Sport Talk : นัดสุดท้ายศึกไทยลีก 2020 กับ 5 ประเด็นที่ต้องจับตา!!

KiTTiSaK

28 มีนาคม 2564 ( 12:00 )

837

ศึกฟุตบอล "โตโยต้า ไทยลีก 2020" เดินทางมาถึงนัดสุดท้ายของฤดูกาลซึ่งจะลงเตะพร้อมกันทุกสนามในวันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม เวลา 18.00 น. และอย่างที่ทราบกันดีว่า บีจี ปทุม ยูไนเต็ด จองแชมป์ไปล่วงหน้านานแล้ว อย่างไรก็ตาม ในเกมนัดสุดท้ายก็ยังมีความสำคัญในหลากหลายแง่มุมให้แฟนบอลต้องติดตามจนกว่าเสียงนกหวีดสุดท้ายจากผู้ตัดสินจะดังขึ้น!!

สุพรรณฯ-สุโขทัย...ใครรอด-ใครร่วง

ราวกับว่าเขียนบทละครกันมาล่วงหน้ายังไงยังงั้นสำหรับ สุพรรณบุรี เอฟซี และ สุโขทัย เอฟซี สองทีมดิ้นรนหนีตกชั้น ซึ่งมีโปรแกรมต้องมาเจอกันในนัดสุดท้ายพอดี เรียกว่าเป็นเกมชี้ชะตาว่าใครจะเป็นทีมที่ 3 ที่ต้องร่วงตกชั้นต่อจาก ระยอง เอฟซี และตราด เอฟซี

เกมนี้ สุพรรณบุรี จะได้เล่นเป็นเจ้าถิ่น แต่สถานการณ์ในตารางคะแนน สุโขทัย ได้เปรียบ โดยมีแต้มมากกว่า 1 คะแนน นั่นหมายความว่า ทีม “ค้างคาวไฟ” ขอเพียงบุกไปยันเสมอให้ได้ก็จะรอดตายทันที ในขณะที่ สุพรรณบุรี ไม่มีทางเลือกอื่น นอกเสียจากต้องชนะสถานเดียวเท่านั้น

ถึงตรงนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างมั่นใจและพยายามปลุกเร้าทีมตัวเองอย่างเต็มที่ เพราะนี่คือเกมที่มี “เดิมพันสูง” และอาจยกให้แมตช์นี้เป็นเกมที่สำคัญที่สุดของฤดูกาลเลยก็ว่าได้

บีจี ปทุม ลุ้นบัลลังก์แชมป์ไร้พ่าย

ก่อนหน้านี้ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด สร้างสถิติมาแล้วหลายอย่าง เช่นเป็นทีมที่การันตีแชมป์ได้เร็วที่สุดก่อนจบฤดูกาลถึง 6 นัด และเป็นทีมแรกที่ตกชั้นแล้วพุ่งพรวดกลับขึ้นมาผงาดแชมป์ไทยลีกได้ทันที

และในเกมนัดสุดท้ายของฤดูกาล ทัพ “เดอะ แรบบิท” ก็หวังสร้างประวัติศาสตร์อีกหนึ่งอย่าง นั่นคือการเป็นสโมสรที่ 3 ที่สามารถครองแชมป์ได้แบบไม่แพ้ใครเลยตลอดทั้งฤดูกาล หลังจากก่อนหน้านี้มีทีมที่เคยทำได้มาแล้วคือ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ในปี 2012 และ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ปี 2013

สำหรับซีซั่นนี้ “โค้ชโอ่ง” ดุสิต เฉลิมแสน พาลูกทีมทำผลงานชนะ 24 เสมอ 5 และไม่แพ้ใครเลยตลอด 29 นัดที่ผ่านมา และคู่แข่งในนัดสุดท้ายอย่าง “กิเลนผยอง” เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด จะเป็นผู้ให้คำตอบแก่ บีจี ปทุม ว่าพวกเขาจะถูกจารึกชื่อในฐานะ “แชมป์ไร้พ่าย” ได้หรือไม่

เมืองทอง VS บีจี ปทุม : พรีวิว ฟุตบอลไทยลีก 2020 (ลิ้งก์ดูบอล)

