"ตัวเดียวเสียวทั้งลีก" วลีนี้ผมเชื่อว่าคนดูบอลนั้นมีหลากหลายคนทีเหมาะกับวลีนี้ ไม่ว่าจะเป็น เอเด็น อาซาร์, เมซุต โอซิล, แกเร็ธ เบล, หลุยส์ ซัวเรส, โมฮาเหม็ด ซาลาห์หรือแม้กระทั่งเออร์ลิง เบราท์ ฮาแลนด์ก็เช่นกัน วลีนี้ใช้สำหรับนักเตะเพียงคนเดียวที่เพียงแค่ย้ายหรือเล่นอยู่แต่ก็สามารถทำให้ลีกทั้งลีกสะเทือนได้และตอนนี้ก็คงไม่มีใครเหมาะกับวลีนี้อีกแล้วนอกจาก "เควิน เดอ บรอยน์" จอมทัพของแมนเชสเตอร์ ซิตีที่เพิ่งสลัดอาการบาดเจ็บและกลับมาลงสนามได้ในรอบ 4 เดือนซึ่งเพียงเกมแรกในฟุตบอลเอฟเอ คัพเขาก็ทำแอสซิสต์ได้เลย โดยเฉพาะในเกมล่าสุดที่ลงมาในฐานะตัวสำรองที่ช่วยให้แมนซิตี้บุกไปชนะนิวคาสเซิลได้ 2-3 เขาก็ลงมายิง 1 แอสซิสต์ 1 นั่นเท่ากับว่าหลังจากไม่ได้เล่นฟุตบอลมา 4 เดือนแต่เพียง 2 เกมเขาก็มีส่วนกับประตูไปแล้ว 3 ประตู แบบนี้จะไม่ให้เสียวทั้งลีกได้อย่างไรสำหรับบทความนี้ก็จะมาพูดถึงการกลับมาของเดอ บรอยน์นี่แหละครับว่าการกลับมาของเขาจะส่งผลอย่างไรต่อการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้ เพราะต้องยอมรับว่าถึงแม้ตอนนี้เขายังมีความฟิตไม่ถึง 100% และยังลงเล่นได้เพียง 20-30 นาทีเขายังสร้างความแตกต่างได้อย่างชัดเจน บทความนี้จะพูดถึงว่าเขาจะส่งผลอย่างไร เรือใบสีฟ้าจะได้อะไรกลับมาจากการกลับมาของเดอ บรอยน์การแอสซิสต์ที่เฉียบขาดในฤดูกาลที่แล้ว เควิน เดอ บรอยน์ทำแอสซิสต์ไปทั้งหมด 28 ครั้งจากการลงเล่นทุกรายการ 49 เกม โดยสถิติการแอสซิสต์นั้นมาจากการสร้างสรรค์โอกาสจำนวน 137 ครั้งและจากโอกาสทั้งนั้นมี 99 ครั้งที่มาจากการเล่นแบบโอเพน-เพลย์ นอกจากนี้ยังมี 44 ครั้งที่เป็น Big Chance หรือจังหวะเกมรุกที่น่าจะเป็นประตูโดย 28 แอสซิสต์ของเดอ บรอยน์ในฤดูกาลที่แล้วนั้นเหนือกว่านักเตะทุกคนในบรรดา 5 ลีกใหญ่ของยุโรปซึ่งรองลงมาก็คือลิโอเนล เมสซีที่ทำไว้ 20 แอสซิสต์ ส่วนในพรีเมียร์ลีกนั้นคนที่ทำได้รองลงมาจากเดอ บรอยน์ก็คือโมฮาเหม็ด ซาลาห์ที่ 16 แอสซิสต์ แต่ถ้าหากนับเฉพาะในทีมแมนซิตี้ คนที่ทำแอสซิสต์ได้รองลงมาจากเดอ บรอยน์ก็คือริยาด มาห์เรซที่ 13 แอสซิสต์ ตามมาด้วยแจ๊ค กริลิชที่ 11 แอสซิสต์ในฤดูกาล 2022/2023 ค่าเฉลี่ยในการสร้างสรรค์โอกาสของเดอ บรอยน์อยู่ที่ 3.4 ครั้งต่อเกม (โอเพน-เพลย์ 2.4 ครั้งต่อเกม), สร้าง Big Chance 0.7 ครั้งต่อเกม แต่ในฤดูกาลนี้เมื่อเดอ บรอยน์บาดเจ็บไปถึง 4 เดือนทำให้หน้าที่ต่างๆ นั้นกระจายไปอยู่กับนักเตะคนอื่นๆ เช่น ฮูเลียน อัลวาเรซที่สร้างสรรค์โอกาสไป 2.8 ครั้งต่อเกม ส่วนในการสร้างโอกาสแบบที่เจาะเฉพาะการเล่นแบบโอเพน-เพลย์คนที่ทำได้มากที่สุดในทีมเรือใบก็คือกรีลิชที่ทำไปต่อเกมอยู่ที่ 2.4 ครั้ง ส่วนคนที่มีค่าเฉลี่ยในการแอสซิสต์มากที่สุดของทีมก็คือนักเตะใหม่อย่างเฌเรมี โดกูที่ 0.6 แอสซิสต์ต่อเกมส่วนคนที่แฮปปี้ที่สุดกับการคัมแบคครั้งนี้ของเดอ บรอยน์นอกจากเป๊ป กวาร์ดิโอลาก็คงหนีไม่พ้นเออร์ลิง เบราท์ ฮาแลนด์ เพราะในฤดูกาลที่แล้วที่ฮาแลนด์สามารถทำลายสถิติยิงในพรีเมียร์ลีกได้มากที่สุดต่อหนึ่งฤดูกาลที่ 36 ประตู มีถึง 8 ประตูที่ฮาแลนด์ได้มาจากการแอสซิสต์เดอ บรอยน์ซึ่งมีเพียง 3 คนเท่านั้นในพรีเมียร์ลีกที่ทำแอสซิสต์ให้เพื่อนร่วมทีมต่อหนึ่งคนได้มากที่สุด ส่วนในฤดูกาลนี้ถึงแม้ฮาแลนด์ยังนำดาวซัลโวพรีเมียร์ลีกร่วมกับซาลาห์ที่ 14 ประตูและมีค่าเฉลี่ยในการยิงทุกรายการอยู่ที่ 0.92 ประตูต่อเกม แต่เมื่อเทียบกับฤดูกาลที่แล้วก็ถือว่าดรอปลง ฤดูกาลที่แล้วค่าเฉลี่ยการทำประตูอยู่ที่ 1.13 ประตูต่อเกม ซึ่งก็ต้องรอดูหลังจากนี้แหละครับว่าค่าเฉลี่ยนี้จะเพิ่มขึ้นได้อีกหรือไม่จากการกลับมาของเดอ บรอยน์แต่ก่อนอื่นฮาแลนด์ก็ต้องรีบสลัดอาการบาดเจ็บกลับมาลงเล่นให้ได้ก่อน เพราะตอนนี้เขาก็ยังไม่หายจากอาการบาดเจ็บบริเวณกระดูกเท้าตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม 2023โอกาสการทำประตูณ ปัจจุบันที่ผ่านมาการกรำศึกมาแล้วครึ่งซีซัน (เฉพาะพรีเมียร์ลีก) เรือใบสีฟ้ามีโอกาสยิงไปแล้ว 311 ครั้งซึ่งเฉลี่ยแล้ว 16.4 ครั้งต่อเกม สร้าง Big Chance ไปแล้ว 49 ครั้ง (2.6 ครั้งต่อเกม) และสามารถเปลี่ยนเป็นประตูมาได้ 45 ประตู ซึ่งเทียบฤดูกาลที่แล้วเมื่อจบการแข่งขัน พวกเขายิงไป 94 ประตูโดยมาจากโอกาสยิง 600 ครั้งและ Big Chance 103 ครั้งซึ่งเฉลี่ยออกมาแล้วจะได้เป็น 2.5 ประตู, โอกาสยิง 15.8 ครั้งและ Big Chance 2.7 ครั้ง (เฉลี่ยต่อเกม) ซึ่งสถิติทั้งหมดของพรีเมียร์ลีกฤดูกาลที่แล้ว 