
ขอสดุดี.! มาร์ค มาร์เกซ แชมป์โมโต จีพี 7 สมัย กับบทพิสูจน์ความสำเร็จ

มาร์ค มาร์เกซ นักขับรถโมโตจีพี กับ บทพิสูจน์ความสำเร็จ คว้าแชมป์โมโต จีพี 7 สมัย ในฤดูกาล 2025 เป็นที่เรียบร้อย
หลังธงตราหมากรุกโบกสะบัดในศึกโมโตจีพี กรังด์ปรีซ์ ออฟ เจแปน เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา(28 ก.ย. 68) นอกจากจะเป็นสัญญาณเข้าเส้นชัยตามปกติแล้ว ความพิเศษของสนามนี้คือเราได้แชมป์โลกในฤดูกาล 2025 เป็นที่เรียบร้อย
น้ำลูกผู้ชายและเสียงตะโกนด้วยความสะใจของ มาร์ค มาร์เกซ มันออกมาจากหัวใจของมนุษย์คนหนึ่งที่ฝ่าฟันอุปสรรค์มากมาย โดยเฉพาะการต้องต่อสู้กับร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส รวมถึงสิ่งที่ยากที่สุดคือการต่อสู้กับสภาพจิตใจตัวเองกับการเผชิญหน้าจุดตกต่ำที่สุด แต่ก็ยังฮึดจนกลับมาครองบัลลังก์ได้อีกครั้ง
ก่อนออกสตาร์ทศึกกรังด์ปรีซ์ ออฟ เจแปน ในรอบแข่งขัน โจทย์ของ มาร์ค มาร์เกซ คือต้องทำแต้มให้ได้มากกว่าน้องชายอย่าง อเล็กซ์ มาร์เกซ ด้วยช่องว่าง 7 คะแนน ก็จะขาดลอยและการันตีแชมป์โลกทันที ซึ่งบทสรุปสุดท้าย มาร์ค เข้าเส้นชัยด้วยอันดับ2 เก็บไป 20 แต้ม ส่วนน้องชายจบอันดับ 6 ได้ไป 10 คะแนน
นับเป็นการผงาดคว้าแชมป์โลกในรุ่นโมโตจีพี เป็นสมัยที่ 7 ของเจ้าตัว แต่หากนับรวมรุ่นอื่นๆก่อนจะไต่เต้าขึ้นมา นี่คือการได้แชมป์โลก 9 สมัย(1 โมโตทู และ 1 รุ่น 125 ซีซี) เทียบเท่ากับตำนานชาวอิตาลีอย่าง วาเลนติโน่ รอสซี่ ที่กวาดไป 9 สมัย (7 ในโมโตจีพี และ 2 ในรุ่นรอง)
แม้ก่อนหน้านี้จะมีประเด็นดราม่าเรื่องการนับตัวเลขที่ทาง ดอร์น่า (Dorna) ฝ่ายจัดการแข่งขันออกมาอธิบายว่าอยากจะให้ความสำคัญกับรุ่นโมโต จีพี เป็นหลัก เพื่อสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับการแข่งขันรุ่นใหญ่ แต่เหนือสิ่งอื่นใดเจ้าตัวไม่ได้มัวมานั่งสนใจเรื่องนั้น เพราะปัจจุบันสำคัญที่สุด
"more than a number" ข้อความสั้นๆที่ขึ้นมาหลังจากคว้าแชมป์ บ่งบอกทุกอย่างว่าความสำเร็จครั้งนี้มันมีค่ามากกว่าแค่ตัวเลข เพราะกว่า 2,184 วัน ที่เขาล่วงหล่นจากจุดสูงสุด การกลับมาครั้งนี้มันเป็นเหมือนแรงบันดาลใจให้กับทุกคน ว่าต่อให้ผ่านเรื่องราวร้ายๆ อยู่ในจุดต่ำสุดมากแค่ไหน ก็ไม่มีอะไรมาหยุดความพยายามของเราได้
มาร์ค มาร์เกซ คือเด็กมหัศจรรย์ที่เต็มไปด้วยพรสวรรค์ เขาก้าวขึ้นมาขับรุ่นใหญ่พร้อมกับภาพจำในธีมสีส้มภายใต้สังกัดทีมเรปโซล ฮอนด้า (Repsol Honda) ครั้งแรกในปี 2013 ก่อนจะสร้างตำนานด้วยการกวาดแชมป์โลกในรุ่นใหญ่ไปได้ถึง 6 สมัยในการขับ 7 ฤดูกาลแรก
