บทสรุปในปีนี้ของฟุตบอลยุโรปถ้วยใหญ่ที่สุด "UEFA Champions League" ก็เป็นราชันชุดขาว รีล มาดริด จากสเปน ที่สามารถคว้าชัยเหนือหงส์แดง ลิเวอร์พูล จากอังกฤษไปได้จากประตูโทนของ วีนีซียุส จูเนียร์ คว้าแชมป์สมัยที่ 14 ซึ่งเป็นทีมที่ได้แชมป์ถ้วยใหญ่ของยุโรปมากเป็นอันดับ 1 เหนือเอซีมิลาน ถึงเท่าตัว (7 สมัย) และเมื่อคืนต้องบอกเลยว่าฮีโร่ของราชันชุดขาว อาจไม่ใช่แค่ วีนีซียุส จูเนียร์ เท่านั้น ยังมีสุดยอดการเซฟสวยๆเป็นหลายสิบครั้งจาก ตีโบ กูร์ตัว ผู้รักษาประตูสัญชาติเบลเยี่ยม ที่ไม่ว่าพี่หงส์แกจะยิงยังไง ก็เซฟได้หมด แถมยังช๊อตที่ต้องถกเถียงกันหลังเกมจบลง คือช๊อตที่ยิงเข้าไปแล้วแต่โดนจับล้ำหน้าจาก VAR ของ คาริม เบนเซม่า อีกด้วยต้องบอกว่าปีนี้ รีล มาดริด ดูเหมือนจะเริ่มต้นได้อย่างยากลำบากแน่ๆ สำหรับสายตาแฟนบอล ที่มองว่า รีล มาดริด กำลังเข้าสู่การผลัดใบ เข้าสู่ยุคใหม่แห่งกาลาติกอส ต้องบอกว่าสาเหตุมาจากศูนย์กลางของทีม ไม่ว่าจะเป็น โทนี โครส, ลูกา โมดริช, คาเซมิโร่ และกองหน้าตัวเก๋าของทีมอย่าง คาริม เบนเซม่า อายุอานามรวมกันเกิน 130 ปีอีก แฟนๆของราชันชุดขาวบางคนเลยมองว่า เอาแค่แชมป์ลาลีกา ก็สวยหรูแล้ว ณ ตอนเปิดฤดูกาล เพราะในฤดูกาลที่ผ่านมา (2020/2021) มาดริดก็ไปไม่ถึงฝันในทุกรายการ ลาลีกาก็เป็นรองแชมป์โดยแต้มห่างจาก แอตเลติโก้ มาดริด ทีมคู่แข่งร่วมเมือง 2 แต้ม โคปา เดอร์ เรย์เอง ก็ตกรอบแบบน่าเหลือเชื่อ โดยพ่ายต่อ อัลโคยาโน ทีมจากเซกุนดา เบ ที่เหลือแค่ 10 คน ในช่วงต่อเวลาพิเศษ หรือแม้กระทั่งถ้วยเล็กๆอย่าง ซูเปร์โกปาเดเอสปัญญา หรือ สแปนิชซูเปอร์คัพ ก็ตกรอบด้วยการแพ้ แอตเลติ บิลเบา ไป 2-1 และถ้วยยุโรปถ้วยใหญ่อย่าง UEFA Champions League ก็มาแพ้เชลซี ไปด้วยสกอร์รวม 3-1 ในรอบรองชนะเลิศตกรอบไปอีก ทำให้ในฤดูกาลนี้ (2021/2022) แฟนๆต่างไม่ได้คาดหวังมากถึงขนาดจะครองเจ้าแห่งยุโรปอีกครั้งต้นฤดูกาลเปิดขึ้น การจับฉลากมาดริดต้องตกมาอยู่ในโถ 2 แต่ดูเหมือนการจับฉลากจะทำให้แฟนๆราชันชุดขาว ดูมีความหวังขึ้นมาบ้าง เมื่ออยู่สายเดียวกับ อินเตอร์ มิลาน จากอิตาลี,เชอรีฟ ตีราสพอล จากมอลโดวา และ ชาร์คต้า โดเนส จากยูเครน ดูจากรายชื่อก็มีแค่ อินเตอร์ มิลาน ที่น่าจะดูแล้วพอที่จะสูสี และอาจจะเหนื่อยกับ ชาร์คต้า โดเนส บ้างเล็กน้อย และเปิดมา มาดริดก็ทำได้ดีในนัดแรกด้วยการบุกไปเอาชนะอินเตอร์ มิลานได้ถึงซานซิโร่ 1-0 จากประตูของโรดริโก้ แต่แล้วสิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นในรอบแบ่งกลุ่มนัดที่ 