TRUE TALK : ฤดูกาลที่เฉียดฉิวกับเส้นทางสู่แชมป์ที่ฉิวเฉียดของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ... by "Mr.BOSTON"
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2018/19 มาครองได้สำเร็จ หลังจากเอาชนะ ไบรจ์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน ในเกมสุดท้ายของฤดูกาล 4-1 เฉือนลิเวอร์พูลไปเพียง 1 คะแนน และทำคะแนนรวม 2 ฤดูกาลไป 198 คะแนน ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่มหัศจรรย์สุด ๆ
แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ต้องเจอกับบททดสอบมากมาย พวกเขาต้องหล่นไปอยู่ต่ำสุดถึงถึงอันดับที่ 5 และ เคยแม้กระทั้งแพ้ 3 จาก 4 เกม ที่ลงเล่นในศึกพรีเมียร์ลีก มาแล้ว
หนทางความสำเร็จของพวกเขาในฤดูกาลนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย และนี่คือเรื่องราวเหล่านั้นของพวกเขา…เรื่องราว ระหว่างทางสู่การเถลิงแชมป์
เริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่ง
การเก็บ 6 คะแนนเต็มจาก 2 นัดแรกของฤดูกาล ทำให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถูกจับตามองว่าจะแข่งขันแย่งแชมป์กับ ลิเวอร์พูล ที่ผงานดเป็นจ่าฝูงจากประตูได้เสียที่เหนือกว่า อย่างสูสีในฤดูกาลนี้ แต่ในตอนนั้นคงไม่มีใครคาดคิดว่า มันจะสูสีแค่เพียง 1 คะแนนในบั้นปลาย
เกมที่ 3 ของฤดูกาลที่ ซิตี้พบกับ วูล์ฟแฮมป์ตัน ของ นูโน เอสปิริโต้ ซานโต เป็นการสะดุดครั้งแรกของทีม “เรือใบ” ซึ่งในวันนั้น หลายฝ่ายกดเครดิตในการคว้าแชมป์ของซิตี้ ลงตำมาก เพราะพวกเขาต้องหล่นมารั้งอันดับที่ 5 โดยที่ตอนนั้น พวกเขายังไม่รู้ว่า “หมาป่า” ทีมนี้ จะทำแสบกับทีมใหญ่ของพรีเมียร์ลีกอีกมากมาย
แต่หลังจากนั้น พวกเขาก็กลับมาเป็นจ่าฝูงได้สำเร็จอีกครั้ง เมื่อผ่านสัปดาห์ที่ 7 ด้วยการเปิดบ้านเชือด ไบรจ์ตัน ก่อนที่นัดต่อไปจะบุกไปเสมอกับลิเวอร์พูล ถึงแอนฟิลด์ 1-1 และทีมของ กวาร์ดิโอล่า ก็ใส่เกียร์เดินหน้ายาว ๆ จนบางคนคิดว่าอาจจะเป็นการนำม้วนเดียวจบ เมื่อกำลังจะเข้าเดือนธันวาคม โดยตอนนั้นพวกเขานำ “หงส์แดง” 2 คะแนนที่ 35 ต่อ 33
ซึ่งตอนนั้น คงไม่มีใครคาดคิดว่า พวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดของฤดูกาลในช่วงสุดท้ายชองปี และยังเป็นช่วงที่พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับช่องว่างที่ต้องไล่ตามจ่าฝูงมากที่สุดอีกด้วย
Boxing day, Blitzing Down
บ็อกซิ่งเดย์ในช่วงเดือนธันวาคม ปี 2018 เป็นจุดตกต่ำและย่ำแย่ของแมนฯ ซิตี้ ในฤดูกาลนี้อย่างแท้จริง และเป็นช่วงที่พวกเขาฟอร์มหลุดโดยที่ไม่มีใครได้ตั้งตัว
มันเริ่มจากความพ่ายแพ้ที่หลายฝ่ายมองว่า “ให้อภัยได้” ในเกมไปเยือน เชลซี ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ 0-2 และดูเหมือนพวกเขาจะฟื้น เมื่อเกมใน 7 วันต่อมา พวกเขาเอาชนะเอฟเวอร์ตัน ในบ้านได้ 3-1 ทำให้ยังตามหลังลิเวอร์พูลแค่คะแนนเดียว
