ถือว่าเป็นเกมที่เรียกความมั่นใจได้ก่อนที่จะต้องทำศึกใหญ่กับแมนเชสเตอร์ ซิตีในคืนวันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคมที่จะถึงนี้ สำหรับ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูลที่สามารถบุกไปถล่มสปาร์ตา ปรากได้ถึง 1-5 ในเกมยูโรปา ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดแรก โดยได้ 5 ประตูจาก 4 นักเตะเริ่มจากอเล็กซิส แม็คอัลลิสเตอร์ต่อด้วยการยิง 2 ประตูของดาร์วิน นูนเญซ, หลุยส์ ดิอาซก่อนที่โดมินิก โซโบซไลจะมายิงปิดกล่อง นอกจากนี้ในเกมนี้ยังเป็นการเคาะสนิมของโมฮาเหม็ด ซาลาห์ที่ได้กลับมาลงเล่นอีกครั้ง หลังจากที่บาดเจ็บไปร่วมเดือนและสำหรับเกมนี้ ผมก็ได้ทำการรวบรวม 4 ประเด็นที่น่าสนใจที่เกิดขึ้นในเกมนี้มาให้คุณผู้อ่านได้อ่านกันครับ จะมีประเด็นในเรื่องใดบ้าง ไปดูกันเลยครับยิงต้นครึ่งทั้งคู่ในเกมนี้ถือว่าเป็นที่มีประตูตั้งแต่เริ่มการแข่งขันในแต่ละครึ่ง โดยที่ในครึ่งแรกเป็นฝ่ายของลิเวอร์พูลที่บุกมายิงขึ้นนำได้ก่อนจากจุดโทษของอเล็กซิส แม็คอัลลิสเตอร์ในนาทีที่ 7 และทิ้งห่างไปได้อีกในนาทีที่ 25 จากการยิงไกลสุดสวยของดาร์วิน นูนเญซ ก่อนที่นูนเญซจะมายิงปิดท้ายครึ่งแรกแบบสุดคมในนาทีที่ 45+3 ทำให้เกมขาดตั้งแต่ครึ่งเวลาแรกส่วนของเจ้าบ้านอย่างสปาร์ตา ปรากนั้นก็มาได้ประตูตีไข่แตกตีตื้นมาตั้งแต่เริ่มเกมของครึ่งหลังจากการทำเข้าประตูตัวเองของคอเนอร์ แบรดลีย์ที่ลงมาเป็นตัวสำรองแทนที่ของโจ โกเมซในนาทีที่ 46 แต่ดีใจได้ไม่นานหลุยส์ ดิอาซก็มายิงประตู 1-4 ให้กับลิเวอร์พูลในนาทีที่ 53 ให้หลังจากที่สปาร์ตา ปรากยิงตีไข่ได้แตกได้เพียง 7 นาที ก่อนที่โดมินิก โซโบซไลจะมายิงปิดกล่องในนาทีที่ 90+3 ซึ่งก็ถือว่าเป็นเกมที่สนุกใช้ได้เลยทีเดียวเพราะว่าเจ้าบ้านอย่างสปาร์ตา ปรากนั้นก็สู้ได้ดี มีหือมีอือเช่นกัน มีลุ้นได้ประตูในหลายๆ จังหวะอยู่เหมือนกันและก็มาได้ประตูตีไข่แตกแบบรวดเร็วในครึ่งหลังตามที่ได้บอกไป ทำให้เกมนี้เป็นเกมที่สนุกเกมนึงลูกหมีเซฟแล้วเซฟอีกนับตั้งแต่ที่ได้ลงแทน "พ่อหมี" อลิซอน เบ็คเกอร์ที่มีอาการบาดเจ็บไปก็ถือว่า "ลูกหมี" ควีวีน เคลเลเฮอร์นั้นสามารถทดแทนได้อย่างยอดเยี่ยม