"143 ปี" นี่คืออายุของสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ที่ก่อตั้งมาแล้ว 143 ปี หรือนับตั้งแต่ปีค.ศ. 1880 ในที่สุดวันนี้พวกเขาก็ได้ชื่อว่าเป็น "เจ้ายุโรป" เสียที หลังจากรอคอยมาอย่างเนิ่นนาน โดยเฉพาะนับตั้งแต่ปี 2008 ที่กลุ่มทุนจากตะวันออกกลางเข้ามาเทคโอเวอร์ทีมต่อจากอดีตนายกฯ ของไทย เพราะนับตั้งแต่นั้นก็เหมือนเป็นจุดเริ่มต้นความยิ่งใหญ่ของทัพ "เรือใบสีฟ้า" จนในวันนี้พวกเขาก็คว้าถ้วยรางวัลสุดปรารถนาของพวกเขามาครองได้สำเร็จ สำหรับ UCL หรือแชมป์ยูฟา แชมเปียนส์ลีกหลังจากที่พวกเขาเฉือนชนะ "งูใหญ่" อินเตอร์ มิลาน 1-0 และที่ยิ่งใหญ่ไปกว่านั้นคือการคว้า "ทริปเปิลแชมป์" เป็นทีมที่ 2 ต่อจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่ทำได้ในปี 1999 ในยุคของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันค่ำคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา ณ สนามอตาเติร์ก เมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกี จะถูกจดจำในหน้าประวัติศาสตร์ของ "สโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้" ไปตลอดกาล เพราะนี่คือค่ำคืน นี่คือสนาม นี่คือเมือง และนี่คือประเทศที่พวกเขาเถลิงบัลลังก์เจ้าแห่งยุโรปเป็นครั้งแรกในประศาสตร์ของสโมสร นี่คือถ้วยเดียวและถ้วยสุดท้ายที่พวกเขารอคอย พวกเขากวาดมาเรียบวุธหมดแล้วสำหรับแชมป์ในประเทศ ขาดเพียงแชมป์ระดับทวีปเท่านั้นแหละที่พวกเขาไม่เคยสมหวังซักที ซึ่งพวกเขาก็เคยอกหักในนัดชิงชนะเลิศแล้วมาครั้งนึงแล้วในปี 2021 ที่แพ้ให้กับเชลซีในยุคของโธมัส ทูเคิลชีค มานซูร์ เจ้าของกลุ่มทุนอาบู ดาบีจากตะวันออกกลางทุ่มเท ทุ่มทุนทุกอย่างนับตั้งแต่ปี 2008 ที่เข้ามาเทคโอเวอร์เพื่อที่จะได้ครองความยิ่งใหญ่ในโลกของฟุตบอล ซึ่งทั้งแมนซิตี้และแฟนๆ เรือใบเองโดนค่อนขอดมานับไม่ถ้วนว่าเป็นทีมที่มีแต่เงิน ไม่มีประวัติศาสตร์อะไรหรอก มีแชมป์แล้วไงแต่ก็ไม่มีประวัติศาสตร์อยู่ดี ยิ่งใหญ่ในประเทศแล้วไงก็ไม่เคยได้แชมป์ยุโรปแบบลิเวอร์พูล เชลซีและแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่เคยทำได้อยู่ดีแต่หลายๆ คนอาจจะลืมไปว่า ประวัติศาสตร์ของทุกทีมล้วนแล้วแต่เริ่มมาจาก "ศูนย์" ทั้งนั้น ซึ่งหลายปีที่ผ่านมา