ทว่าในอีก 2 เกมต่อมา ทีมของ เป๊ป ก็พ่ายติด ๆ กัน โดยเริ่มจากพ่ายคาบ้านต่อ คริสตัล พาเลช 2-3 และ พ่ายในการไปเยือน คิงเพาเวอร์ สเตเดี้ยม 1-2 ทำให้ในนาทีนั้น พวกเขามีแค่ 44 คะแนน และตามหลังลิเวอร์พูลที่เป็นจ่าฝูงถึง 7 คะแนนด้วยกัน
3 วันจากการพ่ายแพ้ต่อ “จิ้งจอก” ลิเวอร์พูล ก็จัดการขยับช่องว่างออกไปเป็น 10 คะแนน หลังได้โอกาสลงเตะก่อน และถล่ม อาร์เซน่อล ไปได้ถึง 5-1 เป็นไฟต์บังคับให้ ซิตี้ ต้องกลับมาอยู่ในร่องในรอย และในฟอร์มเดิมให้ได้ ในเกมกับ เซาธ์แฮมป์ตัน ถ้าหาไม่ โอกาสป้องกันแชมป์ของเขาอาจจะหลุดลอยไป แน่นอนว่า พวกเขาทำมันได้สำเร็จ ด้วยชัยชนะที่ เชนต์ แมรี่ 3-1 ก่อนเกมที่สำคัญที่สุดของฤดูกาล ซึ่งเป็นเกมที่ว่ากันว่า เป็นสาเหตุที่ทำให้ “หงส์แดง” ต้องพลาดแชมป์ในฤดูกาลนี้ไป
โอกาสจากความผิดพลาดของคู่แข่ง
ด้วยช่องว่าง 7 คะแนน ทำให้เกมที่ แมนฯ ซิตี้ ต้องต้อนรับการมาเยือนของ ลิเวอร์พูล กลายเป็นอีก 1 ไฟต์บังคับที่พวกเขาต้องชนพให่ได้ เพื่อลดช่องว่างให้ลงมาเหลือแค่ 4 แต้ม และทีมของกวาร์ดิโอล่า ก็ทำลายสถิติที่เอาชนะ “หงส์แดง” ไม่ได้มาติดกัน 20 นัดลงได้สำเร็จ ด้วยชัยชนะแบบฉิวเฉียด 2-1 ขยับขึ้นมา เป็น 50 คะแนน ไล่หลังจ่าฝูงแค่ 4 คะแนนตามเป้าหมาย และนี่เป็นความพ่ายแพ้นัดเดียวที่เกิดขึ้นกับ ลิเวอร์พูลในฤดูกาลนี้ด้วย
แต่เหมือนว่า หลังจากนั้นพลพรรค กลัวว่าฤดูกาลนี้ จะไม่น่าตื่นเต้น ก็เลยบุกไปพ่ายต่อ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ในช่วงปลายเดือน มกราคม ซึ่งเป็นเกมที่พวกเขาลงสนามก่อนลิเวอร์พูล และถ้า “หงส์แดง” เอาชนะเกมในสัปดาห์นั้น ที่พบกับ เลสเตอร์ ซิตี้ ในบ้านได้ ช่องว่าระหว่างทั้ง 2 ทีม จะถ่างออกเป็น 7 คะแนน หรือ 3 นัดที่ลงสนามอีกครั้ง แต่ทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์ ก็ทำได้แต่เสมอกับ “จิ้งจอก” ทำให้ช่องว่าเพิ่มเป็นแค่ 5 คะแนน เท่านั้น
และหลังจากนั้น ลิเวอร์พูล ก็ต้องมาเจอกับช่วงเวลาที่ยากลำบากบ้าง เมื่อเขาเล่นแบบเสมอ นัด-เว้น-นัด ไล่ต้องแต่ เสมอ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 1-1 ก่อนไปชนะ บอร์นมัธ 3-0 แต่ก็เสมอกับ แมนฯ ยูไนเต็ด 0-0 ก่อนถล่ม วัตฟอร์ด 5-0 ทว่าก็กลับมาเสมอกับ เอฟเวอร์ตัน 0-0
ในขณะที่ ลิเวอร์พูล ทำแต้มหลุดมือรัว ๆ ซิตี้ นับตั้งแต่แพ้ “สาลิกาดง” มา ก็เก็บ 3 คะแนนติด ๆ กันมาตลอด นั่นทำให้หลังจากที่ “หงส์แดง” ไปเสมอที่ กูดิสัน ปาร์ค มา พวกเขาก็กลับขึ้นไปแซงนำในตารางคะแนนอีกครั้ง ที่ 71 คะแนน ต่อ 70 คะแนน
ชนะแค่ 1 คะแนนก็ชนะ
ช่องว่า 1 คะแนน ในที่ ลิเวอร์พูล ปล่อยให่ แมนฯ ซิตี้ นำหลังจากสะดุด กับเอฟเวอร์ตัน กลับกลายเป็นช่องว่าที่ใช้ตัดสินฤดูกาลแบบที่ไม่มีใครคาดคิด
