ทนไม่ไหวแล้ว! สรุป 5 ประเด็น 'เอวร่า' จัดหนัก อัดคลิปซัดแหลก แฉเบื้องลึกอันเน่าเฟะของบอร์ดผี
ปาทริซ เอวร่า ตำนานแข้งปีศาจแดง รับไม่ได้แล้ว กับสถานการณ์อันย่ำแย่ของทีมรัก ซึ่งเกิดมาจากบอร์ดบริหารของสโมสร ที่มีวิธีการทำงานที่ผิดพลาดอย่างหนัก จนทำให้เขาทนไม่ไหว ต้องออกมาเปิดเผยความจริงภายในรั้ว โอลด์ แทรฟฟอร์ด ให้แฟนบอลทั่วโลกได้รู้ถึงต้นตอที่แท้จริงของปัญหา ที่กำลังเกิดขึ้นกับทีมอยู่ในเวลานี้
เหล่าบรรดาพลพรรค "เรด เดวิลส์" แฟนพันธุ์แท้ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทั้งหลาย ต้องรีบมาฟังกันให้ชัดๆ เลย เมื่อ ปาทริซ เอวร่า อดีตแบ็กซ้ายชาวฝรั่งเศสของทีม ผู้มีเลือดของ "ปีศาจแดง" อยู่เต็มหัวใจ สุดทนกับปัญหาภายในที่กำลังเกิดขึ้นกับทีมรัก จนต้องลุกขึ้นมาเปิดโปง ความจริงอันโหดร้ายภายในถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด ซึ่งเป็นเบื้องหลังของความล้มเหลวของทีม ทั้งในและนอกสนาม ที่แฟนๆ ส่วนใหญ่ไม่น่าจะเคยได้รับรู้มาก่อน โดยอัดเป็นคลิปวีดิโอยาวถึง 20 นาที ลงในอินสตาแกรมส่วนตัวของเขาเอง
"สวัสดีแฟนบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทุกคน ตอนนี้เป็นเวลาตี 2 แล้ว แต่ผมไม่สามารถข่มตาลงนอนได้ เพราะผมเศร้า, เหนื่อยล้า, รู้สึกเจ็บปวด หรืออะไรก็ตาม แล้วแต่คุณจะเรียก จริงๆแล้ว วันนี้เป็นวันจันทร์ ผมตั้งใจจะทำให้คุณสนุก และสร้างเสียงหัวเราะให้กับทุกคนตามปกติ แต่ผมต้องขอโทษกับแฟนๆ ที่ตั้งตารอดูคลิปตลกๆ ในวันจันทร์ของผมด้วย แต่ผมทำวิดีโอแบบนั้นไม่ได้ ถ้าตัวเองไม่ได้มีความสุข ผมไม่ใช่พวกที่ชอบเสแสร้ง ดังนั้นเมื่อทีมของผม กำลังมีสภาพที่ย่ำแย่มากๆ ผมจึงจำเป็นต้องระบายออกมา"
"สิ่งที่ผมชอบเกี่ยวกับโซเชี่ยลมีเดียของตัวเอง นั่นคือ คุณสามารถจะพูดและสื่อสารอะไรก็ได้ในพื้นที่ของคุณ โดยไม่มีใครมาห้ามได้"
(เอวร่า ดื่มน้ำจากแก้วลายแมนยู แล้วกล่าวต่อว่า) "ใช่แล้ว นั่นคือ ความรู้สึกดีเพียงอย่างเดียว ที่ผมได้จากทีมของผม นั่นคือการได้ดื่มชาเขียวจากแก้วลาย แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ของผม ผมไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี เอาเป็นว่าเริ่มจากเรื่องการเสริมทัพก่อนแล้วกัน"
ปาทริซ เอวร่า เริ่มเกริ่น ด้วยความรู้สึกอัดอั้นตันใจเป็นอย่างยิ่ง ก่อนที่จะเริ่มเปิดเผยถึงรากเหง้าของปัญหาในทีมทั้งหมด โดยเราได้ทำการรวบรวมประเด็นที่ เอวร่า ได้กล่าวถึงทั้งหมด แล้วสรุปใจความสำคัญตามหัวข้อออกมาได้ 5 ข้อ ดังต่อไปนี้
1. เบื้องหลังของความล้มเหลวในการเสริมทัพ.. แมตต์ จัดจ์ หัวหน้าทีมเจรจาการซื้อขาย
ต้นตอของการซื้อ-ขาย อันล้มเหลว พวกเขาส่งนักกฎหมาย ที่ไม่ได้รู้เรื่องฟุตบอล ไปเซ็นสัญญากับนักเตะ แล้วพูดคุยกันแต่เรื่องของตัวเลข ใช้การทุ่มเงินค่าเหนื่อย เพื่อล่อให้นักเตะย้ายมาร่วมทีม มากกว่าการทำให้นักเตะอยากเล่นเพื่อสโมสร ดังเช่น ดีลของ อเล็กซิส ซานเชซ
