โอเล่ กุนนาร์ โซลชา กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด...สู้ต่อ หรือ พอเถอะ!!
กลายเป็นคำถามขึ้นมาอีกครั้งสำหรับอนาคตของ โอเล กุนนาร์ โซลชา หลังจากทีมผีแดงร่วงตกรอบตัดเชือกยูโรป้า ลีก อย่างน่าผิดหวัง
ในที่สุด ก็เป็นอีกหนึ่งฤดูกาลที่โอลด์ แทรฟฟอร์ดไม่ได้ต้อนรับโทรฟี่เข้ามาประดับตู้โชว์เลยแม้แต่รายการเดียว
ความพ่ายแพ้ต่อ เซบีญ่า 1-2 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ทำให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยุติเส้นทางไว้ที่รอบรองชนะเลิศ ศึกฟุตบอลยูโรป้าลีก ทั้งที่ก่อนหน้านี้ พวกเขาถูกยกให้เป็น “เต็งหนึ่ง” ที่จะได้ผงาดฉลองแชมป์
การตกรอบดังกล่าว นำมาซึ่งคำถามตัวโตๆเลยว่า “โอเล่ กุนนาร์ โซลชา” คือคนที่ใช่ของแมนฯ ยูไนเต็ด จริงๆหรือ?
สุดคุ้ม!! Early Bird Full Season Package พรีเมียร์ลีก 2020/21
เพียง 1,900 บาท เท่านั้น ตั้งแต่วันที่ 17 ส.ค. - 6 ก.ย. 63 หรือจนกว่าสินค้าจะหมด
-----------------------
ฤดูกาลที่น่าผิดหวัง
หากประเมินผลงานของฤดูกาลนี้ คงต้องมอบคำว่า “สอบตก” ให้กับโอเล่ กุนนาร์ โซลชา
งบประมาณราว 200 ล้านปอนด์ คือเงินที่ โซลชา ใช้ช็อปปิ้งแข้งใหม่เข้ามาเสริมทัพในซีซั่น 2019-2020 ไม่ว่าจะเป็น แดเนี่ยล เจมส์, อารอน วาน บิสซาก้า, แฮร์รี่ แม็กไกวร์ และ บรูโน่ แฟร์นันด์ส
ด้วยงบก้อนโตมโหฬารขนาดนี้ ย่อมมาพร้อมกับความคาดหวังว่า โซลชา จะบันดาล “ถ้วยแชมป์” มาให้แฟนบอลได้เฮกันดังๆเสียที หลังจากที่พวกเขาได้ฉลองครั้งสุดท้ายเมื่อตอนได้แชมป์ลีกคัพ และยูโรป้า คัพ เมื่อฤดูกาล 2017-2018 ในยุคของกุนซือโชเซ่ มูรินโญ่
แต่ผลงานที่ออกมาคือการตกรอบรองชนะเลิศฟุตบอลถ้วยทั้ง 3 รายการ ได้แก่ ลีกคัพ, เอฟเอคัพ และยูโรป้าลีก ส่วนในพรีเมียร์ลีก ทัพเร้ดอาร์มี่จบอันดับ 3 ของตาราง คว้าตั๋วไปยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้ก็จริง แต่แฟนบอลก็ต้องลุ้นกันตัวโก่งจนถึงนัดสุดท้ายของฤดูกาลเลยทีเดียว
ไม่เพียงแต่ผลงานภาพรวมที่น่าผิดหวัง หากมองลึกลงไปในรายละเอียดแล้ว รูปเกม แท็คติก หรือฟอร์มการเล่นของแมนฯ ยูไนเต็ด ภายใต้การคุมทัพของ โซลชา ก็ทำให้สาวกเรดอาร์มี่ต้อง “ถอนหายใจ” ออกมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมายอยู่เป็นประจำ
ยิ่งเมื่อมองไปยังคู่อริสำคัญทั้งสองทีมอย่าง ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งขับเคี่ยวแย่งแชมป์กันอย่างดุเดือดในช่วงหลัง ในขณะที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้แต่ยืมก้มหน้า-กุมมือต่ำ มองอยู่ห่างๆ ยิ่งทำให้แฟนบอลผีแดงต่างเข้าใจความรู้สึกของเพลงที่พี่เท่ห์-อุเทน พรหมมินทร์ เคยบอกไว้ว่า “ปวดใจดังไฟสุมทรวง ทะลวงอกฉัน”
แน่นอนว่า โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ในฐานะผู้จัดการทีม จะปฏิเสธความรับผิดชอบกับผลงานอันน่าผิดหวังนี้ไม่ได้เลย
ถึงเวลาแยกทาง
คำถามที่ดังก้องโอลด์ แทรฟฟอร์ดในตอนนี้คือ ถึงเวลาเปลี่ยนแปลงตัวแม่ทัพหรือยัง ?