ช่วยเซฟช่วยชีวิตให้กับทีมได้หลายต่อหลายครั้ง แถมไม่ค่อยมีความผิดพลาดในการเล่นบอลกับเท้าซักเท่าไหร่ แต่ก็อย่างว่าไม่ใช่จุดเด่นของเจ้าตัวด้วยจึงไม่ได้ถูกนำมาใช้บ่อยเท่ากับอลิซอนซึ่งในเกมนี้เคลเลเฮอร์ก็ต้องออกแรงช่วยเซฟในหลายๆ จังหวะ โดยเฉพาะในครึ่งเวลาแรกที่เซฟแบบอุตลุดตลอดทั้งครึ่ง เพราะต้องยอมรับว่าทางเจ้าบ้านก็มีเกมบุกที่น่าหวาดเสียวอยู่เหมือนกัน มีเซฟที่เห็นจังๆ ก็ 3 จังหวะ โดยเฉพาะในนาทีที่ 14 ที่เซฟลูกยิงของลูคัส ฮาราสลินที่ได้บอลที่ปาดมาจากฝั่งขวาและยิงย้อนไปที่เสาสองแต่โดนเคลเลเฮอร์โชว์ซูเปอร์เซฟปัดซึ่งบอลก็เกือบย้อยเข้าประตูแล้วแต่ตรงนั้นยังมีโกเมซที่วิ่งตามมาสกัดไว้ได้ ถือว่าเป็นเซฟที่ยอดเยี่ยมมากๆ ของเคลเลเฮอร์ในช่วงครึ่งแรก เพราะในตอนนั้นลิเวอร์พูลนำสปาร์ตา ปรากเพียงประตูเดียวซึ่งถ้าตีเสมอได้ เกมก็อาจจะออกมาอีกรูปแบบก็เป็นได้พอเริ่มครึ่งหลังมา หลังจากที่เสียประตูไปไม่ทันไรก็มีจังหวะที่เคลเลเฮอร์ก็ต้องออกแรงเซฟอีกในนาทีที่ 48 นอกจากนี้ก็ยังมีจังหวะที่ต้องวิ่งย้อนกลับไปปัดออกหลัง หลังจากที่โดนแองเจโล เปรเซียโดลักไก่ยิงไกลครึ่งสนาม ยังดีที่เคลเลเฮอร์วิ่งตามไปปัดออกหลังได้ทันและสุดท้ายในเกมนี้เคลเลเฮอร์นั้นมีส่วนช่วยให้ลิเวอร์พูลไม่เสียประตูมากกว่า 1 ประตูโดยที่จบเกมมีสถิติในการเซฟอยู่ที่ 6 ครั้ง โดยเป็นการเซฟลูกยิงในกรอบ 3 ครั้งกัคโปยังฝืดถ้าหากจะหาว่าใครในเกมนี้น่าสงสารมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้น "โคดี กัคโป" เพราะก่อนหน้านี้ฟอร์มของตัวเองฝืดเครียดมากพอแล้ว ไหนจะทำอะไรก็ติดๆ ขัดๆ ไปซะทุกอย่าง เลี้ยงบอลก็เสีย อุตส่าห์ได้ยิงในกรอบก็หลุดกรอบแบบไม่น่าเชื่อ พอมาเกมนี้ก็เหมือนจะเล่นดีขึ้นมาบ้าง มีโอกาสได้ยิงแบบเหน่งๆ แต่ก็โดนปีเตอร์ วินดาห์ลเซฟไว้ได้ เพราะในช่วงท้ายของครึ่งแรกเขาได้มีโอกาสยิงหักข้อเสาแรกแต่ก็โดนวินดาห์ลล้มตัวเซฟไว้ได้ นอกจากนี้ยังมีจังหวะที่หลุดเข้าไปในกรอบเขตโทษซึ่งถึงแม้ว่าจะโดนกองหลังของสปาร์ตา ปรากตามเบียดตามแย่งมาแต่ก็สามารถม้วนหลบและหาจังหวะยิงได้ แต่พอยิงแล้วก็ดันยิงไปติดขาของวินดาห์ลเสียอีก น่าเสียดายมากๆสำหรับฟอร์มของกัคโปในช่วงนี้ ส่วนตัวผมมองว่าเขาอยู่ในช่วงที่ขาดความมั่นใจอย่างหนัก เพราะอย่างที่เคยบอกไปว่านับตั้งแต่ที่เขาย้ายมาในช่วงตลาดหน้าหนาวในฤดูกาลที่แล้ว เขาได้เล่นทุกตำแหน่งในแดนหน้าหมดแล้ว ปีกซ้ายขวา หน้าเป้า แถมไม่พอยังเคยโดนจับมาให้ยืนในตำแหน่งกองกลางตัวรุกอีก ทำให้ฟอร์มการเล่นของเขาไม่ประติดประต่อเอาซะเลย นานวันไปเข้ามันยิ่งส่งผลต่อความมั่นใจในหลายๆ จังหวะ จังหวะที่ควรยิงก็จ่าย จังหวะควรจ่ายก็ยิงซะงั้นและพอยิงก็ยิงแบบคนไม่มีความมั่นใจเลยได้แต่หวังว่าเขาจะได้มีประตูที่ปลดล็อคความกดดันลงบ้าง เพราะช่วงนี้ดูจากภายนอกรู้เลยว่าเจ้าตัวกดดันเป็นอย่างมาก กดดันซะความมั่นใจหายไปหมดเลยนูนเญซยิงคม (มากกกกกกกกกกกกกก)มาถึงคนที่ต้องพูดถึงในเกมนี้แล้วครับสำหรับ "เดอะ หนูน" ดาร์วิน นูนเญซที่ในเกมนี้ยิง 2 ประตูช่วยให้ทีมขึ้นนำถึง 0-3 ตั้งแต่ครึ่งแรก แถมแต่ละประตูนั้นสวยสุดๆ อีกด้วย โดยประตูแรกนั้นเป็นการยิงไกลจากนอกกรอบเขตโทษด้านซ้าย บอลฮุกเข้ากลางประตูแบบสุดแรงจนวินดาห์ลไม่สามารถปัดได้ หรือจะในจังหวะประตูที่สองของเจ้าตัวก็คมไม่แพ้กันที่นูนเญซรับบอลที่แม็คอัลลิสเตอร์เปิดมาจากกลางสนาม นูนเญซปล่อยให้บอลเด้ง 2 ครั้งและสับไกยิง บอลพุ่งเสียบมุมเสาสองแบบสวยงาม สวยงามมากๆ ครับนี่ครับ นี่คือนูนเญซร่างตอนที่อยู่เบนฟิกาเลย เป็นนูนเญซในเวอร์ชันที่ยิงคมมากๆ ยิงได้ทุกรูปแบบเหมือนตอนที่เขาเคยยิงใส่ลิเวอร์พูลในตอนที่เขายังอยู่กับเบนฟิกา สำหรับนูนเญซในตอนนี้เหมือนเป็นนูนเญซในตอนที่มีความมั่นใจในการเล่นแล้วหลังจากที่ก่อนหน้านี้มีช่วงที่แม่นเสาแม่นคาน ยิงยังไงก็ชนเชาชนคานโดยเฉพาะเกมที่พบกับเชลซีที่มีสถิติว่าเขายิงคนเสา+คานในเกมเดียวถึง 4 ครั้ง แต่สิ่งหนึ่งที่บ่งบอกว่าเขายังมี "ความมั่นใจ" ในการเล่นอยู่ก็คือในเกมที่เขาสามารถยิงได้ในเกมที่ไปเยือนเบรนท์ฟอร์ดที่เขายิงแบบชิพข้ามหัวมาร์ก เฟรคเคน มันบ่งบอกได้ชัดเจนมากๆ ว่าถึงแม้ว่าจะยิงชนเสาหรือคานมากแค่ไหนในช่วงก่อนหน้า มันก็ไม่ได้ทำให้ความมั่นใจของเขาลดลงเลยและมันยิ่งชัดเจนขึ้นไปอีก เพราะหลังจากเกมเบรนท์ฟอร์ดเขาก็มีอาการบาดเจ็บจนไม่สามารลงเล่นให้กับทีมได้ 3 เกมซึ่ง 1 ใน 3 นั้นคือนัดชิงคาราบาว คัพ แต่พอกลับมาจากอาการบาดเจ็บและลงได้ในเกมที่ไปเยือนน็อตติงแฮม ฟอเรสต์ในฐานะตัวสำรองในครึ่งชั่วโมงสุดท้าย เขาก็สามารถยิงประตูชัยให้กับทีมได้ในนาทีสุดท้ายของเกม มันยิ่งส่งให้ความมั่นใจของนูนเญซเพิ่มขึ้นไปอีก ก็ได้แต่หวังว่าหลังจากนี้เขาจะไม่มีอาการบาดเจ็บเข้ามารบกวนและสามารถยิงประตูอย่างต่อเนื่องให้กับทีมได้ และก่อนจากกันไป ผมก็มีสถิติของนูนเญซในเกมที่บุกไปชนะสปาร์ตา ปรากมาฝากครับลงเล่น 51 นาทีสัมผัสบอล 22 ครั้งโอกาสยิง 3 ครั้ง (เข้ากรอบ 2 ครั้ง)2 ประตูสถิติหลังเกมที่น่าสนใจประตูที่ 2 ในเกมนี้ของลิเวอร์พูลที่มาจากดาร์วิน นูนเญซ กลายเป็นประตูที่ 1,000 ที่เกิดขึ้นภายใต้การคุมทีมของเยอร์เกน คล็อปป์โดยเกิดขึ้นในเกมที่ 476 ที่คล็อปป์คุมลิเวอร์พูลในการลงเล่นรวมทุกรายการดาร์วิน นูนเญซมีส่วนร่วมกับประตูให้กับลิเวอร์พูลในปี 2024 ไปแล้ว 12 ประตูจากการลงเล่น 12 เกม แบ่งเป็นยิง 8 แอสซิสต์ 4 ทำให้ในตอนนี้หากนับทุกรายการ นูนเญซกลายเป็นนักเตะพรีเมียร์ลีกที่มีส่วนกับประตูมากที่สุดร่วมกับเควิน เดอ บรอยน์นับตั้งแต่ที่เข้าปี 2024 เป็นต้นมาฮาร์วีย์ เอลเลียตต์กลายเป็นนักเตะอังกฤษคนแรกที่ทำ 3 แอสซิสต์ได้ในภายในเกมเดียวของศึกยูโรปา ลีกและหากนับว่าเป็นรายการฟุตบอลยุโรปเขาเป็นนักเตะอังกฤษคนแรกต่อจากเจมส์ มิลเนอร์ที่เคยทำได้ในเกมที่พบกับสปาร์ตัค มอสโกวในเดือนธันวาคม 2017คลิปไฮไลท์https://www.youtube.com/watch?v=CSWybxqrQlw&t=313sบทความที่เกี่ยวข้องนูนเญซโขกนาทีบาป!!! 5 ประเด็นหลังเกมลิเวอร์พูลบุกชนะน็อตติงแฮม ฟอเรสต์มัธยมลิเวอร์พูล, แดงเดือดรอบหน้า!!! 4 ประเด็นหลังเกม FA Cup หงส์แดงจิกนักบุญ"มีเงินอย่างเดียวไม่ได้ ต้อง....ด้วย" ย้อนรอยภารกิจล่าตัวเวอร์จิล ฟานไดค์พี่ไดจ์กโขกชัย, พอชโค้ชใจป๊อด!!! 5 ประเด็นหลังเกมนัดชิงคาราบาวคัพครึ่งแรกครึ่งหลัง หนังคนละม้วน!!! 5 ประเด็นหลังเกมลิเวอร์พูล พบ ลูตัน ทาวน์ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจากWhoscored และ OptaJoeOfficial Facebook และ X ของลิเวอร์พูล (@LFC)ภาพปก 1, ภาพปก 2, ภาพปก 3, ภาพประกอบ 1, ภาพประกอบ 2, ภาพประกอบ 3 และภาพประกอบ 4 เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !