5 สิ่งที่เราเรียนรู้!! หลังศึกพรีเมียร์ลีก ฟาดแข้งมาแล้วถึง สัปดาห์ที่ 7!
ฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ แข่งขันในแมตช์เดย์ที่ 7 จบลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นั่นหมายความว่าแต่ละทีมแข่งขันจบกันไปแล้วทีมละ 7 นัด ยกเว้นเพียงแค่ แอสตัน วิลล่า, แมนเชสเตอร์ ซิตี้, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ เบิร์นลี่ย์ เท่านั้นที่แข่งขันกันแค่ 6 นัด เพราะยังไม่ได้เล่นเกมตกค้างจากแมตช์เดย์แรก
การเดินทางมาถึงสัปดาห์ที่ 7 ทำให้เราได้เห็นภาพคร่าว ๆ ของพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้กันแล้วว่าทีมไหนมีแนวโน้มจะได้ลุ้นแชมป์, ลุ้นพื้นที่ฟุตบอลสโมสรยุโรป หรือ ลุ้นหนีตกชั้น อย่างไรก็ตาม หนทางยังอีกยาวไกล และในฟุตบอลลีกของอังกฤษรายการอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
สำหรับสัปดาห์ที่ 7 ที่ผ่านมา ก็มีเรื่องราวและประเด็นต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมายในฟุตบอลพรีเมียร์ลีกของเรา และนี่คือ 5 ประเด็นน่าสนใจที่เราได้เรียนรู้กันเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
วิกฤติที่แก้ไม่หายของ “ปีศาจแดง”
แม้จะเล่นในฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้อย่างน่าประทับใจ แต่ฟอร์มการเล่นของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ใน พรีเมียร์ลีก เรียกได้ว่า “ดูไม่จืด” โดยล่าสุดการแพ้ อาร์เซนอล คาบ้านนอกจากทำให้พวกเขาเสีย 3 คะแนนและต้องรั้งโซนล่างในตารางคะแนนแล้ว สถิติที่ไม่แพ้ต่อทีม ‘ปืนใหญ่’ ใน โอลด์ แทรฟฟอร์ด ตลอด 14 ปี ก็ต้องมาพังลงตามไปด้วย เรียกได้ว่าเสียทั้งโอกาสและเสียหน้าไปพร้อม ๆ กัน
ด้วยผลงานที่เห็น จึงไม่น่าแปลกใจที่ความกดดันจะเริ่มเข้ามาหา โอเล่ กุนนาร์ โซลชา บ้างแล้ว ถึงแม้โดยภาพรวมตำแหน่งของเขายังดูจะแข็งแรงดีเพราะผลงานในฟุตบอลสโมสรยุโรปทำให้ เอ็ด วูดเวิร์ด คงไม่ตัดสินใจปลดเขาง่าย ๆ แต่สำหรับแฟนบอลแล้ว ผลงานใน พรีเมียร์ลีก อาจจะเป็นอะไรที่สำคัญกว่า ดังนั้นมันอาจจะถึงเวลาแล้วก็ได้ ที่เขาต้องพาทีมทำผลงานในลีกให้ดีอย่างต่อเนื่องเสียที ก่อนที่ความเปลี่ยนแปลงจะมาถึงจริง ๆ
สัญญาณการตื่นจากภวังค์ของ “แกเร็ธ เบล”