2 รีล มาดริด เปิดบ้านแพ้ต่อน้องใหม่ของ UEFA Champions League อย่าง เชอรีฟ ตีราสพอลไป 1-2 แถมประตูที่ราชันชุดขาวทำได้ ยังต้องพึ่งจุดโทษของ คาริม เบนเซม่า อีกด้วย ทำให้แฟนๆเริ่มหนักใจพอควรแต่แล้วหลังจากนัดที่พ่ายต่อ เชอรีฟ ตีราสพอล คาบ้าน ราชันชุดขาว ก็ชนะรวดใน 4 นัดที่เหลือ แถมยิงได้ 12 ประตู เสียแค่ 1 ประตู จาก 4 นัดในรอบแบ่งกลุ่มที่เหลือ ตีตั๋วอันดับ 1 ของกลุ่ม คว้า 15 แต้ม จาก 6 นัด ผ่านเข้ารอบมาแบบสบายแฮร์ ทำให้แฟนๆเริ่มกลับมามีความหวังอีกครั้งและแล้วในรอบ 16 ทีม มาดริด ดันต้องมาเจอกับทีมที่มี Superstar เต็มทีมอย่าง ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง (Paris Saint-Germain) ที่มีทั้ง 3 ประสานในแดนหน้าอย่าง เนย์มาร์, เมสซี่ และ เอ็มปั๊บเป้ แถมมี ดอนนารุมมา สุดยอดผู้รักษาประตูจากแดนมักกะโรนี, เซร์ฆิโอ ราโมส อดีตปราการหลังของพวกเค้าเอง, จอร์จีนีโย ไวนัลดึม กองกลางตัวเก๋าของฮอลแลนด์, มาร์โก แวร์รัตตี กองกลางทักษะดีจากอิตาลี และ ตัวเก๋าอย่าง อังเฆล ดิ มาเรีย ที่พร้อมจะสร้างสรรค์เกมให้ทีมอยู่ตลอดเวลา ทำให้มาดริดต้องเจอกับศึกหนักตั้งแต่รอบน๊อคเอ้าท์ รอบแรกกันเลยทีเดียว และในนัดนี้เอง นัดแรกมาดริดแพ้ให้ปารีสไปก่อน 1-0 และเมื่อกลับมาเล่นในบ้าน ทุกอย่างเหมือนจะเข้าทางปารีส เมื่อ เอ็มปั๊บเป้ ยิงให้ปารีสนำก่อน 1-0 ในครึ่งแรก แต่แล้วปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น เบนเซม่า เหมา 3 ลูกในครึ่งหลัง พามาดริดเข้ารอบไปได้ด้วยสกอร์รวม 3-2 อย่างน่าเหลือเชื่อต่อมาก็ใช่ว่างานจะง่าย ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย มาดริดต้องมาเจอกับทีมแชมป์เก่า และเป็นทีมที่เขี่ยพวกเค้าตกรอบเมื่อปีที่แล้วคือเชลซี และแล้วในนัดแรกต้องบอกว่ามาดริดโชว์เหนือด้วยการบุกไปชนะเชลซี 3-1 อย่างสวยหรู แต่แล้วฝันที่ดีก็เกือบจะร้าย เมื่อพวกเค้าเปิดบ้านรับการมาเยือนของสิงโตน้ำเงินครามจากอังกฤษ ในนัดนั้นเป็นเชลซี ที่ยิงนำมาดริดไปก่อนถึง 3-0 จนถึงนาทีที่ 80 โรดริโก้ก็ทำให้แฟนๆราชันมีความหวังขึ้นมาอีกครั้งเมื่อมายิงประตูตีไข่แตกเป็น 3-1 ทำให้ต้องไปเล่นกันต่อในช่วงต่อเวลาพิเศษ และในช่วงต่อเวลาพิเศษปาฏิหาริย์ครั้งที่ 2 ก็เกิดขึ้น เมื่อในนาทีที่ 96 คาริม เบนเซม่า ก็มาโหม่งประตูชัยให้รีล มาดริด เอาชนะเชลซีไปได้เมื่อจบ 120 นาทีและในรอบ 4 ทีมสุดท้าย