นสิ่งที่ไม่เกินจริงเลยสำหรับโลกฟุตบอล หรือโดยเฉพาะสำหรับเหล่า “เดอะ ค็อป” ที่ลิเวอร์พูลในยุคของเยอร์เกน คล็อปป์ทำผลงานได้อย่างสุดยอด สุดจะบรรยายในรอบเกือบสิบปีที่ผ่านมา จากทีมที่เกือบได้แชมป์พรีเมียร์ลีกเมื่อฤดูกาล 2013-2014 ในยุคของเบรแดน ร็อดเจอร์ส (ซึ่งทีมที่กระชากแชมป์ไปก็คือแมนซิตี้นั่นเอง) กลายเป็นทีมที่ต้องมาเริ่มตั้งไข่ใหม่อีกครั้ง จนได้เยอร์เกน คล็อปป์เข้ามากอบกู้ จนกลายมาเป็น ”โคตรทีม” แห่งยุคก็ว่าได้หลังจากที่เสียฟิลิปเป้ คูตินโญ่ไปให้บาร์เซโลน่าด้วยค่าตัวมหาศาลในกลางฤดูกาล 2017-2018 แต่ลิเวอร์พูลก็ได้นำเงินจำนวนนั้นมาเล่นแร่แปลธาตุนำไปจัดการคว้าตัวเวอร์จิล ฟานไดจ์ค, อลิซอน เบคเกอร์ และฟาบินโญ่ 3 จิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่พาลิเวอร์พูลทำผลงานได้อย่างติดลมบนมาอย่างต่อเนื่องตลอดครึ่งทศวรรษ ทั้งการได้แชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก (2018-2019), แชมป์พรีเมียร์ลีก (2019-2020) และ 2ถ้วยแชมป์ชนแชมป์อย่างยูฟ่า ซูเปอร์คัพและแชมป์สโมสรโลก (ปี2020) และแชมป์ล่าสุดที่คว้าได้ก็คือ แชมป์คาราบาว คัพในฤดูกาล 2021-2022 พูดมาขนาดนี้และดูจากถ้วยรางวัลที่คว้ามาได้แล้ว แฟนๆ ทีมอื่นก็คงสงสัยว่าได้ถ้วยรางวัลมาประดับตู้เยอะขนาดนี้แล้วแฟนหงส์แดงยังจะไม่พอใจอะไรอีกหรอ สำหรับแฟนหงส์แดงอย่างผมจะบอกดีใจหรือไม่ที่ได้แชมป์ก็ต้องบอกว่าดีใจมากๆ ที่เห็นทีมรักประสบความสำเร็จ แต่ถ้าถามว่าพอใจหรือไม่ก็พูดได้ไม่เต็มปากเท่าไหร่นัก เพราะถ้าเทียบกับขุมกำลังและฟอร์มการเล่นตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็ต้องบอกว่าทีมหงส์แดงควรที่จะได้แชมป์หรือประสบความสำเร็จมากกว่านี้ โดยเฉพาะแชมป์พรีเมียร์ลีกที่การรอคอยอย่างยาวนาน 30 ปีเพิ่งจบลงไป แต่ความจริงแล้วควรจะได้มากกว่านี้ด้วยซ้ำถ้าหากไม่มี "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้เป็นเหมือนเสี้ยนหนามคอยขัดขวางการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกของลิเวอร์พูลนับตั้งแต่ปี 2008 ที่กลุ่มทุนอาบูดาบีที่นำโดยชีค มานซูร์ได้เข้ามาเทคโอเวอร์ทีมเรือใบสีฟ้าต่อจากอดีตนายกรัฐมนตรีของไทยด้วยมูลค่า 200 ล้านปอนด์ ซึ่ง ณ เวลานั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ฮือฮาที่สุดเรื่องนึงในวงการโลกฟุตบอลเลยก็ว่าได้ เพราะด้วยประวัติและดีกรีของตัวชีค มานซูร์เองแล้ว จำนวนเม็ดเงินที่พร้อมลงทุนในแมนซิตี้นับว่ามีมหาศาลนับไม่ถ้วน เหมือนกดสูตรปั๊มเงินก็ว่าได้ พร้อมกับมีข่าวลือ ณ ตอนนั้นว่าแมนซิตี้พร้อมจะสร้างดีลที่ค่าตัวระดับ 100 ล้านปอนด์กระชากตัวริคาร์โด กาก้า เพลย์เมคเกอร์สุดหล่อของเอซี มิลาน ซึ่งสุดท้ายดีลนั้นก็ไม่เกิดขึ้น แต่ แต่ แต่ก่อนหน้านั้นทีมที่พร้อมจะแสดงแสนยานุภาพทางการเงินทีมใหม่อย่างแมนซิตี้ก็จัดการกระชากตัว "โรบินโญ่" จากเรอัล มาดริดตัดหน้าเชลซีมาแบบช็อคโลกก็ว่าได้ เพราะเป็นดีลที่เกิดขึ้นวันสุดท้ายก่อนตลาดการซื้อ-ขายจะปิดลง แถมโรบินโญ่ก็แทบจะย้ายไปเชลซีแบบ 99.99 % แล้วด้วยซ้ำแต่สุดท้ายดีลก็ล่มและโรบินโญ่ก็โยกจากลอนดอนมาแมนเชสเตอร์แทน ถึงแม้สุดท้ายสตาร์แซมบ้าจะไม่ประสบความสำเร็จกับแมนซิตี้ แต่ดีลของเจ้าตัวกับแมนซิตี้ก็เป็นสัญญาณเตือน หรือสัญญาณเริ่มต้นว่าพวกเราเอาจริงนะ และหลังจากนั้นก็คือประวัติศาสตร์และตำนานของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ก่อนเริ่มฤดูกาล 2009-2010 แมนซิตี้ได้ทำการช็อคโลกฟุตบอลอีกครั้ง โดยที่พวกเขาเซ็นสัญญาคว้าตัวคาร์ลอส เตเบซแบบไร้ค่าตัว อดีตศูนย์ของอริร่วมเมืองอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่หมดสัญญาไป ซึ่งถือว่าเป็นการประกาศศึกตั้งแต่ก่อนเริ่มซีซั่นซะอีก และวันที่ 9 ธันวาคม 2009 แมนซิตี้ได้ทำการแต่งตั้งโรแบร์โต มันชินี่ กุนซือชาวอิตาเลียนเข้ามาคุมทัพแทนมาร์ค ฮิวจ์สที่ถูกปลดออกไป มันโช่เริ่มก่อร่างสร้างเรือใบสีฟ้าลำนี้มาเรื่อยๆ และได้คว้าแชมป์แรกมาจนได้ซึ่งแชมป์นั้นก็คือถ้วยเอฟเอ คัพในฤดูกาล 2010-2011 จนในฤดูกาล 2011-2012 แมนซิตี้ก็ได้คว้าตัวเซอร์จิโอ กุน อเกวโร่ ดาวยิงอาร์เจนไตน์จากแอตฯ มาดริด ด้วยค่าตัว 35 ล้านปอนด์พร้อมสัญญาระยะยาว 5 ปี ซึ่งจำนวนค่าตัว 35 ล้านปอนด์ในยุคนั้นถือว่าค่อนข้างแรงและแพงพอสมควร แต่สุดท้ายเอล กุนก็ตอบแทนความไว้วางของมันโช่ด้วยการเปิดตัวนัดแรกในพรีเมียร์ลีกด้วยการทำประตูได้ตั้งแต่นัดแรกที่ลงสนาม หลังจากถูกเปลี่ยนตัวลงมาในฐานะตัวสำรองในเกมที่พบกับสวอนซี ซึ่งพรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2011-2012 เป็นเหมือนศึกชิงแชมป์ของ 2 ทีมจากเมืองแมนเชสเตอร์ เพราะทั้งแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และแมนเชสเตอร์ซิตี้ต่างทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมจนการแข่งขันแย่งแชมป์สูสีกันมากๆ สูสีกันชนิดที่ว่าต้องมาตัดสินหาแชมป์กันยันนัดสุดท้ายของฤดูกาล และตัดสินแชมป์กันด้วยประตูได้-เสียนัดสุดท้ายของฤดูกาล 2011-2012 จ่าฝูงแมนซิตี้เปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์สที่กำลังดิ้นรนหนีตกชั้นอยู่ ณ ตอนั้น ส่วนทีมปีศาจแดงต้องไปเยือนซันเดอร์แลนด์ ภารกิจเดียวของแมนซิตี้ก็คือชนะเท่านั้น เพราะถึงแม้ว่าแต้มจะเท่ากันแต่ประตูได้-เสียก่อนเกมนัดสุดท้าย แมนซิตี้นำแมนยูอยู่ถึง 8 ลูก ซึ่งถ้าว่าการตามทฤษฎีแล้ว แมนยูจะยิงแซงแมนซิตี้ก็ทำได้แต่ในทางปฏิบัติแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ส่วนภารกิจของแมนยูที่นอกจากจะต้องชนะแล้วตัวเองยังต้องแช่งให้แมนซิตี้ไม่ชนะควีนส์ปาร์ค ซึ่งเกมทั้ง 2 สนามในวันนั้นอะไรๆ ก็ดูเหมือนจะเป็นใจให้แมนยูพลิกแซงแมนซิตี้คว้าแชมป์ลีกไปได้ เพราะแมนยูได้ยิงประตูขึ้นนำซันเดอร์แลนด์ไปได้ก่อนจากเวย์น รูนีย์ เพราะถึงแม้แมนซิตี้ก็ขึ้นนำได้ก่อนจากเปาโล ซาบาเลต้าในนาทีที่ 39 แต่ก็มาโดนตีเสมอจากลูกยิงของฌิบริล ซิสเซ่ในช่วงต้นครึ่งหลัง แถมผู้รักษาประตูของ QPR อย่างแพดดี้ เคนนี่ก็โชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอด เพราะหลังจากที่ซาบาเลต้ายิงเข้าไปแล้วหลังจากนั้นนักเตะแมนซิตี้ยิงยังไงก็ไม่ผ่านมือนายทวารคนนี้ไปได้ และราวกับเสียงดีใจโห่ร้องของผู้เล่นและแฟนบอลควีนส์ปาร์คดังไปถึงสนามของซันเดอร์แลนด์แฟนบอลแมนยูเมื่อทราบข่าวว่าแมนซิตี้โดนตีเสมอ พวกเขาก็กระโดดโลดเต้นดีใจกันแล้ว และสถานการณ์ยิ่งเป็นใจให้เหล่าปีศาจแดงเมื่อเจมี่ แมคกี้โขกประตูช็อคแฟนบอลแมนซิตี้ในนาทีที่ 65 ทำให้ QPR พลิกขึ้นนำแมนซิตี้ 1-2 เวลาการแข่งขันก็ดำเนินไปเรื่อยๆ จนเกมที่ซันเดอร์แลนด์จบลงด้วยการที่แมนยูเฉือนชนะไปได้ 0-1 จากประตูของรูนีย์ แฟนบอลแมนยูดีใจกันแล้ว เพราะอีกสนามที่เข้าสู่นาทีที่ 90 แมนซิตี้ยังโดนนำอยู่ ซึ่งสถานการณ์แบบนี้ถ้าผลทั้งสองสนามจบด้วยสกอร์นี้ แมนยูจะปาดหน้าแมนซิตี้เป็นแชมป์ในนัดสุดท้ายทันทีแต่แล้วตัดภาพกลับมาของเกมที่เอติฮัด สเตเดียมในนาทีแรกของการทดเวลา (กรรมการทดเวลาบาดเจ็บ 5 นาที) แฟนบอลซิตี้ก็กลับมามีความหวังอีกครั้ง เพราะเอดิน เชโก้โหม่งทำประตูให้ทีมตีเสมอได้ ซึ่งเกมก็ทำท่าจะจบลงด้วยผลเสมอแต่แล้วในนาทีที่ 93 กับอีก 20 วินาที อเกวโร่รับบอลจากบาโลเตลลี่ที่ล้มตัวและกวาดบอลมาให้ก่อนที่กุนจะจัดการหลอกผู้เล่นควีนส์ปาร์คหนึ่งทีและซัดลูกบอลเข้าไปที่เสาแรก ทำให้แมนซิตี้กลับมาขึ้นนำได้ซึ่งก็จบเกมด้วยสกอร์นั้น สุดท้ายประตูชัยของเอล กุนในนาทีที่ 93:20 ส่งให้แมนซิตี้กลับมาเป็นแชมป์ลีกสูงสุดในรอบ 44 ปี พร้อมกับเสียงพากย์ "Aguerooooooooo" ในตำนานของผู้บรรยายเกมในวันนั้นอย่างมาร์ติน ไทเลอร์ที่ทุกวันนี้ยังเป็นอะไรที่คลาสสิคสุดๆ และ "93:20" จะเป็นเลขที่เดอะ ซิตี้เซนจะไม่มีวันลืมได้เลยถ้าจะบอกว่าลูกยิงของอเกวรโร่ในวันนั้น หรือแชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2011-2012 จะเป็นจุดเริ่มต้นยุคทองแมนซิตี้ก็พูดได้ไม่ผิดนัก เพราะหลังจากวันนั้นจนถึงวันนี้ แมนซิตี้ทำการสั่นสะเทือนไปทั้งทั่วเกาะอังกฤษ รวมไปถึงสร้างความยิ่งใหญ่เรื่อยๆ ในโลกฟุตบอล นับตั้งแต่แชมป์พรีเมียร์ลีกซีซั่น 2011-2012 แมนซิตี้จัดการคว้าถ้วยแชมป์มาประดับตู้โชว์ได้อีก 14 ครั้ง ประกอบไปด้วย พรีเมียร์ลีก 4 สมัย (2013-2014, 2017-2018, 2018-2019 และ2020-2021), เอฟเอ คัพ 1 สมัยในฤดูกาล 2018-2019, ลีก คัพ 6 สมัย (2013-2014, 2015-2016, 2017-2018, 2018-2019, 2019-2020 และ 2020-2021) และคอมมูนิตี้ ชิลด์ 3 สมัย (2012, 2018 และ2019) ซึ่งในฤดูกาล 2018-2019 แมนซิตี้ก็ประกาศศักดาว่าตัวเองเป็น "ที่สุด" ในเกาะอังกฤษด้วยการเป็นทริปเปิ้ลแชมป์ กวาดแชมป์ในประเทศไปทั้งหมด แต่ในซีซั่น 2017-2018 แมนซิตี้ก็สร้างประวัติศาสตร์และสถิติใหม่อย่างมากมาย โดยเฉพาะสถิติแต้มคะแนนสะสมมากที่สุด "100 แต้ม" ทำลายสถิติเดิมของเชลซีที่เคยทำไว้ได้ 95 แต้มในฤดูกาล 2004-2005 และในฤดูกาล 2020-2021 ก็ทะลุเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศของถ้วยยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสรกับเชลซีแต่ก็แพ้ไปอย่างที่บอกไปว่าถ้าไม่มีแมนซิตี้ ลิเวอร์พูลคงได้แชมป์พรีเมียร์ลีกเยอะกว่านี้ ซึ่งแชมป์พรีเมียร์ลีก 2 สมัยใน 4 สมัยล่าสุดนั้น คือการแย่งแชมป์มาลิเวอร์พูล โดยฤดูกาล 2013-2014 เป็นลิเวอร์พูลเองที่แหกโค้งฟอร์มหลุดไปเองในช่วงท้ายจนแมนซิตี้แซงซิวแชมป์ไป ส่วนในฤดูกาล 2018-2019 ก็ขับเคี่ยวกับลิเวอร์พูลจนถึงนัดสุดท้ายของฤดูกาล เพราะในช่วงท้ายของฤดูกาลทั้งคู่ต่างเก็บแต้มชนะรวดมาได้หมด แต่ไฮไลท์ประจำฤดูกาลคือการที่แมนซิตี้เจอกับเลสเตอร์ ซิตี้ในเกมรองสุดท้ายที่เกมทำท่าจะจบลงด้วยผลเสมอแต่แล้ว "วินนี่" แวงซองต์ กอมปานี กองหลังกัปตันทีมก็มายิงไกลสุดสวยเสียบสามเหลี่ยมเป็นประตูชัยให้แมนซิตี้เฉือนชนะไป 1-0 และในนัดสุดท้ายก็ไปชนะไบรท์ตันฯ ถึงถิ่น 1-4 ที่ถึงแม้จะโดนนำไปก่อนก็ตาม โดยประตูของกอมปานีในนัดที่เฉือนชนะเลสเตอร์ไปได้ถือว่าเป็นหนึ่งในประตูที่สำคัญที่สุดในฤดูกาลนั้นเลยก็ว่าได้ เพราะถ้าหากแมนซิตี้ไม่สามารถชนะนัดนี้ได้ก็อาจจะทำให้หล่นลงมาเป็นรองจ่าฝูงและชวดแชมป์พรีเมียร์ลีกไปเลยก็ได้ แต่อีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญที่อาจจะเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้แมนซิตี้คว้าแชมป์พรีเมียร์ในซีซั่น 2018-2019 ก็คือ การสกัดบนเส้นแบบเพียงแค่ "11 มิลลิเมตร" ของจอห์น สโตนส์ที่ปฏิเสธประตูขึ้นนำของลิเวอร์พูลก่อนที่จบเกมแมนซิตี้จะเฉือนชนะไป 2-1 ในเกมที่เรือใบสีฟ้าเปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของหงส์แดง เพราะถ้าหากลิเวอร์พูลขึ้นนำไปได้ก่อน ผลการแข่งขันก็อาจจะลงเอยด้วยชัยชนะของลิเวอร์พูลก็เป็นได้ แต่การสกัดของสโตนส์ลูกนั้นทำให้แมนซิตี้ไม่เสียประตูไปก่อน แถมหลังจากแมนซิตี้ยังยิงประตูขึ้นนำได้ก่อนและชนะในที่สุด สุดท้ายในฤดูกาลนั้นแมนซิตี้เข้าป้ายคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกไปด้วยคะแนน 98 แต้ม และส่งให้ลิเวอร์พูลของเยอร์เกน คล็อปป์กลายเป็น "รองแชมป์ที่แต้มมากที่สุด" ด้วยคะแนน 97 แต้มซึ่งโดยลำพังลิเวอร์พูลมีแมนยู เชลซี อาร์เซน่อล สเปอร์ส คอยเป็นคู่แข่งแย่งแชมป์พรีเมียร์ลีกก็เหนื่อยอยู่แล้ว รวมไปถึงเลสเตอร์ที่สร้างเทพนิยายคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2015-2016 นี่ยังมีแมนซิตี้ที่เป็นทีมเงินถุงเงินถังเพิ่มเข้ามาเป็นคู่แข่งอีกทีมก็หนักกว่าเดิมอีก แต่แค่นั้นคงหนักไม่พอเท่าไหร่ แมนซิตี้เล่นจัดการนำเอา "เป๊ป กวาดิโอลา" เข้ามาเป็นกุนซืออีกในฤดูกาล 2016-2017 ที่ถึงแม้มาในปีแรกจะยังไม่ได้แชมป์พรีเมียร์ลีกเลย แต่พอเข้าปีที่ 2 เท่านั้นแหละเป๊ปพาทีมกวาดแชมป์มาให้แมนซิตี้แบบนับไม่ถ้วน จากที่งานหนักอยู่แล้วก็ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่กว่าสิบเท่าก็ว่าได้ เพราะแมนซิตี้ในยุคของเป๊ปนั้นจะบอกว่าไร้เทียมทานก็ไม่ผิด เพราะแมนซิตี้ในยุคของเป๊ปนั้นสร้างสถิติมากมายทั้งได้เก็บแต้มมากที่สุด 100 แต้ม, 3 แชมป์ในประเทศในซีซั่น 2018-2019, พาทีมชนะ 20 นัดรวดรวมทุกรายการเป็นสถิติดีที่สุดตลอดกาลของทีมในอังกฤษ, คุมแมนซิตี้ 207 นัด ยิง 500 ประตู และสถิติอื่นๆ อีกมากมาย สถิติบ้าคลั่งขนาดนี้เกิดจากทีมที่มีความพร้อมสุดๆ อย่างแมนซิตี้ ผนึกกำลังกับยอดโค้ชอย่างเป๊ป กวาดิโอลาแห่งยุค มันยิ่งส่งให้แมนซิตี้ในยุคของเป๊ปสุดแสนจะไร้เทียมทาน ยากที่จะหาคู่ต่อกรได้จริงๆ ขนาดลิเวอร์พูลของคล็อปป์ที่ว่าแน่ๆ ยังทำได้แค่แย่งแชมป์พรีเมียร์ลีกมาได้แค่ 1 สมัยเท่านั้น แต่ก็ยังดีที่ได้แชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกสมัยที่ 6 รวมถึงแชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ และแชมป์สโมสรโลกมาปลอบใจได้อยู่อย่างที่แฟนบอลหลายๆ คนรู้ว่า "พรีเมียร์ลีก" คือสุดยอดปรารถนาของเหล่าเดอะ ค็อปที่ใช้เวลารอคอยมานานถึง 30 ปีกว่าการรอคอยนั้นจบลง โดยจะบอกว่าหงส์แดงในยุคนี้คือทีมชุดที่พร้อมที่สุดแล้วก็ไม่แปลก เพราะการบริหารทีมของ FSG, การมีนักเตะระดับท็อปในทุกตำแหน่ง และมีเยอร์เกน คล็อปป์กุมบังเหียนคุมทีมนั้นมันสุดยอด และลงตัวเหลือเกิน ซึ่งถ้าเป็นในยุคก่อนๆ ลิเวอร์พูลชุดนี้ก็อาจจะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกไปได้มากกว่านี้แล้ว เผลอๆ จะกลับมาแซงด้วยจำนวนแชมป์ลีกสูงสุดจากแมนยูอีกครั้งก็เป็นได้ (แมนยู 20 สมัย, ลิเวอร์พูล 19 สมัย) ปกติการมีแมนซิตี้ก็ทำให้ลู่ทางในการคว้าแชมป์ลีกยากพอสมควรอยู่แต่การมาของเป๊ปในซีซั่น 2016-2017 และในปัจจุบันประกอบกับนักเตะระดับท็อปของโลกในทุกๆตำแหน่งอย่างเควิน เดอ บรอยน์, รูเบน ดิอาส, ไคล์ วอร์คเกอร์, แบร์นาโด้ ซิลวา, ฟิล โฟเดน, เอแดร์ซอน มันยิ่งเหมือนเป็นการทำให้ลู่ทางของลิเวอร์พูลในการคว้าแชมป์ลีกยิ่งยากเข้าไปอีก เหมือนกับว่าก่อนหน้านี้รถวิ่งบนถนนที่เรียบแต่ก็มีหลุมมีบ่อ แต่ตอนนี้เหมือนรถวิ่งบนถนนลูกรัง ยากสุดๆถ้าหากว่าด้วยเรื่องสัญญาของทั้ง 2 กุนซือ ตอนแรกสัญญาเดิมของเป๊ปจะหมดลงในปี 2023 ส่วนสัญญาของคล็อปป์จะหมดลงในปี 2024 ซึ่งหมายความว่าก่อนสัญญาของคล็อปป์จะหมดลงก็น่าจะพาลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ลีกได้อีก 1 สมัย หลังจากหมดยุคเป๊ป (ถ้าหากยังแข่งแย่งแชมป์กันอยู่ 2 ทีม) แถมช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาดันมีข่าวที่ทำให้เหล่าเด็กหงส์ชุ่มชื้นหัวใจอีกครั้ง นั่นก็คือ การต่อสัญญาของคล็อปป์เพิ่มไปอีก 2 ปี จากเดิมสัญญาจะหมดลงในปี 2024 กลายเป็นว่าสัญญาจะหมดลงในปี 2026 ซึ่งถ้าหากมาคำนวณกับสัญญาของเป๊ปที่จะหมดลงในปี 2023 แล้วก็ยิ่งทำให้หัวใจของเหล่าแฟนหงส์แดงฟูอีกครั้ง เพราะหวังว่าแมนซิตี้หลังยุคเป๊ป ลิเวอร์พูลก็คงน่าจะได้แชมป์ลีกเพิ่มอีกมากกว่าเดิม แต่ล่าสุดก็มีสำนักข่าวหลายเจ้าเล่นข่าวว่าเป๊ปพร้อมที่จะต่อสัญญาออกไปอีก มันทำให้ความหวังของแฟนหงส์แดงจากที่สว่างสุดๆ กลับมาสว่างน้อยลง เพราะมีก้างขวางคอชิ้นโตขวางทางอยู่สำหรับฤดูกาล 2021-2022 ที่ใกล้จะจบลงนี้ เหลือการโปรแกรมการแข่งขันอีกเพียง 4 นัด เราก็จะได้รู้แล้วว่าจะเป็นแมนซิตี้ที่คว้าแชมป์แบบม้วนเดียวจบ หรือว่าลิเวอร์พูลจะแซงปาดหน้าคว้าแชมป์ คอบอลทุกคนไม่ควรพลาดจริงๆเครดิตขอบคุณรูปภาพจาก Instagram และ เว็บไซต์อย่างเป็นทางการพรีเมียร์ลีกภาพปกภาพที่ 5ขอบคุณรูปภาพจาก Instagram และ Twitter Liverpoolภาพแรกภาพที่ 7 ขอบคุณรูปภาพจาก Instagram และ Twitter Man Cityภาพที่ 2 ภาพที่ 3 ภาพที่ 4ภาพที่ 6ส่องนักบอลตัวเต็ง ดูสดระเบิดแมทช์สุดมันส์บน App TrueID โหลดฟรี !