38 เกมนั้นมีเพียง 6 เกมเท่านั้นที่เดอ บรอยน์ไม่ได้ลงสนามการยิงได้เกือบ 100 ประตูในพรีเมียร์ลีกนั้นบ่งบอกถึงเกมรุกที่สุดอันตรายของทัพเรือใบ ยิ่งการมีเออร์ลิง เบราท์ ฮาแลนด์เข้าไปด้วยแล้ว การจบสกอร์ก็ยิ่งทรงพลังขึ้นไปอีก ไม่ว่าคู่แข่งจะมาเล่นในแทคติกใด พวกเขาก็สามารถเจาะตาข่ายคู่แข่งได้หมด มีเพียง 3 เกมจากการลงเล่น 38 เกมที่พวกเขาไม่สามารถยิงคู่แข่งได้โดยเป็นเกมเยือนทั้งหมดแถม 3 เกมก็แพ้เพียง 1-0 ทุกเกม (ลิเวอร์พูล,ท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์และเบรนท์ฟอร์ด) และนั่นเท่ากับว่าในถิ่นเอติฮัด สเตเดียมพวกเขาสามารถยิงประตูได้ทุกเกม และไม่แพ้ใครในบ้านเลย ชนะ 37 เสมอ 1ซึ่งอย่างที่บอกครับว่าพวกเขานั้นมีประสิทธิภาพในเกมรุกที่น่ากลัวมากๆ เจอแทคติกใดของคู่แข่งก็สามารถยิงประตูได้หมด ในฤดูกาลที่แล้วมีจังหวะยิงในกรอบเขตโทษไป 410 ครั้ง (จากโอกาสยิงทั้งหมด 600 ครั้ง) เฉลี่ยต่อเกมอยู่ที่ 10.8 ครั้ง แถมค่า xG ก็อยู่ที่ 2.12 ต่อเกม ส่วนในฤดูกาลนี้การขาดหายไปของเดอ บรอยน์ก็ส่งผลในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน เพราะค่า xG ในฤดูกาลนี้ลดลงมาอยู่ที่ 1.97 ต่อเกมแต่สถิติที่ทาง Opta Analyst นำมาเผยให้ดู บ่งบอกได้อย่างนึงว่าการมีหรือไม่มีเดอ บรอยน์ก็ไม่ค่อยส่งผลเท่าไหร่ เพราะนับตั้งแต่เริ่มฤดูกาลที่แล้วจนถึงตอนนี้ แมนซิตี้ลงเล่นพรีเมียร์ลีกไปแล้ว 57 เกม แบ่งเป็น 33 เกมที่มีเดอ บรอยน์และอีก 24 เกมที่ขาดเขาไป ค่าเฉลี่ยการทำประตูต่างกันเพียง 0.1 เท่านั้น ตอนที่มีเดอ บรอยน์นั้นยิงได้ 2.5 ประตู ส่วนตอนที่ไม่มี ยิงได้ 2.4 ประตู และการเก็บแต้มก็ห่างกันเพียง 0.1 เช่นกันการมีส่วนร่วมกับเกมรุกจากสถิติในหัวข้อที่แล้วการมีหรือไม่มีเควิน เดอ บรอยน์มันอาจจะไม่ได้ต่างกันมากเท่าไหร่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการมีเดอ บรอยน์นั้นยังไงก็ดีกว่าและดีกว่ามากๆๆๆๆ ด้วย เพราะต่อให้เขาไม่ยิงหรือแอสซิสต์แต่เขานั้นก็คือคนสำคัญในการทำเกมรุกของทัพเรือใบสีฟ้า ดังสถิติต่อไปนี้ครับในฤดูกาลที่แล้วเควิน เดอ บรอยน์คือคนที่มีส่วนร่วมในเกมรุกของแมนซิตี้สูงที่สุด (เฉพาะพรีเมียร์ลีก) เพราะเฉลี่ยต่อเกมเขาจะมีส่วนร่วมกับเกมรุกอยู่ที่ 7.2 ต่อเกม (นับเฉพาะคนที่ได้ลงเล่นอย่างน้อย 360 นาที) โดยแบ่งเป็นจังหวะยิง 2.1 ครั้ง, สร้างโอกาส 2.8 ครั้งและสร้างจังหวะยิง 2.4 ครั้ง (ต่อเกม) ส่วนในฤดูกาลนี้หากวัดจากคนที่ได้ลงเล่นอย่างน้อย 180 นาที นักเตะแมนซิตี้ที่มีส่วนร่วมกับเกมรุกมากที่สุดก็คือ โรดรีที่มีส่วนร่วมกับเกมรุกไป 8.2 ครั้งต่อเกม (ยิง 2.1, สร้างโอกาส 1 และสร้างจังหวะยิง 5.2 ครั้งต่อเกม) ตามด้วยแจ๊ค กริลิชที่ 8.0 ครั้ง, เฌเรมี โดกู 7.1 ครั้ง, ฟิล โฟเดน, แบร์นาโด ซิลวาและฮูเลียน อัลวาเรซเท่ากันที่ 6.7 ครั้ง ซึ่งมันแสดงให้เห็นว่านักเตะของแมนซิตี้นั้นต่างช่วยเหลือกันในการทำเกมรุก ระบบของเป๊ปนั้นส่งให้นักเตะทุกคนนั้นต้องช่วยและสามารถเล่นเกมรุกกันได้นั่นแหละครับคือสิ่งที่แมนเชสเตอร์ ซิตีน่าจะได้กลับมาจากการคืนสนามของเควิน เดอ บรอยน์ซึ่งแค่นี้มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คู่แข่งอีก 19 ทีมในพรีเมียร์ลีกหรืออีก 15 ทีม UCL ต้องร้อนๆ หนาวๆ สะเทือนกันเป็นแถบๆ เหมือนที่เยอร์เกน คล็อปป์บอกไว้ว่าเพียงแค่เห็นเดอ บรอยน์วอร์มอยู่ ทีมที่เหลือก็อกสั่นขวัญแขวนกันหมดแล้ว แล้วแบบนี้จะไม่เป็นตัวอย่างของวลี "ตัวเดียวเสียวทั้งลีก" ได้อย่างไร หลังจากนี้แหละครับคงมีแต่ความบันเทิงแน่ๆ โดยเฉพาะการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกที่ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูลก็ห้ามพลาดเลยแม้แต่เกมเดียว เพราะถ้าพลาดเกมเดียวแล้วแมนซิตี้เก็บตกจากความผิดพลาดของลิเวอร์พูลได้เลย (ลิเวอร์พูลนำซิตี้อยู่ 2 แต้ม) พวกเขาก็จะแซงขึ้นนำจ่าฝูงทันทีและอย่างที่รู้ๆ กันครับว่าถ้าเรือใบสีฟ้าขึ้นนำจ่าฝูงแล้วก็ยากที่จะมีทีมไหนกระชากคอพวกเขาลงจากบัลลังก์ งานนี้สนุกแน่!!!ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจากOfficial Facebook ของแมนเชสเตอร์ ซิตีOfficial Instagram ของเควิน เดอ บรอยน์ (@kevindebruyne)ภาพปก 1, ภาพปก 2, ภาพปก 3, ภาพประกอบ 1, ภาพประกอบ 2, ภาพประกอบ 3, ภาพประกอบ 4 และภาพประกอบ 5 ส่องนักบอลตัวเต็ง ดูสดระเบิดแมทช์สุดมันส์บน App TrueID โหลดฟรี !