การเปิดตัวเกมแรกของ แกเร็ธ เบล กับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ อาจจะดูจืดไปสักหน่อยเพราะพาดหัวข่าวในวันนั้นคือการกลับมาตีเสมอได้อย่างปาฏิหาริย์ ของ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ที่ยิง 3 ประตูรวดใน 10 นาทีท้ายเกม แต่เกมล่าสุดนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะมันคือการประกาศอย่างเสียงดังฟังชัดว่าเขากลับมายังพรีเมียร์ลีกอีกครั้งอย่างแท้จริง
ประตูชัยเหนือ ไบรท์ตัน กลายเป็นประตูแรกในรอบ 7 ปี กับ ท็อตแน่ม หลังจากครั้งสุดท้ายที่เขายิงให้ทีม “ไก่เดือยทอง” เอาชนะ ซันเดอร์แลนด์ 1-0 ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2013 และมันยังเป็นประตูแรกในรอบเกือบ 2 ปีของตัวเองด้วย โดยประตูสุดท้ายที่เขาทำได้ เกิดขึ้นในเกมกับ อูนิโอนิสตาส ในฟุตบอล โกปา เดล เรย์ เมื่อต้นปี 2019 โน่นเลย
ดังนั้นประตูนี้นอกจากสำคัญกับ สเปอร์ส แล้ว มันยังสำคัญกับตัวของ เบล เองอีกด้วย เพราะนี่คือการเริ่มนับหนึ่ง(อีกครั้ง) และมันอาจจะเป็นการปลุกวิญญาณนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีทั้งของพรีเมียร์ลีก และ ของยูฟ่า ที่กำลังหลับไหลให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ได้
“ดีโอโก้ โชต้า” ถูกที่ ถูกเวลา และ ถูกทีม
มูลค่า 40 ล้านปอนด์ ที่ ลิเวอร์พูล จ่ายไปเมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา ถูกตั้งคำถามในตอนนั้นว่ามัน “แพงเกินไปหรือไม่?” สำหรับการดึง ดีโอโก้ โชต้า มาเป็น ‘อะไหล่’ ในถิ่นแอนฟิลด์ แต่ดูเหมือนคำตอบของคำถามนั้นค่อย ๆ ปรากฏออกมาอย่างช้า ๆ แต่เป็นรูปเป็นร่างเรียบร้อยแล้ว
ผลงาน 3 ประตูจาก 5 เกมที่ลงสนามใน พรีเมียร์ลีก กับทีม “หงส์แดง” ซึ่งดูผิวเผินแล้วอาจจะมองว่า 'ก็ดี' แต่ก็ไม่ได้ 'วิเศษ' ทว่าเมื่อเจาะลงไปในรายละเอียดแล้วมันเป็นตัวเลขที่มหัศจรรย์มาก เพราะถึงแม้เขาได้ลงเล่น 5 นัด แต่ก็ลงไปรวมกันแค่ 72 นาที ซึ่งเป็นเวลาไม่ถึง 1 เกมเต็ม ๆ ด้วยซ้ำ แถม 3 ประตูที่เขายิง มีส่วนสำคัญในการช่วยให้ ลิเวอร์พูล ได้ 9 คะแนนเต็ม ไม่ว่าจะเป็นประตูเปิดหัวในเกมกับ อาร์เซนอล หรือ ประตูชัยในเกมชนะ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด และ เวสต์แฮม ก็ตาม
และถ้าดูสถิติโดยรวม เขายิงไปแล้ว 7 ประตู จาก 10 นัด ซึ่งมากกว่าที่ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ยิงทั้งฤดูกาลที่ผ่านมา (5 ประตู) ด้วย ซึ่งเครื่องหมายคำถามที่เขาต้องพิสูจน์หลังจากนี้คือการ ‘ยืนระยะ’ ว่าเขาจะสามารถรักษาฟอร์มที่ยอดเยี่ยมแบบนี้ได้นานแค่ไหน ซึ่งถ้าเขาสามารถรักษามันไว้ได้ตลอดรอดฝั่งแล้วล่ะก็ บอกได้เลยว่าทีมอื่น ๆ ที่หวังลุ้นแชมป์ “ลำบาก” แน่
เซอร์ไพร์ส by “นักบุญ” ?