แม้จะเคยเจอช่วงเวลายากลำบาก ผิดใจกับไอดอลวัยเด็กของตัวเองอย่าง วาเลนติโน่ รอสซี่ ในปี 2015 แต่มันเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่เขาต้องเจอ ภายหลังไล่ล่าความสำเร็จมาอย่างยาวนานพร้อมกับทำลายสถิติอย่างไม่หยุดยั้ง
เข้าสู่ปี 2020 กับการเริ่มต้นฤดูกาลในศึกสแปนิช กรังด์ปรีซ์ ที่เฆเรซ มาร์ค มาร์เกซ ต้องพบกับฝันร้าย เมื่อเขาประสบอุบัติเหตุรถล้มในสนาม ซึ่งมันรุนแรงถึงขั้นที่ทำให้แขนขวาของเขาหักหลายจุด
จากเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นใครก็คิดว่าเขาน่าจะปิดเทอมยาว แต่แล้วหัวใจที่แข็งแกร่งเกินกว่าร่างกาย เขาตัดสินใจกลับมาแข่งขันอีกครั้ง หลังเข้ารับการผ่าตัดเสร็จสิ้นเพียงแค่ 4 วัน แต่บทสรุปสุดท้ายอาการบาดเจ็บก็กำเริบ เป็นเหตุให้ต้องหยุดพักตลอดทั้งปี ซึ่งเจ้าตัวยังคงเสียใจจนถึงทุกวันนี้กับการมุทะลุอยากจะคืนสนามเร็วเกินไป
อาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นซ้ำ ทำให้เขาต้องเข้ารับการผ่าตัด ก่อนที่จะกลับมาได้ในปี 2021 และเดินหน้าเก็บชัยชนะไปได้ 3 สนาม แต่มันก็ยังคงห่างไกลกับ มาร์ค คนเดิม ด้วยขอจำกัดทางด้านร่างกาย แม้จะกลับมาได้ แต่มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป และเหตุนี้ทำให้เขาต้องเจอกับความยากลำบากและประสบอุบัติเหตุในสนามอีกหลายครั้ง
มาร์ค มาร์เกซ ใช้ระยะเวลา 4 ปี เข้า-ออกโรงพยาบาลเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาต้องผ่าตัดไปถึง 4 ครั้ง และมีอาการเห็นภาพซ้อน จนแฟนๆหลายคนต่างคิดว่านี่คงจะเป็นจุดจบของขวัญใจพวกเขาไปแล้ว เพราะด้วยสภาพร่างกายที่พังขนาดนี้ เป็นใครก็คงถอดใจไปแล้ว แต่มันไม่ใช่กับ มาร์ค
ความสำเร็จในปี 2025 ที่เขาทำได้ มันจึงมีค่ามากกว่าครั้งไหนๆ เพราะมันเป็นรางวัลตอบแทนในความพยายามที่เขาไม่เคยยอมแพ้ และคิดหันหลังให้กับสิ่งที่รัก ภาพที่ มาร์ค มาร์เกซ นั่งดูวิดีโอที่ร้อยเรียงเรื่องราวของตัวเอง ที่มีทั้งสุขและเศร้าหลังคว้าแชมป์โลกได้อีกครั้ง มันเป็นภาพที่ทำให้แฟนๆของเขาต่างหลั่งน้ำตาออกมาเช่นกันโดยไม่รู้ตัว
"มันมีค่ามากกว่าตำแหน่งแชมป์" MM93 เผยความรู้สึก "อย่างที่ผมเคยบอกไปว่ามันเป็นความท้าทายที่สุดในอาชีพ เมื่อคุณอยู่บนจุดสูงสุดของยอดเขา เคยคว้าชัยชนะในทุกๆสุดสัปดาห์และเคยเป็นแชมป์