มีหลายเกมที่แมนฯ ซิตี้ เกือบจะพลาด และคืนต่ำแหน่งจ่าฝูงให้กับ ลิเวอร์พูล แต่สุดท้าย พวกเขาก็ประครองเอาตัวรอบไปได้หวุดหวิด ทั้งการทำประตูของ เซร์คิโอ ‘กุน’ อเกวโร่ ที่ลูกข้ามเส้นไปแค่ 29.51 มิลลิเมตร หรือ ประตู “ผีจับยัด” ของ แวงซองต์ กอมปานีย์ ต่างมีส่วนช่วยให้ ซิตี้ เถลิงแชมป์ในบั้นปลายทั้งสิ้น
ฝั่งลิเวอร์พูลเอง ก็เหนียวพอกัน เพราะมีหลายนัด ที่พวกเขาเกือบส่งมอบแชมป์ให้กับ “เรือใบสีฟ้า” ก่อนกับหนดตามที่ควรจะเป็น แต่ด้วยหัวจิตหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ ทำให้พวกเขาพลิกกลับมาเก็บ 3 คะแนน แล้วสู้ต่อไปได้ ทั้งในเกม กับ ฟูแล่ม ที่ เจมส์ มิลเนอร์ มายิงจุดโทษเอาชนะช่วงท้ายเกม หรือเกมกับท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ที่โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์ มาทำเข้าประตูตัวเองให้ในนาทีสุดท้าย และรวมไปถึงเกมที่เอาชนะ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด จากลูกโหม่งขอว ดิว็อก โอริกิ ในนัดรองสุดท้ายก็ตาม
แต่สุดท้าย เป็น ซิตี้ ที่ไม่ยอมปล่อยให้ปาฏิหาริย์ เกิดขึ้น หลังถล่ม ไบรจ์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน 4-1 ปิดจ็อบคว้าแชมป์ไปได้สำเร็จในท้ายที่สุด
คู่แข่งที่ยอดเยี่ยม ทำให้พวกเขาเยี่ยมยอด
“สิ่งแรกเราต้องกล่าวก่อนที่จะแสดงความยินดร คือเรายกย่อง ลิเวอร์พูล และขอบคุณพวกเขามาก ที่ช่วยกระตุ้นเรา และทำให้เราต้องเพิ่มมาตรฐานของเราจากฤดูกาลที่ผ่านมา เพราะการสู้กับทีมชุดนี้เป็นแรวกระตุ้นเราที่จะทำในสิ่งที่เราจนประสบความสำเร็จ”
เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ออกมายกย่อง คู่แข่งอย่างลิเวอร์พูล ที่ขับเคี่ยวกันมาตลอดฤดูกาล และช่วยผลักดันทีมของเขาให้เดินหน้าต่อไปจนคว้าแชมป์ได้สำเร็จ
กวาร์ดิโอล่า เคยให้สัมภาษณ์กับ สกายสปอร์ตส์ ในช่วงก่อนหน้านี้ว่า ลิเวอร์พูล คืคู่แข่งที่โหดหินที่สุดเท่าที่เขาเคยเผยเผชิญหน้าด้วย เพราะถ้าเราดูตามตารางคะแนนตลอดมา จะเห็นว่า ฝ่ายหนึ่งก็หนีสุดชีวิต อีกฝ่ายก็กัดไม่ปล่อยจริง ๆ
การลุ้นแชมป์ของทีมคุณภาพของทีม ช่วยให้แต่ละทีมดึงศักยภาพที่ดีที่สุดออกมาได้
ที่กำไรคือคนดู ซึ่งได้ดูฟุตบอลที่มีการแข่งขันกันอย่างยอดเยี่ยม สนุก สูสี และ เคารพซึ่งกันและกันเช่นนี้
ซึ่งเราหวังอย่างยิ่งที่จะได้เห็นอะไรแบบนี้อีก ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลต่อไป…
“Mr.BOSTON”
ช่องทางการรับชมการถ่ายทอดสดทาง TrueID
ดูบอลสดผ่านแอปพลิเคชั่น ทรูไอดี คลิก!
ดูบอลสดผ่านเว็บไซต์ ทรูไอดี ฟรี คลิก!
ติดตามข่าวสารกีฬาได้ที่ TrueID App หรือร่วมพูดคุยกันผ่านทาง Line @TrueID ร่วมไปถึงแฟนเพจ TrueID Sports