ในทุกๆ ปีผมเจอแต่เรื่องเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา เหมือนที่ผมเคยบอกไปว่า เราทำให้เกิดการพูดถึงอย่างมากบนสื่อโซเชียลมีเดีย แต่ความจริงมันกลับ... (เอวร่า ทำสีหน้า ที่สื่อว่า มันตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง)
ทุกๆ เป้าหมายที่เราตกเป็นข่าว หมายถึงพวกเป้าหมายหลักน่ะ ผมไม่ได้ขอให้ทีมซื้อนักเตะทุกคนให้ได้ เพราะแฟนๆ ต้องเข้าใจก่อนว่า มันไม่ใช่ว่าพอคุณซื้อนักเตะ 5, 6, 7 หรือ 10 คน แล้วทีมจะดีขึ้นได้เลย แต่อย่างน้อย เป้าหมายตัวหลัก คือคนที่คุณต้องคว้าตัวมาร่วมทีมให้ได้ และทุกวันนี้เราก็ไม่ได้ทำอย่างนั้นอีกแล้ว
ในยุคของ เฟอร์กี้ ในยุคของ เดวิด กิลล์ (อดีตประธานบริหาร แมนฯ ยูไนเต็ด) เราแทบจะไม่ได้ยินข่าวอะไรตามหน้าหนังสือพิมพ์เลย แต่แล้วก็ ป้าม, ป้าม, ป้าม! เราได้นักเตะอย่าง ฟาน เพอร์ซี่, เอฟร่า, วิดิช, เฟอร์ดินานด์ บู้ม! ทุกอย่างมันเป็นไปอย่างรวดเร็ว เพราะพวกเขาจะเดินทางไปพบนักเตะ และพูดคุยกันแบบตัวต่อตัว
แต่ตอนนี้ ผู้บริหารด้านฟุตบอลของทีมชั้นนำบางคน ถึงกับต้องโทรศัพท์มาหาผม เพื่อบอกว่า "ปาทริซ นายช่วยบอกให้ แม็ตต์ จัดจ์ (หัวหน้าฝ่ายเจรจาการเสริมทัพของ แมนฯ ยูไนเต็ด) ให้รับโทรศัพท์ทีได้ไหม"
ใช่! ทุกคนต้องรู้ก่อนว่า ทุกวันนี้เรา (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด) ส่งนักกฎหมายไปคุยกับนักเตะ ซึ่งพวกเขาก็จะเอาแต่คุยเรื่องตัวเลข เราไม่ได้ส่งคนจากวงการฟุตบอลไปคุยกับนักเตะเลย ดังนั้นเมื่อเราต้องการใครก็ตาม มันก็กลายเป็นว่าเราต้องจ่ายเงินถึง 100 ล้านปอนด์ เพื่อให้ได้เขามาร่วมทีมทั้งที่จริงๆ แล้วเขามีค่าตัวในระดับแค่ 20 ล้านปอนด์เท่านั้น แต่ทุกวันนี้แม้กระทั่งนักเตะแบบนั้นก็ไม่อยากได้เงินจากเราอีกต่อไปแล้ว
ตัวอย่างที่ดีที่สุดคือ อเล็กซิส ซานเชซ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แสดงท่าทีประมาณว่า "มาหาเราเลย ที่นี่เรามีเงินก้อนโตให้นาย" แต่ขนาดทำแบบนั้นไปแล้ว เขายังบอกเลยว่า หลังจากอยู่กับทีมได้เพียง 1 วัน เขาก็ถามเอเยนต์ไปว่า สามารถยกเลิกสัญญาได้รึเปล่า ขนาดเขายังบอกเลยว่าเขาไม่อยากได้เงินของคุณ
ซึ่งนั่นมันเป็นการดูหมิ่นต่อสโมสรของเรา ไม่ให้เกียรติในความยิ่งใหญ่ที่เราสร้างขึ้นมา เพราะก่อนหน้านั้น เรามีนักเตะอย่าง บ็อบบี้ ชาร์ลตัน, จอร์จ เบสต์ และทุกคนที่สร้างประวัติศาสตร์ของสโมสรขึ้นมา นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เราต้องให้ความเคารพ ไม่ว่าจะเป็นทั้งทีมยุค 99 หรือ ทีมยุคเราในปี 2008 แต่ตอนนี้มีบางคนที่อยากทำลายความยิ่งใหญ่เหล่านั้น พยายามทำลายมรดกตกทอดของเราให้หมดสิ้นไป เพื่ออะไรกัน เพื่อเรื่องธุรกิจเนี่ยนะ ไม่เอาน่าพวก เรามีดีกว่านั้น