ในเมื่อผลงานไม่เป็นไปตามเป้า ฟอร์มการเล่นก็ชวนให้แฟนบอลกุมขมับ ดังนั้นการมอบ “ซองขาว” ให้เป็นรางวัลแก่โซลชา ก็ถือเป็นเรื่องปกติของการทำงาน ไม่ใช่แค่เรื่องของฟุตบอล เพราะในเมื่อคุณทำงานไม่สำเร็จ นายจ้างย่อมมีสิทธิที่จะเปิดโอกาสให้คนอื่นเข้ามาเสียบแทน
และที่สำคัญ ต้องไม่ลืมว่า แมนฯ ยูไนเต็ด คือสโมสรระดับท็อปของโลก ซึ่งการห่างหายความสำเร็จไปนานๆ ย่อมส่งผลกระทบต่อทีมแทบทุกด้าน โดยเฉพาะเรื่องมูลค่าและสิทธิประโยชน์ของสโมสรที่จะค่อยๆลดลงไปเรื่อยๆ
ขณะเดียวกัน สมมติว่า แมนฯ ยูไนเต็ด สวมคอนเวิร์สทางใครทางมันกับ โซลชา ในตอนนี้ ก็มีกุนซือฝีมือเยี่ยมที่สาวกอสูรแดงกระสันอยากให้มานั่งเก้าอี้บอสใหญ่ในโรงละครแห่งความฝันอยู่แล้ว นั่นคือ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ซึ่งน่าจะเปิดโต๊ะเจรจากันได้ไม่ยาก เพราะเจ้าตัวยังคงว่างงาน หลังแยกทางกับ สเปอร์ส ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้ว
และถ้าบอร์ดผีแดงยังชักช้า จนมีสโมสรอื่นมาจีบโปเชตติโน่ไปร่วมงานได้ก่อน ถึงเวลานั้นพวกเขาอาจจะมานั่งเสียดายทีหลังก็เป็นได้
อยากสำเร็จต้องอดทน
ฟุตบอลไม่ใช่ “7-11” ที่หิวเมื่อไรก็แวะมา ไม่ใช่ว่าถ้วยแชมป์หรือความสำเร็จจะสามารถเสกได้แบบปุ๊บปั๊บเสียเมื่อไร ทุกอย่างจำเป็นต้องใช้เวลา ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ เจอร์เก้น คล็อปป์ กับลิเวอร์พูล
คล็อปป์เข้ามารับงานในแอนฟิลด์เมื่อเดือนต.ค. 2015 ก่อนจะพาทีมหงส์แดงจบ “อันดับ 8” ในพรีเมียร์ลีก และไม่ได้แชมป์รายการใดๆเลยในซีซั่น 2015-2016
ย้ำอีกครั้งว่า “อันดับ 8” ซึ่งแย่กว่าผลงานของโซลชาเสียอีก แย่กว่าเยอะเลยด้วย
ในช่วง 3 ปีแรกของคล็อปป์กับลิเวอร์พูล เดอะค็อปได้แต่นั่งตาละห้อยดูทีมอื่นฉลองแชมป์ จนกระทั่งซีซั่น 2018-2019 กุนซือชาวเยอรมันถึงได้พาทีมหงส์แดงผงาดครองถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก และต่อยอดด้วยแชมป์พรีเมียร์ลีกสุดยิ่งใหญ่ในฤดูกาลที่ผ่านมา
หากบอร์ดบริหารของลิเวอร์พูลไม่ไว้ใจและเชื่อใจการทำงานคล็อปป์ในตอนนั้น ลิเวอร์พูลอาจจะไม่ได้มาไกลถึงเพียงนี้
หรือแม้กระทั่งทีมมหาเศรษฐีอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็ใช่ว่าจะได้แชมป์ทันทีที่พวกเขาดึง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เข้ามาคุมทีม โดยซีซั่นแรกของ เป๊ป กับทีมเรือใบสีฟ้า ก็ไม่มีแชมป์ใดๆติดมือเลย แถมผลงานในลีกยังจบแค่อันดับ 3 อีกต่างหาก
และที่ปฏิเสธไม่ได้คือ “พรีเมียร์ลีก” ถูกยกให้เป็นลีกระดับท็อปที่มีอัตราความเข้มข้นในการแย่งแชมป์ดุเดือดที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ เพราะมี 4-5 สโมสรเลยทีเดียวที่มีศักยภาพมากพอที่จะก้าวขึ้นมาครองบัลลังก์แชมป์ ผิดกับอีกหลายๆลีกที่มักจะผูกขาดความสำเร็จกันอยู่แค่ไม่กี่ทีม
ฉนั้นการไว้ใจและให้เวลา โซลชา ได้พิสูจน์ฝีมือต่อไปอีกสักหน่อย จึงอาจเป็นทางออกที่ “น่าเสี่ยง” มากกว่าการมายกเครื่องเปลี่ยนแปลงใหม่ ซึ่งทีมก็ต้องมาเริ่มต้นออกสตาร์ทกันใหม่กับโค้ชคนต่อไปอีก
หลังจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับบอร์ดบริหารปีศาจแดงแล้วล่ะว่า พวกเขาจะสามารถ “รอได้” หรือไม่ และจะอดทนรอได้มากน้อยแค่ไหน
โปรดติดตามตอนต่อไป...
"111"
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
>> ไม่ถึงฝัน! เซบีญา แซงชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด 2-1 เข้าไปรอชิงชนะเลิศ ยูโรป้า ลีก
>> มะริ่งกิ่งก่อง สะระน๊องก่องแก่ง!! 10 สถิติชวนถีบทีวีทิ้งของโอเล่ กุนนาร์ โซลชา