แมนซิตี้ก็กำลังสร้างประวัติศาสตร์ของพวกเขาอยู่เหมือนกัน พวกเขาสร้างประวัติศาสตร์ด้วยวิธีของตัวเอง แนวทางของตัวเอง และในที่สุดวันนี้ วันที่พวกเขารอคอยก็มาถึงแล้ว วันที่พวกเขาประกาศศักดิ์ดาความยิ่งใหญ่ของพวกเขาได้อย่างเต็มภาคภูมิ พวกเขาเป็นแชมป์ยุโรปแล้ว และเป็นแบบยิ่งใหญ่มากเสียด้วย ด้วยการคว้า "3 แชมป์" ในฤดูกาลเดียว ประวัติศาสตร์ของแมนซิตี้อาจจะมาช้ากว่าทีมอื่น แต่พวกเขามาแล้วครับ มาช้าแต่มานะอย่างที่ผมบอกไปครับว่าเจ้าของทีมแมนซิตี้นั้นทุ่มทุกอย่างให้กับทีม ขออะไรมาก็จัดให้เพื่อหวังจะให้ทีมยิ่งใหญ่ ผู้เล่นมากมายเข้ามาแล้วก็ผ่านไปนับไม่ถ้วน ผู้จัดการทีมหลายคนผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ผู้คนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นรากฐาน เป็นพื้นฐานที่ปูมาให้เรือใบสีฟ้ายิ่งใหญ่แบบทุกวันนี้ จนมาวันนี้วันที่พวกเขาทำสำเร็จแล้ว นอกจากเราจะให้เครดิตกับเจ้าของทีม เหล่าผู้บริหาร เหล่าโค้ชและนักเตะที่เป็นรากฐานให้กับทีมแล้ว อีกคนที่ลืมไม่ได้เลย นั่นคือผู้จัดการทีมที่ชื่อว่า "เป๊ป กวาร์ดิโอลา" โคตรกุนซือแห่งยุค No.1 ของยุคนี้ ผู้ชายคนนี้จะถูกจารึกว่าเป็นกุนซือที่พาแชมป์ UCL สมัยแรกมาให้กับทีม ผมไม่รู้จะสรรหาคำไหนมานิยามผู้ชายคนนี้ดี นอกจากคำว่า "โคตรอัจฉริยะ" ผู้ชายคนนี้เก่งจริง เก่งมากๆ ฉลาดจริง ฉลาดยิ่งกว่ากรด ถ้าคุณคิดว่าแทคติกที่คุณคิดนั้นไล่ตามเป๊ปทัน คุณคิดผิดครับ เพราะเป๊ปนั้นคิดล่วงหน้าสำหรับการที่เขาโดนไล่ทันแล้วครับ เขานำคุณอยู่ 1-2 ก้าวเสมอ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าถ้าแมนซิตี้ไม่ได้เป๊ปมาคุม ตอนนี้แมนซิตี้จะได้แชมป์ UCL ในฤดูกาลนี้หรือไม่ ซึ่งสำหรับเป๊ปนั้นก็โดนค่อนขอดมานับไม่ถ้วนเหมือนกัน ไม่ต่างจากแมนซิตี้เลย เพราะนับตั้งแต่ที่เขาออกจากบาร์เซโลนาในปี 2012 เขาก็ไม่เคยได้แชมป์ UCL อีกเลย ถึงแม้ว่าเขาจะได้ไปคุมโคตรทีมของเยอรมันอย่าง "บาเยิร์น มิวนิค" แล้วก็ตาม ก็ยังทำไม่สำเร็จ หลายๆ คนปรามาสเขาไว้ว่า 2 สมัยที่เขาได้กับบาร์ซ่าก็เพราะมี "ลิโอเนล เมสซี" ไง ไม่มีเมสซีก็ไม่ได้หรอก UCL น่ะ หรือแม้กระทั่งโดนสบประมาทว่าคุมแต่ทีมใหญ่ทีมมีเงินไงถึงได้แชมป์มาเยอะ (ลืมคิดข้อที่ว่าถ้าคนมันไม่เก่งจริง มันก็ไม่มีใครจ้าง