2. เอ็ด วู้ดเวิร์ด.. ไว้ใจคนผิด นี่คือสิ่งที่ผมจะบอก
เขาเชื่อใจคนภายนอกสโมสร มากกว่าคนในด้วยซ้ำ แต่อย่าเข้าใจผมผิด ผมไม่ได้มีปัญหาส่วนตัวกับเขา เพราะถ้ามีอะไร ผมก็คงจะเดินไปบอกเขาโดยตรงแล้ว และถ้าผมได้ทำงานให้ยูไนเต็ด สิ่งแรกที่ผมจะทำคือ ตบเอเยนต์นักเตะบางคน
บางคนบอกว่าผมด่านักเตะเพราะสนุก แต่ผมไม่ใช่คนแบบนั้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้าผมมีปัญหากับ เอ็ด วู้ดเวิร์ด แล้วล่ะก็ ผมก็ไม่มานั่งพูดบนโซเชียลมีเดียหรอก ป่านนี้ผมก็คงส่งข้อความไปหาเขา หรือไปพบกับเขาแบบตัวต่อตัว แล้วบอกความคิดของผมไปแล้ว เราโทษเขากันเยอะมากๆ แต่ปัญหาเดียวของ เอ็ด ที่ผมจะบอกกับเขาได้ ก็คือ เขาเชื่อใจคนที่ไม่ควรจะเชื่อใจมากเกินไป เขาถึงขนาดเชื่อใจพวกคนภายนอกสโมสรมากกว่าคนในด้วยซ้ำ นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ผมพอจะบอกได้ว่ามันเป็นปัญหาของ เอ็ด
แล้วก็ ขอบคุณสำหรับบางคนที่มาอยู่ที่นี่ แล้วทำให้เรามีเงินเยอะ อย่างเช่น ริชาร์ด อาร์โนลด์ (ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของ แมนฯ ยูไนเต็ด) น่ะ คือจริงอยู่ ว่าคนพวกนี้ทำสัญญาด้านสปอนเซอร์ ที่จะให้เงินก้อนโตกับคุณได้ และเราก็ได้เงินเข้าสโมสรเยอะมากๆ แต่เรากลับไม่ได้นักเตะที่ดีจริงๆ มาร่วมทีมเลย เพราะเราส่งคนที่ไม่เหมาะสมไปคุยกับนักเตะเหล่านั้น และเราก็เพิ่งมาเปลี่ยนแนวทางกันเมื่อไม่นานมานี้ (เมื่อ โซลชา เข้ามาเป็นผู้จัดการทีม) ตอนนี้เราพยายามที่จะทาบทามนักเตะมาร่วมทัพ และพยายามคุยกับพวกเขาในแบบเดียวกับที่ เฟอร์กูสัน เคยทำ (ไปคุยกับนักเตะเป้าหมายด้วยตัวเอง)
สำหรับตัวผมเองนั้น ถ้าผมได้ทำงานให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แล้วล่ะก็ เชื่อผมเถอะว่า สิ่งแรกที่ผมจะทำ ก็คือ ตบหน้าเอเยนต์บางคน เพราะพวกเขาคือปัญหาที่แท้จริง จากการที่พวกเขาถือสิทธิ์ควบคุมนักเตะในความดูแลอย่างมาก ตื่นกันได้แล้วพวก (พูดถึงเหล่านักเตะ) นี่คือชีวิตของพวกนาย มันคือชะตากรรมของพวกนาย เอเยนต์ของพวกนายน่ะ ถึงแม้บางคนจะนิสัยดี แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเขามองว่านายเป็นเพียงธนบัตร พวกเขามองว่านายเป็นแค่แหล่งทำเงินเท่านั้น พวกเขาไม่สนหรอกว่า นายจะเจ็บหรือเล่นได้ดีไหม
ดังนั้น ตื่นกันได้แล้วพวก นี่คือข้อความที่สำคัญถึงคนรุ่นใหม่ ถ้าเกิดเอเยนต์ของนายเคารพการตัดสินใจของนายแล้วล่ะก็ นายก็ควรจะใช้บริการเอเยนต์เหล่านั้นไปตลอดชีวิต แต่ถ้าพวกเขาอยากให้นายไปอยู่กับทีมใดทีมหนึ่ง เพื่อที่จะได้เงินเยอะกว่าเดิมแล้วล่ะก็ พวกนายก็ไม่ควรอยู่กับเอเยนต์แบบนั้นต่อไป เชื่อฉันเถอะ
3. ฟังนะ โอเล่ คือคนที่ใช่!.. และ อัฟราม เกลเซอร์ (เจ้าของทีม) คือ คนที่รักสโมสร!
