เทียบชัดๆ แมนซิตี้ยุคเป๊ปคือทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกเหนือ ผีทริปเปิ้ลแชมป์ ปืนไร้พ่าย เชลซียุคน้ามู ลิเวอร์พูลยุคคล็อปป์แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยุคเป๊ป กวาดิโอล่า ประสบความสำเร็จอย่างมาก พวกเขาคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 4 สมัยติดต่อกัน (2020-2024) และคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก 1 สมัย (2023) แมนซิตี้สไตล์การเล่นฟุตบอลที่ต่อบอลสวยงามและน่าตื่นเต้น พวกเขามีผู้เล่นที่มีทักษะสูงและเล่นด้วยแผนที่ฉลาดปรับเปลี่ยนได้ตามสถานะการณ์ ยุคสมัยและทีมที่เจอ การเล่นของแมนซิตี้มีอิทธิพลอย่างมากในวงการฟุตบอล พวกเขาเป็นแรงบันดาลใจให้กับทีมอื่นๆ และแฟนบอลทั่วโลกในเวลานี้ แต่ทว่าความสำเร็จของแมนซิตี้ยังคงถูกนำไปเปรียบเทียบกับทีมอื่นพรีเมียร์ลีกที่ประสบความสำเร็จอย่างมากก่อนหน้าพวกเขา เช่น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, อาร์เซนอล และเชลซี ซึ่งแต่ละทีมมีจุดแข็งและจุดอ่อนที่แตกต่างกันไป คำถามคือแมนซิตี้ทีมปัจจุบันนี้คือทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกแล้วหรือยัง วันนี้ผมรวมพลังส้มตำไก่ย่างจะมาเปรียบเทียบกับทีมต่าง ๆ ในอดีตให้ลองอ่านกันครับแมนซิตี้ชุดแชมป์ฤดูกาล 2023/24 เป็นทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกแมนเชสเตอร์ ซิตี้ กลายเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ 135 ปี ที่คว้าแชมป์ลีกสูงสุด 4 ปีซ้อน หลายคนต่างยกย่องความสำเร็จของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า โดยบอกว่านี่อาจเป็นสถิติที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เขาเคยทำมา ตลอดประวัติศาสตร์ มีทีมที่ประสบความสำเร็จอย่างมากมาย เช่น ซันเดอร์แลนด์, แอสตันวิลล่า ในยุค 1890, ฮัดเดอร์สฟิลด์ทาวน์ ในยุค 1920, อาร์เซน่อล ในยุค 1930, แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ในยุค 1960, ลิเวอร์พูล ในยุค 1970 และ 1980, แมนยูไนเต็ด อีกครั้งในยุค 1990 และ 2000 แต่ไม่มีทีมไหนทำใดสามารถคว้าแชมป์ 4 สมัยติดได้เหมือนแมนซิตี้ในตอนนี้ จนเกิดคำถามขึ้นมาว่าพวกเขาเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกแล้วหรือยังความยอดเยี่ยมของแมนซิตี้ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา มาจากการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เขาพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 6 จาก 7 ฤดูกาลหลังสุด ด้วยการปรับเปลี่ยนและค่อย ๆ สร้างทีมเล็ก ๆ น้อยๆ ใหม่ ซึ่งถือเป็นเคล็ดลับที่ทำให้เขายืนหยัดอยู่บนจุดสูงสุดของฟุตบอลอังกฤษได้ยาวนานในช่วงเวลานั้น ลิเวอร์พูลเอง 1 ในคู่แข่งแย้งแชมป์คนสำคัญ ภายใต้การคุมทีมของเจอร์เก้น คล็อปป มีการปฏิวัติทีมครั้งใหญ่มาแล้วอย่างน้อย 1 ครั้ง อาร์เซน่อลเองก็ผ่านการเปลี่ยนแปลงทีมมาหลายรูปแบบ เชลซีเองก็ผ่านวงจรมากมาย จนทำให้รู้สึกเหมือนว่าฤดูกาลที่ อันโตนิโอ คอนเต้ คว้าแชมป์นั้นผ่านไปนานมากแล้ว ทั้งที่มันเกิดขึ้นในปีแรกของการเข้ามาคุมทีมของเป๊ปในอังกฤษด้วยซ้ำแมนซิตี้เองก็มีการเปลี่ยนแปลงตลอดช่วงเวลานี้เช่นกัน แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงทีละน้อยอย่างต่อเนื่อง การเปลี่ยนผ่านตั้งแต่ยุคของ เลรอย ซาเน่ และ ราฮีม สเตอร์ลิง, ผ่านยุคที่ อิลคาย กุนโดกัน เป็นแกนนำ ไปจนถึงอีกหลาย ๆ คน จนมาถึงในปัจจุบัน ล้วนเป็นไปอย่างราบรื่นและแทบจะมองไม่เห็นความแตกต่าง จนเราสามารถพูดได้ว่า 8 ปีที่ผ่านมาของแมนซิตี้ถือเป็นยุคทองของพวกเขาอย่างแท้จริงและมันเป็นยุคทองที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ หากไม่นับปีแรกที่จบอันดับ 3 โดยเฉลี่ยแล้ว แมนซิตี้มีสถิติสุดโหดออกมาดังนี้มีคะแนนเฉลี่ยต่อฤดูกาล: 91.1 คะแนนยิงประตูเฉลี่ยต่อฤดูกาล: 96.4 ประตูเสียประตูเฉลี่ยต่อฤดูกาล: 30.0 ประตูแพ้เฉลี่ยต่อฤดูกาล: 4.6 นัดมีอัตราการชนะเฉลี่ยต่อฤดูกาล: 75.9%พวกเขาคว้าแชมป์ไปทั้งหมด 17 รายการ รวมถึงการคว้า 3 แชมป์ (Treble) ในปี 2023, แชมป์ 3 รายการภายในประเทศ (Domestic Treble) ในปี 2019 และแชมป์ 2 รายการ (Double) ในปี 2023 จากนี้ผมจะพาไปเปรียบเทียบกับทีมที่ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกทีมอื่น ๆ ให้เห็นภาพกันครับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชุดฤดูกาล 1998-2001: ยอดทีมที่คว้า 3 แชมป์ (Treble)แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คือทีมเดียวในอังกฤษนอกเหนือจากแมนซิตี้ชุดปัจจุบันที่เคยคว้า 3 แชมป์ (ได้แก่ แชมป์พรีเมียร์ลีก, เอฟเอคัพ และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก) ซึ่งพวกเขาทำได้สำเร็จในปี 1999 และยังสามารถป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีกได้อีก 2 ฤดูกาลถัดมา หากพิจารณาจากสถิติ พวกเขาสู้ไม่ได้กับแมนซิตี้ของเป๊ป กวาร์ดิโอล่าเลยในทุกด้าน ยกเว้นอย่างเดียวที่น่าแปลกใจคือจำนวนนัดที่แพ้เฉลี่ยต่อฤดูกาล ซึ่งแมนยูไนเต็ดชุดนั้นแพ้เฉลี่ย 4.0 นัดต่อฤดูกาล ขณะที่แมนซิตี้แพ้เฉลี่ย 4.6 นัดต่อฤดูกาลวิเคราะห์เทียบสถิติจากตารางแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ชุด 2017-2024 มีสถิติที่เหนือกว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชุด 1998-2001 ในเกือบทุกด้านแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ชุด 2017-2024 ทำคะแนนเฉลี่ยต่อฤดูกาลได้มากกว่า ชนะมากกว่า แพ้มากกว่าเล็กน้อย ยิงประตูได้มากกว่า และเสียประตู น้อยกว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ชุด 2017-2024 คว้าแชมป์เฉลี่ยได้มากกว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชุด 1998-2001 การคว้า 3 แชมป์ (Treble) ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชุดนั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน พวกเขาเป็นสโมสรแรกจาก 5 ลีกใหญ่ของยุโรป (อังกฤษ, สเปน, เยอรมัน, อิตาลี, ฝรั่งเศส) ที่คว้า 3 แชมป์ได้ ซึ่งในสมัยนั้นถือเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้การที่ทีมอื่นๆ สามารถทำได้สำเร็จอีก 6 ครั้งหลังจากนั้น (โดยแมนซิตี้, บาเยิร์น มิวนิก 2 ครั้ง, บาร์เซโลน่า 2 ครั้ง และ เรอัล มาดริด) ชี้ให้เห็นว่า มีทีมใหญ่ไม่กี่ทีมในยุโรปครองความยิ่งใหญ่ลีกภายในประเทศ การคว้า 3 แชมป์นั้นเริ่มเห็นมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น แมนยูไนเต็ด ชุดนั้นอาจจะกล่าวได้ว่าเป็นทีมที่สร้างสรรค์และคิดค้นวิธีการเล่นใหม่ๆ ได้เทียบเท่ากับแมนซิตี้ของเป๊ป กวาร์ดิโอล่าเลยทีเดียวการครองบอลอย่างใจเย็นตามที่ ไมเคิล