Rally คือการแข่งทางฝุ่นทางดินที่ทุกคนต้องรู้จักดี ที่เรามักจะเห็นรถแข่งขับเคลื่อน 4 ล้อทำความเร็วสูงเพื่อให้ได้เวลาที่ดีที่สุด ถึงอย่างไรนั้นการแข่งทางฝุ่นยังมีอีกรูปแบบหนึ่งครับที่หลายคนอาจจะยังไม่ทราบนั่นคือ Rallycross แต่ทว่าถ้าหากมองที่รายละเอียดของมัน ถือว่าแตกต่างจากแข่ง Rally แบบปกติพอสมควรและเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นระทึกใจมากกว่าด้วย ปกติแล้ว Rally จะเป็นการแข่งทำเวลาให้เร็วที่สุดและเก็บคะแนนกันไป โดยในสนามจะมีรถวิ่งคันเดียวไม่มีคู่แข่งให้ไล่แซง เพราะการปล่อยตัวจะปล่อยรถไปทีละคันและจะทิ้งช่วงค่อนข้างนาน นั่นทำให้เวลาดูแข่ง Rally นาน ๆ จะค่อนข้างน่าเบื่อ ในส่วนของ Rallycross นั้นจะตรงกันข้ามกันเลยครับ แม้จะแข่งทางฝุ่นเหมือนกันแต่ว่าสไตล์การแข่งจะเหมือนกับแข่งเซอร์กิตแทน ที่มารูปภาพ: BERNARD D จาก Pixabay รายการแข่ง Rallycross นั้นเดิมทีเริ่มมาจากรายการทีวีในประเทศอังกฤษในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 1967 ที่เชิญนักแข่งแรลลี่มาร่วมรายการในสนาม Lydden Circuit โดยมีจุดเด่นตรงที่การขับขี่จะมีทั้งถนนเรียบและทางลูกรังผสมกันไป แข่งในสนามปิดระยะทางสั้นเท่านั้น ใครที่เข้าเส้นชัยอันดับ 1 ก็คว้าชัยชนะไป การแข่งขันแบบนี้ก็ได้รับความนิยมพอสมควรในประเทศจนมีการแข่งในหลาย ๆ สนาม จนแพร่หลายในยุโรปเช่นเนเธอร์แลนด์หรือในทวีปออสเตรเลีย จนกระทั่งการแข่งขันนี้จะเป็นที่รู้จักมากขึ้นเมื่อเข้าสู่แผ่นดินสหรัฐอเมริกาในปี 2009 ซึ่งมี Red Bull เป็นผู้สนับสนุนหลักแต่ในช่วงนั้นก็มีรายการ X Games เป็นรายการแข่งหลักที่ได้รับความนิยมอยู่พอควร จนในปี 2014 ก็มีการจัดตั้งสมาคม FIA World Rallycross Championship หรือ World RX เป็นการจัดการแข่งขัน Rallycross ในระดับโลกแบบจริงจังเป็นทางการมากขึ้น ซึ่งตรงนี้ครับจะเป็นจุดที่สร้างความแตกต่างจาก Rally ปกติมากขึ้น ที่มารูปภาพ: Dimitris Vetsikas จาก Pixabay อย่างที่เกริ่นไปข้างต้นว่า Rallycross จะเป็นการแข่งทั้งทางดินและทางเรียบผสมกันแต่ว่ามันไม่ได้มีแค่นั้นครับ เพราะในสนามจะมีทางแยก 2 ทางคือทางเรียบ - ทางฝุ่น ให้นักแข่งเลือกว่าจะไปทางไหนโดยจะมีหนึ่งในสองเส้นทางจะมีระยะทางไกลกว่า ฟังแล้วคงคิดว่าคงจะไม่เลือกไปทางที่ไกลกว่าแน่นอน แต่ความจริงแล้วด้วยกติกาจาก World RX นักแข่งทุกคนจะต้องวิ่งเส้นทางดังกล่าว 1 ครั้ง นอกจากนี้กติกาการแข่งก็จะเป็นการแข่งเก็บคะแนนควอลิไฟล์ 4 รอบ รอบละ 4 คัน (รวมทั้งหมด 16) แต่จะคัดเหลือ 12 คันเพื่อไปแข่งรอบเซมิ-ไฟนอล ตัดจนเหลือผู้เข้าแข่ง 6 คนเพื่อไปแข่งรอบไฟนอลสุดท้าย ด้วยกติกาแบบนี้ที่มีการเก็บคะแนน ทำให้นักแข่งที่ชนะการแข่งไม่จำเป็นต้องได้ที่ 1 ทุกครั้งเสมอไปครับ นั่นหมายความว่านักแข่งจะต้องวางแผนให้ดีว่าควรจะเก็บคะแนนเท่าไหร่ถึงจะได้อันดับที่หวังไว้ รวมถึงทางแยก 2 ทางที่กล่าวไปด้วยว่าเมื่อจำเป็นต้องวิ่งทางระยะไกล 1 ครั้งควรจะทำในตอนไหน ซึ่งนักแข่งบางคนอาจจะยอมวิ่งเส้นทางดังกล่าวในรอบแรกแล้วรอบที่เหลือค่อยไล่กวดคู่แข่ง บางคนก็ตัดสินใจขับเส้นทางปกติให้ทิ้งห่างคู่แข่งมากที่สุดแล้วค่อยวิ่งทางระยะไกลในรอบสุดท้าย ที่มารูปภาพ: Dimitris Vetsikas จาก Pixabay มันก็เลยทำให้ Rallycross ไม่ใช่แข่งเพื่อทำอันดับให้ดีที่สุดเท่านั้นแต่ยังให้นักแข่งกับทีมได้จัดการบริหารกันว่า ควรจะทำอย่างไรให้ได้อันดับที่ต้องการและรถแข่งที่ขับไม่ชำรุดไปเสียก่อน เพราะมีนักแข่งหลายคนที่รถเสียกลางทางเนื่องจากเค้นแรงของรถมากเกินไป นอกจากนี้แล้วหากมาดูเรื่องสมรรถนะรถของ Rallcross ต้องบอกว่าน้อง ๆ ของรถ Supercar เลยครับ แรงม้าของรถจะต้องมีประมาณ 600bhp ใช้เครื่องยนต์ไม่เกิน 2.0 ลิตร ติดเทอร์โบชาร์เจอร์ขนาด 45mm และต้องมีน้ำหนักตัวอยู่ที่ 1300kg โดยจะมีกำหนดความเร็วสูงสุดที่ทำได้คือ 120 ไมล์/ชั่วโมง ลองคิดดูครับว่าต้องควบคุมรถยนต์ความแรงกว่า 600 แรงม้าและต้องเข้าโค้งตะลุยฝุ่นและทางเรียบ บางสนามจะมีเนินกระโดดด้วย มันคงจะระทึกใจมากทีเดียวครับแถมยังต้องขับเคี่ยวกับคู่แข่งอีก 4-6 คันอีก ไม่ได้ขับแข่งคนเดียวเหมือน Rally WRC ก็ยิ่งทำให้เพิ่มความกดดันมากขึ้น รวมถึงทีมงานช่างเครื่องที่ต้องปรับแต่งรถยนต์ให้วิ่งได้ดีทั้งทางเรียบและทางฝุ่น เรียกว่ายากเข้าไปอีกขั้นเลยล่ะ ที่มารูปภาพ: DW1988 จาก Pixabay การแข่ง Rallycross ในมุมมองของผู้เขียนนั้นก็ถือว่า เป็นการแข่งที่มีเสน่ห์ไปอีกแบบเพราะมีการลุยทั้งทางดินกับทางฝุ่นผสมกัน ซึ่งตัวผู้เขียนนั้นชื่นชอบการแข่งรถทางฝุ่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่การได้เห็นถ่ายทอดสดของรายการ World RX บวกกับกติกาการแข่ง ก็ทำให้น่าติดตาม ได้เห็นอีกรูปแบบการแข่ง ก็ทำให้รู้สึกว่าการจับรถแรลลี่ มาลุยสนามปิดระยะสั้นแบบนี้ มันแปลกใหม่เอามาก ๆ แม้ว่าจะไม่เคยมีประสบการณ์การแข่งด้วยตัวเอง แต่ผู้เขียนชื่นชอบบรรยากาศของการแข่งและรถยนต์ที่นำมาแข่งขัน ด้วยรูปลักษณ์ที่ปราดเปรียวของรถแต่ละยี่ห้อ เสียงเครื่องยนต์ที่คำรามออกมา เศษฝุ่นควันที่เลอะบนตัวรถ รวมแล้วมันเป็นอะไรที่เท่เอามาก ๆ เลยครับ ดังนั้นแล้วคงพอจะเห็นความแตกต่างกันอย่างชัดเจนซึ่ง Rallycross จะเป็นการแข่งขันที่สนุกน่าตื่นตาตื่นใจกว่าหรือแม้กระทั่งประสิทธิภาพของรถที่เร็วแรง แม้ว่ามอเตอร์สปอร์ตชนิดนี้ยังไม่เป็นที่รู้จักกว้างขวางนักในไทยแต่ในอนาคตเป็นสิ่งไม่น่านอน เราอาจจะเห็นการแข่งขัน Rallycross ฉบับไทยแลนด์ก็เป็นได้ครับ ที่มารูปภาพปก: Dimitris Vetsikas จาก Pixabay