อันดับ 4 มีความหมาย

สถานการณ์ก่อนลงสนามนัดสุดท้าย ตำแหน่งท็อปทรีนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงโดยเป็น บีจี ปทุม ยูไนเต็ด, บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และ การท่าเรือ เอฟซี ที่ยึดอันดับ 1-3 ตามลำดับ และได้ตั๋วไปลุยศึกเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก แน่นอนแล้ว

อย่างไรก็ตาม ในอันดับ 4 อาจมีการเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าได้ และเป็นอันดับที่อาจจะได้ตั๋วไปลุยเวทีลูกหนังเอเชีย โดยในกรณีที่ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วย ช้าง เอฟเอ คัพ ไปครองได้สำเร็จ โควตาแชมเปี้ยนส์ลีกจะตกมาถึงทีมอันดับ 4 ทันที ซึ่งขณะนี้เป็นของ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด มีแต้มมากกว่าอันดับ 5 ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด 3 คะแนน

หากในนัดสุดท้าย เชียงราย พ่ายคาบ้านต่อ สมุทรปราการ และ ทรู แบงค็อก บุกไปชนะ พีที ประจวบ ทั้งสองทีมก็จะมี 51 แต้มเท่ากัน และจะเป็นขุนพล “แข้งเทพ” ที่ปาดหน้าขึ้นไปคว้าอันดับ 4 แทน เนื่องจากมีสถิติเฮดทูเฮดดีกว่า

หอกต่างชาติผงาดดาวซัลโว (อีกแล้ว)

นับตั้งแต่ ธีรศิลป์ แดงดา ครองดาวซัลโวไทยลีก 2012 ด้วยผลงานซัดไป 24 ประตูเท่ากับ เคลตัน ซิลวา หลังจากนั้นเป็นต้นมา ก็ยังไม่มีกองหน้าคนไทยที่ได้สัมผัสกับตำแหน่งดาวซัลโวไทยลีกอีกเลย รวมถึงฤดูกาล 2020 ด้วยเช่นกัน

สำหรับซีซั่นนี้ ตำแหน่งดาวซัลโวไม่น่าจะพลาดไปจาก บาร์รอส ทาร์เดลลี่ ดาวยิงเลือดแซมบ้าของสมุทรปราการ ซิตี้ ซึ่งซัดไปแล้ว 24 ประตู โดยมีอันดับสอง เดนนิส มูริลโล่ หัวหอกของนครราชสีมา ตามมาห่างๆ ที่ 19 ประตู และ บิลล์ โรซิมาร์ จากสิงห์ เชียงราย 17 ประตู

ส่วนนักเตะไทยที่ยิงประตูมากที่สุดในตอนนี้คือ ฟิลิป โรลเลอร์ กัปตันทีมราชบุรี มิตรผล ซัดไป 14 ลูก รองลงมาคือ ณัฐวุฒิ สุขสุ่ม กองหน้าทรู แบงค็อก 12 ลูก และสุภโชค สารชาติ กับ อดิศักดิ์ ไกรษร 10 ลูก

แข้งไทยลุ้นจอมแอสซิสต์

รางวัลดาวซัลโวคงต้องยกให้ดาวยิงต่างชาติ แต่ตำแหน่ง “จอมแอสซิสต์” มีโอกาสที่จะตกเป็นของผู้เล่นไทย นั่นคือ “เจ้าเท่ห์” เจริญศักดิ์ วงษ์กรณ์ มิดฟิลด์ของสมุทรปราการ ซิตี้ ซึ่งนำเป็นจอมแอสซิสต์อยู่ในขณะนี้ หลังจากจ่ายบอลให้เพื่อนยิงประตูไปแล้วถึง 14 ครั้ง

อย่างไรก็ตาม แฟนบอลไทยต้องลุ้นหนักพอสมควรในนัดสุดท้าย เพราะ วานเดอร์ หลุยซ์ ปีกตัวจี๊ดของ ทรู แบงค็อก มีสถิติแอสซิสต์ตามมาติดๆที่ 13 ครั้ง ส่วนอันดับสามเป็น สตีเวน ลองจิล จากราชบุรี มิตรผล 11 ครั้ง