อย่ายุ่งกับโอเล่! เพราะเขา คือ คนที่กำลังต่อสู้กับสิ่งดังกล่าว เพื่อเปลี่ยนแปลง ยูไนเต็ด ให้กลับมาสู้เส้นทางที่ควรจะเป็น
เขา คือ คนที่เหมาะสมในตอนนี้ เพราะเขาเอาปรัชญาของทีมกลับมา ได้โปรดอย่ายุ่งกับ โอเล่ ปล่อยให้เขาทำงานของเขาไป แต่มาพูดถึงคนอื่นๆ ที่อาจจะไม่ควรอยู่กับสโมสรแห่งนี้ดีกว่า ผมจะพูดถึงชื่อที่เซนซิทีฟหน่อยก็แล้วกัน อย่างเช่น อัฟราม เกลเซอร์ กับ โจเอล เกลเซอร์ ผมบอกเลยว่า ผมได้เจอกับ อัฟราม หลายครั้ง ผมรู้ดีว่าแฟนบอล ยูไนเต็ด หลายคนเกลียดตระกูลเกลเซอร์ แต่เชื่อผมเถอะว่า อัฟราม รัก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และห่วงใยสโมสรมากๆ
ผมจำได้ว่าเคยเจอกับเขาในเกมกับ เปแอสเช วันนั้นผมเล่าเสียงตอบรับบางเรื่องให้เขาฟัง ซึ่งเขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า มันมีกระแสตอบรับแบบนั้นเกิดขึ้น ซึ่งมันอาจจะเป็นเพราะคนที่เขาเชื่อใจ และคนที่ดูแลสโมสร ไม่ได้ให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับเขาก็ได้ ดังนั้นก่อนที่เราจะมาไล่เขา ด้วยการตะโกนว่า "เกลเซอร์ ออกไป!" น่ะ ผมขอให้ทุกคนใจเย็นๆ กันก่อนนะ
4. วัฒนธรรมภายในทีม.. ที่ถูกทำลายจนพังยับเยิน เพราะคำว่า ธุรกิจ
บอร์ดบริหารบางคนสนใจแต่เรื่องธุรกิจ เงิน และผลประโยชน์ แต่ไม่เคยให้เกียรติ ประวัติศาสตร์อันยาวนานของทีม โดยบางคนในสโมสรยังถึงขั้นไม่เคารพนับถือ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ด้วยซ้ำ และเด็กๆ ในทีมบางคน ก็ยังไม่รู้จัก รอย คีน เลยด้วยซ้ำ
การจะทำงานให้กับสโมสรแห่งนี้ คุณจำเป็นต้องเสียสละชีวิตของตัวเอง และมันไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ แต่นั่นเป็นทางเดียวที่คุณต้องทำ หากอยากจะประสบความสำเร็จ บางคนอาจจะไม่เข้าใจถึงเรื่องนั้น ซึ่งผมก็เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงเป็นแบบนั้น แต่มันต้องยอมรับกันว่า ขนาดบางคนที่อยู่กับสโมสรในตอนนี้ ก็ไม่ได้นับถือ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน หรอก เพราะบางคนยังโกรธที่เขาดัน เดวิด มอยส์ มาเป็นผู้จัดการทีม แต่คำถามก็คือ เดวิด มอยส์ ฟังคำแนะนำของเขารึเปล่า ผมเองก็ไม่มั่นใจในเรื่องนั้น
ดังนั้น อย่าทำลายความยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นมรดกตกทอดของเรา เราทำงานอย่างหนัก เราทุกคนทำงานกันอย่างหนักเพื่อมัน คุณต้องเอาประวัติศาสตร์กลับมาสู่สโมสรให้ได้ คุณรู้ไหมว่า มีครั้งหนึ่งนักเตะอย่าง รอย คีน เคยกลับไปที่ แคร์ริงตัน (สนามซ้อมของแมนยู) แล้วไปพูดต่อหน้าเด็กๆ ในสโมสร ซึ่งเด็กๆ เหล่านั้น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า รอย คีน คือใคร ดังนั้นผมก็ไม่รู้ว่า พวกเขาจะรู้จัก บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ได้ยังไง นั่นคือความจริง