แต่เมื่อคุณตกลงมา แรงกระแทกมันจะยิ่งทวีคูณ เพราะคุณไม่ได้แค่หล่นลงพื้น แต่มันเหมือนคุณจมลงไปอยู่ใต้ดิน เพราะฉะนั้นการที่จะก้าวออกมาจากจุดนั้น มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำเพียงลำพัง ผู้คนรอบตัวผมต่างให้ความช่วยเหลือ และบอกให้ผมทำตามสัญชาตญาณ ซึ่งมันช่วยผมได้เยอะมากๆ
เมื่อ 6 ปีก่อนผมไม่รู้จักกับความทุกข์ทรมาน เพราะผมได้ลิ้มรสชาติของความสำเร็จตลอดอาชีพ ตั้งแต่ปี 2010 แม้ว่าจะเคยเจอกับอาการบาดเจ็บมาบ้าง แต่ผ่านไปแค่ 3-4 เดือน ผมก็กลับมาคว้าชัยชนะได้อีกครั้ง เมื่อคุณใช้เวลา 4 ปีกับการผ่าตัด แถมยังมาเจอกับกระดูกที่หักไปอีกข้างหนึ่ง รวมถึงอาการเห็นภาพซ้อน มันเป็นอะไรที่ยากมากๆ แต่เราก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง เราต่างมีพรสวรรค์บางอย่างที่แตกต่างกันไป เราแค่ต้องพยายามทำให้ดีที่สุด"
ผมพยายามควบคุมตัวเองก่อนการแข่งขันที่ญี่ปุ่น แต่ผมแทบจะหายใจไม่ออกเพราะคุมอารมณ์ความรู้สึกตัวเองไม่ได้ แม้แต่การขับในรอบสุดท้ายผมร้องไห้ภายใต้หมวกกันน็อค จนมันยากที่จะเห็นจุดเบรกบนแทร็ก
ปกติแล้วผมไม่เคยร้องไห้กับการได้แชมป์โลก ผมไม่อยากคิดถึงสิ่งที่ผ่านมา แต่มันยากที่จะลืมเรื่องราวร้ายๆ เพราะมนุษย์ทุกคนไม่มีทางลืมช่วงเวลาร้ายๆไปได้ แม้แต่ทุกวันนี้ก็มีบางครั้งที่ผมคิดถึงช่วงเวลานั้น แต่สุดท้ายฝันผมเป็นจริงแล้ว ความท้าทายที่ยากที่สุดในชีวิตของผมมันจบลงแล้ว
หลายปีที่ผ่านมาผมต้องสู้กับหลายสิ่ง แต่สิ่งที่ยากที่สุดคือการสู้กับตัวเอง เสียงในหัวของผมมันต่อสู้กัน มาร์ค คนหนึ่งบอกให้หยุด พอได้แล้ว แต่ มาร์ค อีกคนบอกให้ผมไปต่อ สุดท้ายแล้วผมก็เลือกที่จะทำตามสัญชาตญาณของตัวเอง ทุ่มเทเต็มร้อยและพยายามทำมันให้ได้"
ในวัย 32 ปี ของ มาร์ค มาร์เกซ ไม่มีใครรู้ว่าอาชีพของเขาจะสิ้นสุดตอนไหน แต่ มาร์ค คนใหม่ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าความพยายามไม่เคยทำร้ายใคร แม้จะเจอกับช่วงเวลาที่ยากลำบากขนาดไหน ขอเพียงแค่คุณลุกขึ้นสู้และไม่ยอมแพ้ มันมีรางวัลที่รอตอบแทนอยู่ปลายทางเสมอ
ชีวิตคนเราก็เช่นกัน ไม่ว่าต่อให้คุณจะเจอกับเรื่องราว อุปสรรค์ที่ผ่านเข้ามามากมายขนาดไหน ขอแค่เราทำความรู้จักกับมันและเรียนรู้ว่านี่คือสัจธรรมของชีวิต เพราะในความยากลำบากของแต่ละคนมันคือบททดสอบที่ทำให้เราเรียนรู้
ส่วนความหนักเบาของแต่ละคนที่เจออาจจะไม่เท่ากัน และเมื่อไรก็ตามที่คุณผ่านมันไปได้ ฟ้าหลังฝนมันสวยงามเสมอ ขอสดุดีอีกครั้งกับความสำเร็จของ มาร์ค มาร์เกซ บทพิสูจน์ที่แท้จริงของประโยคที่ว่า "หัวใจใหญ่กว่าร่างกาย"