ค็อกซ์ อธิบายไว้ในหนังสือ "The Mixer: The Story of Premier League" แนวคิดนี้ในยุโรปแผ่นดินใหญ่ (นอกเกาะอังกฤษ) ล้ำหน้ากว่าอังกฤษมากในช่วงยุค 90 การที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เข้าร่วมการแข่งขันยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในยุคนั้นมีเพียงแชมป์ลีกและไม่กี่ทีมเท่านั้นที่จะได้สิทธิ์เข้าร่วม ทำให้ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน มีโอกาสเรียนรู้แนวคิดเหล่านั้นได้เป็นพิเศษ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในยุคของเซอร์อเล็ก เน้นการครองบอลอย่างใจเย็น ขณะที่ทีมอื่นๆ ในพรีเมียร์ลีกยังคงอยู่ในช่วงของการเข้าแย่งบอลกันในแดนกลางแบบหนักหน่วงตามสไตล์ดั้งเดิม สิ่งที่สายตาของคนยุคใหม่มองว่าเป็นการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย เช่น เดวิด เบ็คแคม เคลื่อนที่เข้ามาด้านในจากทางขวา, ไรอัน กิกส์ บุกขึ้นมาทางด้านซ้าย กลับกลายเป็นการพัฒนาครั้งสำคัญในยุคนั้นในทางกลับกัน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเวลานั้นมีคู่แข่งเพียงทีมเดียวคืออาร์เซน่อล ที่เป็นรองแชมป์ทั้ง 3 ฤดูกาล ในขณะที่แมนซิตี้ต้องเผชิญหน้ากับทั้งลิเวอร์พูลและอาร์เซน่อลในช่วงเวลานี้ แน่นอนว่าแมนซิตี้เหนือกว่าแมนยูไนเต็ดชุดนั้นในด้านเทคนิค และสามารถคว้าแชมป์ได้มากกว่าด้วย แต่ วิถีทางที่เซอร์อเล็ก เฟอร์กูสัน บุกเบิกแนวทางใหม่ ทั้งในด้านวิธีการและการคว้า 3 แชมป์ ก็เป็นข้อพิสูจน์สิ่งเหล่านั้นได้เป็นอย่างดีอาร์เซน่อล ยุค 2001-2004: ทีมไร้พ่ายของอาร์แซน เวนเกอร์ ที่ยังคงเป็นทีมเดียวในอังกฤษที่ทำได้ช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมที่สุดของ อาร์เซน่อล ภายใต้การนำของ อาร์แซน เวงเกอร์ อยู่ระหว่างปี 2001 ถึง 2004 เริ่มต้นด้วยการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพ รวมถึงการไม่แพ้เลยตลอดฤดูกาลนอกบ้าน และปิดท้ายด้วยฤดูกาลไร้พ่ายอันเป็นตำนาน "Invincibles" ที่ยังไม่มีทีมไหนทำได้สำเร็จอีกเลยแต่เมื่อหากพิจารณาจากสถิติดิบ ๆ ทีมชุดนี้สู้นั้นยังสู้ไม่ได้กับแมนซิตี้ยุคเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ยกเว้นจำนวนนัดที่แพ้ ดังตารางตามภาพวิเคราะห์เทียบสถิติจากตารางแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ชุด 2017-2024 มีสถิติที่เหนือกว่า อาร์เซน่อล ชุด 2001-2004 ในเกือบทุกด้านแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ชุด 2017-2024 ทำคะแนนเฉลี่ยต่อฤดูกาลได้มากกว่า ชนะมากกว่า แพ้มากกว่า ยิงประตูได้มากกว่า และเสียประตูน้อยกว่า อาร์เซน่อลแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ชุด 2017-2024 คว้าแชมป์ได้มากกว่า อาร์เซน่อล ชุด 2001-2004 แต่อาร์เซน่อลก็ยังมีสถิติการลงสนามทั้งฤดูกาล 38 นัด โดยไม่แพ้ใครเลยสักครั้ง (และไร้พ่าย 49 นัด ติดต่อกัน จนถึงเดือนตุลาคม 2004) ถือเป็นความสำเร็จที่น่าทึ่ง ยังไม่มีทีมไหนในอังกฤษทำได้สำเร็จอีกเลย แม้แต่แมนซิตี้ของเป๊ปกวาร์ดิโอล่าในช่วงพีคสุดของพวกเขาก็ทำไม่ได้ ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังทำได้อย่างยอดเยี่ยม ทีมชุดนั้นที่มีนักเตะอย่าง เดนนิส เบิร์กแคมป์, เธียรรี่ อองรี, โรแบร์ ปีเรส และ ปาทริค วิเอร่า ที่เล่นกันได้อย่างสวยงามและยอดเยี่ยมในแต่ละตำแหน่งของพวกเขา