ถ้ายังจำกันได้ เมื่อราว 12 เดือนก่อน เซาธ์แฮมป์ตัน คือทีมที่โดน เลสเตอร์ ซิตี้ บุกมาถล่มถึงบ้านไปด้วยสกอร์ 0-9 และต้องเอาตัวรอดในการหนีพื้นที่โซนตกชั้นเมื่อต้นฤดูกาลก่อน แต่เมื่อมาถึงกลางฤดูกาล ราล์ฟ ฮาเซนฮุตเทิ่ล ก็พาทีมขึ้นมาถึงอันดับ 12 ก่อนจบฤดูกาลที่กลางตารางในอันดับ 11
หากคิดถึงความต่อเนื่องแล้ว นี่ไม่น่าใช่สิ่งที่เซอร์ไพร์ส เพราะ “นักบุญแดนใต้” ดีขึ้นเรื่อย ๆ นับตั้งแต่กลางฤดูกาลที่แล้ว แต่การมารั้งหัวตารางโดยตามหลังจ่าฝูงแค่ 3 คะแนน ก็ยังถือเป็นเรื่องน่าประทับใจอยู่ดี อย่างไรก็ตามต้องอย่าลืมว่า เซาธ์แฮมป์ตัน ยังไม่เจอกับของแข็งมากมายนัก โดยพวกเขาเจอทีม บิ๊ก 6 ไปแค่ 2 ทีมคือ เชลซี และ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ เท่านั้น และได้เพียง 1 คะแนนจาก 2 นัดที่ว่ามาด้วย
ดังนั้น เซาธ์แฮมป์ตัน ยังต้องเจอบททดสอบอีกมากหากจะถูกเรียกว่า “ทีมสุดเซอร์ไพร์ส” แต่ถ้าใครเคยผ่านเหตุการณ์การได้แชมป์ของ เลสเตอร์ ซิตี้ เมื่อฤดูกาล 2015/16 มาแล้ว คงจะไม่กล้าจะพูดว่า “เป็นไปไม่ได้” ออกมาง่าย ๆ แล้วใช่ไหม?
“เลสเตอร์ ซิตี้” พี่ไม่ได้มาเล่น ๆ
ทัพ “จิ้งจอก” เจอเครื่องหมายคำถามตัวเบ้อเร่อ หลังจากความล้มเหลวในช่วงปลายฤดูกาลก่อน และคำถามนั้นยังถูกยิงมาใส่ทีมแชมป์ของฤดูกาล 2015/16 อย่างต่อเนื่องเมื่อพวกเขาพ่าย 2 นัดติดต่อ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด และ แอสตัน วิลล่า แต่เมื่อ เจมี่ วาร์ดี้ กลับมา พวกเขาก็กลายเป็นคนละทีมอย่างชัดเจน
ชัยชนะเหนือ อาร์เซนอล และ ลีดส์ ยูไนเต็ด ทำให้พวกเขาขึ้นมาเป็นรองจ่าฝูงและกลับเข้าสู่เส้นทางลุ้นแชมป์อีกครั้ง ซึ่งถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดในช่วงสุดสัปดาห์นี้ที่ เลสเตอร์ จะพบกับ วูล์ฟแฮมป์ตัน ใน คิงเพาเวอร์ สเตเดี้ยม แล้วพวกเขาเอาชนะได้ การเจอกับทีม “หงส์แดง” ในสัปดาห์ต่อไปจะทำให้เราได้เห็นอะไรชัดขึ้นอย่างแน่นอน
แต่ก่อนถึงจุดนั้น พวกเขาจำเป็นต้องรักษาเนื้อรักษาตัว และรักษาฟอร์มให้ดี เพราะหลังจากนี้เมื่อบรรดานักเตะหลัก ๆ ทั้ง คักลาร์ โซยุนซู และ วิลฟรีด เอ็นดิดี้ กลับมาอีก ถึงตอนนั้นทีมของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส จะกลับมาฟูลทีมอีกครั้งและน่ากลัวกว่านี้อย่างไม่ต้องสงสัย และถ้าพวกเขายังเกาะกลุ่มผู้นำได้ถึงตอนนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ สำหรับแชมป์เก่า หรือ ทีมลุ้นแชมป์อื่น ๆ แล้ว
Mr. BOSTON
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
>> เคลียร์คิวรอ!! ตารางถ่ายทอดสด พรีเมียร์ลีก 2020/21 ทุกคู่ พร้อมลิ้งก์ดูบอล
>> ทุกคู่ทุกสนาม!! สรุปผลฟุตบอล เช็คผลบอล เมื่อคืนที่ผ่านมา
-------------------------------------------------
ช่องดูบอลสด ดูบอลออนไลน์ และกีฬาชั้นนำทั่วโลก >> คลิกที่นี่
ดูบอลพรีเมียร์ลีกฟรี ทุกสัปดาห์ ผ่านทาง ID Station >> คลิกที่นี่
รวมข้อมูลแก้ไขปัญหาการใช้งาน รับชม หรือโปรโมชันกิจกรรมต่างๆ >> คลิกที่นี่