มาดริดก็ยังต้องมาเจอทีมที่ได้ชื่อว่าเป็นทีมอันดับต้นๆของยุโรปอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของเป๊บ กวาดิโอล่า และในนัดแรกมาดริดก็สู้กับซิตี้ได้อย่างสุดมัน เมื่อแพ้ซิตี้ไป 4-3 และเมื่อกลับมาเล่นในบ้านตัวเองนัดที่ 2 ทีมของเป๊บ กวาดิโอล่า ก็เป็นฝ่ายยิงนำไปก่อนจากริยาส มาเรส แต่แล้วอันเชลอตติ ก็ได้ทำการแก้เกม โดยการส่งโรดริโก้ลงมา และในที่สุดก็เป็นตัวทีเด็ดอย่างโรดริโก้ ที่ยิงตีเสมอให้ทีม เป็น 1-1 ในนาทีที่ 90 จากลูกจ่ายของเบนเซม่า และในอีก 1 นาทีต่อมา แดเนี่ยล การ์บาคาล แบ๊กซ้ายของมาดริด ซึ่งในเกมนั้นเปิดสวยๆอยู่หลายรอบ ก็เติมขึ้นมาเปิดให้ โรดริโก้ โหม่งเข้าไปเป็นประตู 2-1 ทำให้ต้องต่อเวลาพิเศษ (UEFA Champions League ยกเลิกกฏประตูทีมเยือนไปแล้ว) และในนาทีที่ 93 รูเบน ดิอาส เข้าไปสกัดเบนเซม่าในเขตโทษ กรรมการเป่าให้มาดริดได้จุดโทษ และก็เป็นคาริม เบนเซม่า ลุกขึ้นมารับหน้าที่ยิงเข้าไป และก็เป็นประตูที่พาให้มาดริดเข้าไปชิงชนะเลิศกับลิเวอร์พูลลิเวอร์พูลเคยเจอรีลมาดริดมาแล้วในปี 2018 (ฤดูกาล 2017/2018) และปีนั้นมาดริดชนะไป 3-1 ทำให้ลิเวอร์พูลอยากจะแก้แค้น รีล มาดริด เหลือเกิน แถมก่อนเกม โม ซาลาห์ มีการออกมาพูดว่าเค้าอยากจะชนะมาดริด เพื่อแก้แค้นในปี 2018 ที่เค้าเจ็บจนต้องออกจากสนามไปตั้งแต่นาทีที่ 31 และก่อนเกมก็มีเรื่องปั่นป่วนเล็กน้อย เมื่อนอกสนามมีการสลายการชุมนุมของแฟนบอลเล็กน้อยที่มีตั๋ว ไม่ได้เข้าสนามตามเวลาปกติ เพราะตำรวจปิดประตู และตำรวจฝรั่งเศสก็จัดการกับแฟนบอลได้ไม่ดีพอ แต่ในที่สุดเกมก็เริ่มได้ และเมื่อเกมเริ่มขึ้น ผมต้องบอกเลยว่านี่คือเกมคุณภาพ ที่เป็นคุณภาพสุดๆ ของทั้งลิเวอร์พูล และ รีล มาดริด เอง และคงต้องบอกว่าลิเวอร์พูลไม่ได้ด้อยไปกว่า รีล มาดริดเลย เพียงแต่ว่าวันนั้น กูร์ตัว ผีเข้าสุดๆ เซฟจนคนยิงยังเหนื่อยมาถึงดราม่าลูกยิงของเบนเซม่าในท้ายครึ่งแรก ตอนที่ผมดู ผมเองก็งงกับไอ้กฏการล้ำหน้าที่ผู้รักษาประตู ขึ้นมาเหนือกองหลังแบบนี้ (ต้องบอกว่าสมัยผมเตะบอลมันอาจจะยังไม่มีแบบนี้มั้ง หรือมีแต่ผมไม่รู้ 555) จากประตูของเบนเซม่า แต่ VAR ก็ตัดสินว่าไม่ได้ประตู เพราะตำแหน่งของแอนดี้ โรเบิร์ดสัน ถือว่าเป็นตำแหน่งผู้รักษาประตูแทนอลิซง แต่ที่สำคัญคือลูกที่มาที่เบนเซม่า เหมือนจะไม่ใช่จังหวะที่ถูกส่งมาให้แบบตั้งใจ แต่เป็นจังหวะที่กองหลังลิเวอร์พูล บล๊อกแล้วไปเข้าทางของเบนเซม่าเอง แต่ VAR ก็ตัดสินออกมาแล้วว่าไม่ได้ประตู แต่แล้วหลังจากเปิดครึ่งหลังมา ในนาทีที่ 59 บัลเบร์เดได้บอลทางขวาแล้วเปิดเข้ามาให้ วีนีซียุส จูเนียร์ โฉบมายิงเข้าไปแบบไม่มีธงล้ำหน้า หลังจากเสียประตู หงส์แดงก็บุกหนักหวังเอาประตูคืนให้ได้ แต่ก็โดนกูร์ตัว ซึ่งไม่รู้กินอะไรมา ป้องกันไว้ได้หมด โดยเฉพาะในนาทีที่ 82 ที่ โม ซาลาห์ หลุดเข้าไปยิงแต่กูร์ตัวก็ยังไว ล้มตัวปัดทิ้งออกหลังไปได้อีก และสุดท้ายราชันชุดขาวก็ชนะและคว้าแชมป์สมัยที่ 14 ไปด้วยสกอร์ 1-0ฤดูกาลหน้าเตะที่ไหนนะ? อิสตันบูลเหรอ? จองโรงแรมเอาไว้เลย - คำพูดติดตลกของ เจอร์เก้น คล็อปป์ผมเป็นเจ้าสถิติ ผมโชคดีที่มาที่นี่เมื่อปีก่อน และมีซีซั่นที่ยอดเยี่ยม เราเป็นสโมสรที่วิเศษ เรามีขุมกำลังชั้นยอดที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพ และพวกเขามีจิตใจที่แข็งแกร่ง - บทสัมภาษณ์ของ คาร์โล อันเชลอตติ หลังจบเกมในเกมนี้ผมต้องบอกว่า ควรยกเครดิตให้กับกุนซือของทั้ง 2 ทีม ทั้ง คาร์โล อันเชลอตติ และ เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่ทำให้ทีมเล่นได้ตามเกมที่วางไว้ และสู้กันได้อย่างสนุก สุดมัน ปีหน้าที่คล็อปป์อาจจะพูดติดตลกว่า ให้จองโรงแรมในอิสตันบูลไว้เลย อาจจะไม่ใช่เรื่องขำขันก็ได้ หากลิเวอร์พูลยังคงมาตรฐานการเล่นแบบนี้ไว้ได้ แม้ว่าผมจะไม่ใช่ทั้งแฟนบอลของรีล มาดริด หรือลิเวอร์พูล แต่ต้องบอกเลยว่า ทั้ง 2 ทีมนี้ คือทีมระดับโลกอย่างแท้จริง ... ที่มาของข้อมูล : อ้างอิง 1 จำนวนแชมป์, อ้างอิง 2 ข้อมูลอายุนักเตะ, อ้างอิง 3 ข้อมูลการแข่งขันย้อนหลัง, อ้างอิง 4 ข้อมูลการแข่งขันรอบ 16 ทีม จากการรับชมของผู้เขียน Real Madrid VS PSG, อ้างอิง 5 ข้อมูลการแข่งขันรอบ 8 ทีม จากการรับชมของผู้เขียน Real Madrid VS Chelsea, อ้างอิง 6 ข้อมูลการแข่งขันรอบ 4 ทีม จากการรับชมของผู้เขียน Real Madrid VS Manchester City, อ้างอิง 7 ข้อมูลการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ จากการรับชมของผู้เขียน Real Madrid VS Liverpool เครดิตภาพปกจาก ปรับแต่งคำหน้าปกจากผู้เขียน Facebook UEFA Champion League : ภาพต้นฉบับเครดิตภาพประกอบจาก Facebook UEFA Champion League : ภาพที่ 1 ภาพการฉลองแชมป์ของมาดริด ภาพที่ 2 การจับฉลากแบ่งสายของกลุ่ม D ภาพที่ 3 ชัยชนะเหนือ PSG, ภาพที่ 4 ลูกเซฟสุดสวยของตีโบ กูร์ตัว ภาพที่ 5 ประตูชัยในนัดพบแมนเชสเตอร์ ซิตี้, ภาพที่ 6 ประตูของวีนีซียุส จูเนียร์, ภาพที่ 7 : คาร์โล อันเซลอตติส่องนักบอลตัวเต็ง ดูสดระเบิดแมทช์สุดมันส์บน App TrueID โหลดฟรี !