เป็นการผสมผสานระหว่างความแข็งแกร่งทางจิตใจที่จำเป็นต่อการไม่แพ้ใคร กับการเล่นอันยอดเยี่ยม เป็นเหตุผลที่ทำให้หลายคนยกย่องทีมอาร์เซน่อลชุดนี้ว่าเป็นทีมที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก แม้ว่าการพลาดแชมป์ในฤดูกาล 2002/03 ก็ตามอีกปัจจัยที่ต้องพิจารณาคือคุณภาพของคู่แข่ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในช่วงเวลานั้นอยู่ในช่วงขาลง และใน 2 ฤดูกาลที่อาร์เซน่อลคว้าแชมป์ ลิเวอร์พูล (ได้ 80 แต้ม) และเชลซี (ได้ 79 แต้ม) ไม่ใช่คู่แข่งที่น่ากลัวเท่าไหร่ในช่วงเวลานั้นหากเปรียบเทียบพวกเขากับแมนซิตี้ของเป๊ป กวาร์ดิโอล่าเป็นเรื่องของสไตล์การเล่น แมนซิตี้ชนะมากกว่า และชนะได้อย่างสม่ำเสมอ สำหรับบางคน นี่ทำให้พวกเขาเหนือกว่าอย่างชัดเจน แต่สำหรับอีกหลายคน โดยเฉพาะเวนเกอร์เอง จะให้ความสำคัญกับความสวยงามของเกม มากกว่าผลลัพธ์ แชมป์พรีเมียร์ลีก 2 สมัยติดต่อกันของเชลซีในปี 2004/05 และ 2005/06 ภายใต้การคุมทีมของ โชเซ่ มูริญโญถือเป็นหนึ่งในฤดูกาลที่ดีสุดในประวัติศาสตร์ของลีกทั้งสองแชมป์นี้ พวกเขาคว้าแชมป์มาด้วยการทำคะแนนมากถึง 90 แต้ม ซึ่งเวลานั้นถือว่ามากพอสมควร เป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้นติดต่อกัน 2 ฤดูกาล ในขณะเดียวกัน ฟอร์มการเล่นรับที่ยอดเยี่ยมของเชลซีในฤดูกาลแรกนั้นพวกเขาเสียประตูเพียง 15 ประตุ ยังคงเป็นสถิติที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกจนถึงทุกวันนี้ ที่น่าแปลกใจ คือ ทีมเชลซีชุดคว้าแชมป์ 2 ปีซ้อนของมูริญโญ ในช่วงปี 2004-2006 ทำคะแนนเฉลี่ยต่อฤดูกาลและอัตราการชนะเฉลี่ยต่อฤดูกาลสูงกว่า แมนซิตี้ของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ช่วงปี 2017-2024 ดังตารางตามภาพวิเคราะห์เทียบสถิติจากตารางเชลซี ชุด 2004-2006 มีสถิติที่เหนือกว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ชุด 2017-2024 ใน 2 รายการ คือ คะแนนเฉลี่ยต่อฤดูกาล และ อัตราการชนะคิดเป็นเปอร์เซ็นเชลซี ชุด 2004-2006 ทำคะแนนเฉลี่ยต่อฤดูกาลได้มากกว่า ชนะมากกว่าและเสียประตูน้อยกว่าแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ชุด 2017-2024 ยิงประตูได้มากกว่า เชลซี ชุด 2004-2006 เฉลี่ย 24.4 ประตูแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ชุด 2017-2024 คว้าแชมป์ได้มากกว่า เชลซี ชุด 2004-2006 ในยุคนั้นการมาพรีเมียร์ลีกอังกฤษของ มูริญโญ ถือเป็นการปฏิวัติวงการฟุตบอลอังกฤษอีกครั้งหนึ่งเขาเริ่มต้นด้วยประโยคเด็ด "The Special One" ที่คุ้นหู ในงานเปิดตัว และตลอด 3 ปีต่อมา พรีเมียร์ลีกก็ถูกกระแสไปด้วยเสน่ห์ สีสันและความเป็นอัจฉริยะของกุนซือเชลซี ที่เปลี่ยนแปลงวงการฟุตบอลอังกฤษ ด้วยสไตล์การเล่นที่เน้นการเล่นรับที่แข็งแกร่งแต่เฉียบคมด้วยการจบสกอร์ ในฤดูกาล 2004/05 คือช่วงที่ดีที่สุดของทีมที่มีนักเตะอย่าง จอห์น เทอร์รี่, ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ และ ปีเตอร์ เช็ก ช่วยกันสร้างแนวรับที่แข็งแกร่ง เสียประตูเพียง 15 ลูก เก็บได้ 95 แต้ม และเกือบจะทำแชมป์ไร้พ่ายตลอดฤดูกาลในช่วงครึ่งทศวรรษต่อมา ฟุตบอลที่เน้นรับอย่างรัดกุมครองลีก โดย ราฟาเอล เบนิเตส ของผู้จัดกานทีมของลิเวอร์พูลในเวลานั้นก็ได้นำมาปรับใช้อยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ส่งผลต่อแนวทางการเล่นของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ภายใต้การนำของ เซอร์อเล็ก เฟอร์กูสัน จนรู้สึกเหมือนว่าทุกๆ ปี ช่วงหลังของยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก จะเต็มไปด้วยผลเสมอกัน 0-0 ระหว่างทีมยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ แต่ก็มีข้อด้อยของทีมเชลซีชุดนี้เมื่อเทียบกับ แมนซิตี้ ของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ก็คือ สไตล์การเล่นของแมนซิตี้ ที่น่าตื่นเต้นกว่ามาก นอกจากนี้ ทีมของมูริญโญ่ ยังคว้าแชมป์ได้เพียงแค่ 1 รายการ คือ อีเอฟแอล คัพ(หรือคาร์บอม คัพในชื่อปัจจุบัน ควบคู่ไปกับแชมป์พรีเมียร์ลีก 2 ปี อย่างไรก็ตาม มูริญโญ มีส่วนสำคัญในการนำระบบ 4-3-3 เข้ามาสู่วงการฟุตบอลอังกฤษ เขาทำให้เรารู้จักกับ “บทบาทของกองกลางตัวตัดเกม” อย่าง โคล้ด มาเกเลเล่ และอื่นๆ อีกมากมายลิเวอร์พูลช่วง 2018-2022 ภายใต้การคุมทีมของเจอร์เก้นคล็อปปการตัดสินกันระหว่าง แมนซิตี้ ของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า กับ ลิเวอร์พูล ของ เจอร์เก้น คล็อปป์ มีเพียงแค่ผลลัพธ์เดียวคืแชมป์ ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขานั้นฟาดฟันกันมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา แมนซิตี้ เหนือกว่าอย่างชัดเจนแต่ทว่า หากเราต้องเปรียบเทียบประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก จะต้องรวมช่วงเวลาที่ดีที่สุดของ คล็อปป์ มาเทียบด้วย ซึ่งถ้ามองข้ามเรื่องจำนวนแชมป์ไป ฟอร์มการเล่นของพวกเขาในช่วงนั้นยอดเยี่ยมอย่างน่ายิ่งวิเคราะห์เทียบสถิติจากตารางลิเวอร์พูล ชุด 2018-2022 มีสถิติที่ดีกว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ชุด 2017-2024 ใน 1 รายการ คือ อัตราการแพ้ต่อฤดูกาลแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ชุด 2017-2024 ยิงประตูได้มากกว่า ลิเวอร์พูล ชุด 2018-2022 1.6 ประตูแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ชุด 2017-2024 คว้าแชมป์ได้มากกว่า ลิเวอร์พูล ชุด 2018-2022 ในฤดูกาล 2018/19 พวกเขาลิเวอร์พูลเก็บได้ 97 แต้ม ซึ่งยังคงเป็นอันดับที่ 4 ของทีมที่มีคะแนนสูงสุดตลอดกาลของพรีเมียร์ลีก ถ้าหากพวกเขาเสมอกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในเกมที่แพ้ 2-1 ที่สนามเอติฮัด สเตเดี้ยม ตอนที่สกอร์ยัง 0-0 ซึ่ง จอห์น สโตนส์ เคลียร์บอลออกจากเส้นประตูได้อย่างหวุดหวิด พวกเขาน่าจะคว้าแชมป์ลีกได้ สำเร็จทำลายสถิติ 100 แต้ม และพ่วงสถิติไร้พ่ายตลอดฤดูกาล แต่ในปีถัดมา พวกเขาสามารถคว้าแชมป์ลีกครั้งแรกในรอบ 30 ปี ได้สำเร็จ โดยชนะ 26 เสมอ 1 จาก 27 เกมแรกของฤดูกาล ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2020 ฟอร์มการเล่นของพวกเขา เมื่อรวมกับฤดูกาล 2018/19 ชนะ 56 เสมอ 8 แพ้ 1 จาก 65 เกมในพรีเมียร์ลีกที่ลงเล่นไม่มีทีมไหนทำได้ดีขนาดนี้ลิเวอร์พูลเกือบจะได้แชมป์อีกครั้งในฤดูกาล 2021/22 แม้จะเก็บได้ถึง 92 แต้ม แต่ก็ไม่เพียงพอ โดยมีลุ้นจนถึงนัดสุดท้ายของฤดูกาล ที่ถึงแม้ว่าแอสตัน วิลล่า จะขึ้นนำแมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2-0 เหลือ 15 นาที แต่สุดท้ายแล้ว แมนซิตี้ ก็สามารถพลิกกลับมาชนะและคว้าแชมป์ไปครองแบบช็อคแฟนบอลลิเวอร์พูลทั่วโลก การเกือบจะได้แชมป์หลายครั้งขนาดนี้ มันคงเจ็บปวดไม่น้อยสำหรับพวกเขา พวกเขาคว้าแชมป์กับคล็อปป์ไป 7 รายการ แต่ก็เคยเป็นรองแชมป์ถึง 2 ครั้ง ด้วยคะแนนมากกว่า 90 แต้ม และแพ้รอบชิงยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก 2 ครั้งจากสถิติที่กล่าวมาข้างต้นทำให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ชุด 2017-2024 น่าจะเป็นทีมที่ดีกว่าลิเวอร์พูลชุดนี้ของคล็อปปแค่เหตุผลนี้ก็น่าจะเพียงพอที่จะยกย่องให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้เป็นทีมที่ดีที่สุดเท่าที่พรีเมียร์ลีกมีมาแล้ว นี่เป็นหลักฐานสุดท้ายที่บ่งบอกว่าความสำเร็จของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ภายใต้การคุมทีมของเป๊ปกับแชมป์พรีเมียร์ลีก 4 ปีติดต่อกัน, ทริปเปิลแชมป์, และแชมป์ 6 ปีจาก 7 ปีหลังสุด นับเป็นจุดสูงสุดในยุคพรีเมียร์ลีกอย่างแท้จริงซึ่งยากที่จะมีใครทำได้สำเร็จสุดท้ายนี้ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านบทความของผมไว้พบกันใหม่บทความหน้าสวัสดีครับบทความแนะนำhttps://intrend.trueid.net/article/%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81-%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%B2-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%99-%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8B%E0%B8%B4%E0%B8%A5-%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%A5%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5-%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%8B%E0%B8%B5-trueidintrend_445551https://intrend.trueid.net/article/%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B9%81%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%84-%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B9%88-%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%AD%E0%B8%95-arne-slot-%E0%B8%AA%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%A1%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B9%8A%E0%B8%8A%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88-liverpool-%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B8%9A-trueidintrend_442656https://intrend.trueid.net/article/%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81-%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%99-%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%AD%E0%B8%95-arne-slot-%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B9%87%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%87%E0%B8%A9%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%9E%E0%B8%B9%E0%B8%A5-trueidintrend_442315ขอบคุณภาพประกอบจาก : Premier League / Manchester City ภาพปก 1 / ภาพประกอบ 1 / ภาพประกอบ 2 / ภาพประกอบ 3 / ภาพประกอบ 4 / ภาพประกอบ 5 โดยผู้เขียน / ภาพประกอบ 6 / ภาพประกอบ 7 / ภาพประกอบ 8 / ภาพประกอบ 9 โดยผู้เขียน / ภาพประกอบ 10 / ภาพประกอบ 11 / ภาพประกอบ 12 โดยผู้เขียน / ภาพประกอบ 13 / ภาพประกอบ 14 / ภาพประกอบ 15 / ภาพประกอบ 16 / ภาพประกอบ 17 โดยผู้เขียน / ภาพประกอบ 18 / ภาพประกอบ 19 / ภาพประกอบ 20