ผมเคยได้พูดต่อหน้าเด็กๆ ที่สโมสร ผมบอกกับพวกเขาว่า ตอนแรกที่ผมมาอยู่กับสโมสรน่ะ ผมรู้สึกเหมือนกับได้อยู่ในช่วงคริสต์มาส เพราะตอนนั้นผมรู้สึกดีใจ และเป็นเกียรติมากๆ ดังนั้นผมเลยบอกกับเด็กๆ ไปว่า คุณต้องเคารพทุกคน ให้เหมือนตอนที่พวกเขาเคารพ เพื่อนร่วมทีม, ผู้จัดการทีม และเกียรติยศของสโมสร คุณก็ต้องให้ความเคารพ คนที่ทำความสะอาดตึกนี้ และ เชฟที่ทำอาหารให้ ในระดับเดียวกัน
เวลามาที่นี่คุณจะต้องทำให้ดีที่สุด และทำให้เกิดบรรยากาศที่ดีๆ อย่างเช่น การยิ้มอยู่บ่อยๆ ผมไม่อยากให้เด็กๆ มีท่าทีหดหู่ เพราะการได้มาอยู่กับทีมนี้ถือเป็นเกียรติอย่างมาก นั่นคือข้อความที่เราต้องพูดกับเด็กๆ เหล่านี้ มันคือคุณค่าของสโมสรอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ดังนั้น มันก็ต้องไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ ทั้งนั้น ไม่ว่าจะทั้งนักเตะเยาวชน หรือคนที่มีอายุเยอะแล้ว เมื่อคุณได้สวมเสื้อของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งเป็นเสื้อที่หนักอึ้ง แล้วน่ะ คุณก็ไม่ควรจะทิ้งมันไปดื้อๆ แต่ผมก็โทษพวกเขาได้ไม่เต็มที่หรอก เพราะตอนนี้พวกเขาไม่มีแบบอย่างที่ดี แต่อย่างน้อยก็ดูดีวีดี หรืออ่านหนังสือ (เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของทีม) สักหน่อยก็ได้
5. ผมไม่กลัวที่จะพูดความจริง.. เพราะผมรักสโมสรแห่งนี้ ทีมที่มีแฟนบอลที่ดีที่สุดในโลก
และผมจะจงรักภักดีกับ แฟนๆ ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จนผมตาย แม้ใครหลายๆ คน คงไม่กล้าจะออกมาพูดสิ่งเหล่านี้ แต่ผมต้องพูด เพราะผมทนไม่ได้ที่จะโกหกแฟนๆ ของยูไนเต็ด
มันเป็นเรื่องง่ายที่จะบอกว่า "อย่าพูดชื่อออกมานะว่าใคร (ที่เป็นคนทำให้ ยูไนเต็ด เป็นแบบนี้)" แต่ผมไม่สนใจหรอก ผมเสียสละตัวเอง เพื่อให้สโมสรแห่งนี้ประสบความสำเร็จ และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมอยากให้นักเตะ, สตาฟฟ์ รวมถึงคนในบอร์ดบริหาร ทำอย่างนั้นเหมือนกัน
ผมจำได้ว่า ตอนที่ลูกชายของผม อายุ 3 ขวบ วันหนึ่งผมกลับถึงบ้าน ลูกบอกกับผมว่า "พ่อ ผมเกลียดแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด" ผมถามว่าทำไม ลูกตอบกลับมาว่า "เพราะพวกเขาทำให้พ่อไม่ได้อยู่กับผม" ซึ่งนั่นเป็นเพราะ ผมทุ่มเททุกอย่างให้กับแมนยู และมันทำให้ผมกล้าที่จะออกมาพูดแบบนี้ ไม่ว่ามันจะทำให้บางคนมีความสุข หรือทำให้บางคนต้องโกรธ ผมไม่สนใจ
ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด มันจะธงผืนหนึ่ง ที่แฟนบอลนำมาติด เขียนว่า " แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด .. ลูกๆ .. ภรรยา เรียงลำดับตามนี้ " ผมไม่เคยหัวเราะมันเลย เมื่อเห็นมัน และบอกเลยว่า ผมจะจงรักภักดีกับ แฟนๆ และคนที่รัก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จนผมตาย
ผมรู้ดีว่ามีหลายคนที่ไม่กล้าออกมาพูด เพราะพวกเขากลัวว่า สักวันหนึ่งพวกเขาอาจจะต้องตกงาน หรือไม่ได้รับงานกับที่นั่น แต่ผมไม่แคร์ ผมรักสโมสรแห่งนี้ ผมทุ่มเทหลายอย่างเพื่อสโมสรแห่งนี้ บางทีสักวันหนึ่งผมอาจจะได้ทำงานกับสโมสรแห่งนี้ก็ได้ แต่ผมจะทำงานด้วยความซื่อสัตย์ ผมจะไม่มีวันโกหกคนที่รักสโมสรแห่งนี้ เพราะผมคิดว่าบางคนที่ทำงานให้กับสโมสรแห่งนี้กำลังทำให้สโมสรมีสภาพย่ำแย่ นั่นเป็นสาเหตุที่ทำไมเราถึงต้องพูดความจริงกับแฟนๆ
ผมไม่สามารถโกหกคนอื่นได้ ผมไม่ชอบโกหก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแฟนๆ ทุกคน พวกเขาเป็นแฟนบอลที่ดีที่สุดในโลก ใช่ แฟนบอลของเราเป็นแฟนบอลที่ดีที่สุดในโลก สมัยก่อนแม้กระทั่งเวลาที่บางคนเล่นได้ห่วยแตก พวกเขาก็ยังไม่เคยโห่ใส่เราเลย แต่ตอนนี้ มันย่อมมีบ้างเป็นธรรมดา มันเปลี่ยนไปแล้ว ซึ่งมันก็เพราะพวกเขาอดทนมามากเกินพอแล้ว
ผมจำได้ว่า มีครั้งหนึ่งที่เราแพ้ ลิเวอร์พูล 1-4 ที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด แต่สิ่งเดียวที่ผมได้ยินตอนเดินออกจากสนาม กลับเข้าอุโมงค์ ก็คือ แฟนบอลตะโกนว่า "ยูไนเต็ด! ยูไนเต็ด! ยูไนเต็ด!" มันทำให้ผมรู้สึกละอายใจมากๆ พอเราเข้าไปในห้องแต่งตัวแล้ว เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็พูดขึ้นมาว่า "เห็นไหม พวกแกได้ยินเสียงตะโกนนั่นไหม ตอนนี้พวกเราก็ต้องคว้าแชมป์ลีกมาให้พวกเขาให้ได้" ผมจำได้ว่าตอนนั้น ลิเวอร์พูล นำเราอยู่ตั้ง 8 คะแนน แต่สุดท้ายแล้วเราก็ยังคว้าแชมป์ลีกมาครองได้สำเร็จ
อันที่จริง ผมมีเรื่องที่อยากพูดอีกหลายเรื่องเลย แต่มันทำได้ยากมากๆ ยังไงก็ตาม ขอให้มีความสุขกับวันจันทร์ และ ยูไนเต็ด ตลอดไป ผมไม่รู้ว่า จะพูดว่าผมรักเกมนี้ได้อย่างเต็มปากรึเปล่า แต่ผมก็จะทำ ผมรักเกมนี้ ฮ่าๆๆ
"เอกกี้รีพอร์ต"
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
>> #OleOut!! 5 เหตุผลที่ทีมปีศาจแดงควรตะเพิด โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ตกเก้าอี้!
>> เด็กผีกุมขมับ! สื่อดังยัน แมนยู ไม่มีแผนเสริม 'เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ' คนใหม่ในซัมเมอร์นี้