ไม่มีทีมใหญ่ทุ่มเงินจ้างรึเปล่า) แต่ในวันนี้เป๊ปพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วว่า ต่อให้เขาไม่มีเมสซี เขาก็สามารถคว้าแชมป์ยุโรปถ้วยใบใหญ่ที่สุดได้เหมือนกัน และหลังจบเกมก็มีสัมภาษณ์แซวเรอัล มาดริดว่าตอนนี้แมนซิตี้ตามมาดริด 13 สมัย แต่อย่าเผลอหลับนะ ไม่งั้นพวกเขาอาจจะแซงนะ ดูเอาเถอะครับ แพสชั่นของเป๊ปและแมนซิตี้ในถ้วยนี้มันแรงกล้าซะเหลือเกินเอแดร์ซอน, มานูเอล อาคานจี, รูเบน ดิอาส, นาธาน อาเก, จอห์น สโตน, โรดรี, อิลคาย กุนโดกัน, เควิน เดอ บรอยน์, แจ็ค กริลิช, แบร์นาโด ซิลวา และเออร์ลิง เบราท์ ฮาแลนด์ นี่คือ 11 ผู้เล่นตัวจริงที่จะถูกจารึกในหน้าประวัติศาสตร์ของสโมสรเช่นเดียวกับผู้จัดการทีมอย่างเป๊ป พวกเขาทั้ง 11 คนนี้คือขุนพลที่นำพาถ้วยแชมป์ที่สโมสรรอคอยมาให้ ความจริงต้องเพิ่มฟิล โฟเดนเข้ามาใน 11 คนด้วย เพราะในเกมประวัติศาสตร์นี้เจ้าหนูโฟเดนลงมาแทนเควิน เดอ บรอยน์ที่มีอาการบาดเจ็บตั้งแต่ช่วงครึ่งแรก และเกือบทำประตูได้ด้วย รวมไปถึงไคล์ วอล์คเกอร์ที่ถูกเปลี่ยนลงมาแทนสโตนในช่วงท้ายของครึ่งหลังโดยเฉพาะเควิน เดอ บรอยน์นั้นแชมป์นี้มันโคตรจะพิเศษสำหรับเขาเลย เพราะในปีที่พวกเขาเข้าชิงและแพ้ให้กับเชลซีนั้น ในช่วงครึ่งหลังเขาได้รับบาดเจ็บจากการปะทะกับอันโตนิโอ รูดิเกอร์ทำให้จมูกหักและกระดูกเบ้าตาแตก จนไม่สามารถอยู่ช่วยทีมจนจบเกมได้ สุดท้ายทีมของเขาก็แพ้ไป ซึ่งหลายๆ คนคิดว่าถ้าหากแมนซิตี้มีเดอ บรอยน์อยู่ในเกมนั้นจนจบเกม พวกเขาอาจจะไม่แพ้ก็ได้ ซึ่งในครั้งนี้เจ้าตัวก็มีอาการบาดเจ็บจนไม่สามารถเล่นต่อได้อีกเหมือนเดิม ที่มันแย่ไปกว่านั้นเจ้าตัวได้รับบาดเจ็บตั้งแต่ครึ่งแรกเลยด้วยซ้ำ ทำให้หลายคนกลัวว่ามันจะฉายภาพซ้ำแบบปี 2021 ที่อกหัก แต่สุดท้ายในครั้งนี้เขา "สมหวัง" แล้วครับ และเหมือนเป็นการลบฝันร้ายกับทีมชาติเบลเยียมที่ตกรอบแรกในฟุตบอลโลกที่ผ่านมาด้วยนอกจากนี้อีกคนที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ก็คือ "เด็กนรก" เออร์ลิง เบราท์ ฮาแลนด์ที่ฤดูกาลนี้เป็นฤดูกาลแรกของเขากับทัพเรือใบ หลังจากที่ย้ายมาจากโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ แต่แค่ฤดูกาลแรกกับแมนซิตี้เขาก็ยิงให้ทีมไปแล้ว 52 ประตูจากการลงเล่น 53 นัดในทุกรายการ เรียกได้ว่าเขาเข้ามาทำให้ฝันของแมนซิตี้เป็นจริง เพราะใน UCL เขาลงเล่นไป 11 เกมให้กับแมนซิตี้ เขายิงไป 12 ประตูกับอีก 1 แอสซิสต์ มีส่วนร่วมกับประตูมากกว่าจำนวนนัดที่ลงเล่นเสียอีก และผมเคยได้เขียนบทความไปแล้วว่าฮาแลนด์นี่แหละที่จะเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายที่จะพาแมนซิตี้เถลิงบัลลังก์แชมป์ UCL ในบทความที่ชื่อว่า "จิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้าย" ที่จะพาแมนซิตี้คว้า UCL มีชื่อว่า "เออร์ลิง ฮาแลนด์" สุดท้ายเจ้าเด็กจอมมารบูคนนี้มันทำได้จริงๆ ความยิ่งใหญ่ของเรือใบสีฟ้าในฤดูกาลนี้ มันไม่ได้อยู่แค่เพียงพวกเขาได้แชมป์ยุโรปแล้ว แต่มันเป็นการคว้า "ทริปเปิลแชมป์" ได้ (แชมป์ลีก, แชมป์ฟุตบอลถ้วยใบใหญ่สุดในประเทศ, แชมป์ถ้วยใบใหญ่สุดของทวีป) ทำให้แมนซิตี้กลายเป็นทีมที่ 2 ของอังกฤษที่สามารถคว้าทริปเปิลแชมป์ได้ ต่อจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่ทำได้ในปี 1999 และเป็นทีมที่ 8 ที่ทำได้ แถมทำให้ "แมนเชสเตอร์" เป็นเมืองที่ 2 ที่มี 2 ทีมที่สามารถคว้าแชมป์ยุโรปได้ ต่อจากมิลาน (เอซี มิลานและอินเตอร์ มิลาน) มันเหมือนการเป็นการปลดแอกจากการอยู่ใต้ร่มเงาของปีศาจแดงอย่างแท้จริง ได้แชมป์ยุโรปแบบที่แมนยูทำได้ไม่พอ ยังมาทำในสิ่งที่แมนยูทำได้เพียงทีมเดียวมาตลอด 24 ปีได้เหมือนกันอีกความจริงตอนแรกผมก็ไม่รู้จะเขียนอะไรลงไปในบทความนี้เหมือนกันนะ เพราะไม่ใช่ทีมที่ตัวเองเชียร์ แถมมีความอิจฉาอยู่ลึกๆ ด้วย อยากมีเจ้าของที่รวยและทุ่มให้กับทีมแบบนี้บ้าง อยากคว้าแชมป์ให้เยอะแบบที่แมนซิตี้ทำได้บ้าง แต่สุดท้ายแล้วผมคิดออกแล้วว่าผมแค่อยากจะเขียนบทความนี้มาเพื่อ "แสดงความยินดีและสดุดี" ให้กับเรือใบสีฟ้า เพราะมันเป็แชมป์ที่พวกเขารอคอย มันเป็นการรอคอยที่แสนยาวนาน ผมเข้าใจความรู้สึกของการรอคอยเป็นอย่างดี เพราะลิเวอร์พูลที่ผมรักก็รอคอยแชมป์พรีเมียร์ลีกกว่า 30 ปีถึงจะสมหวัง ซึ่งถึงแม้ระหว่างเส้นทางการรอคอยนั้นมันจะมีถ้วยอื่นๆ มาประดับสโมสร แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ปรารถนา และพอวันที่ความปรารถนานั้นสมหวังแล้ว ผมเชื่อว่าเหล่า Cityzens นั้นก็มีความรู้สึกไม่ต่างจากที่ The Kop นั้นรู้สึกเช่นกัน มันทั้งดีใจ ตื้นตันใจ มันเต็มไปด้วยความรู้สึกต่างๆ มากมายที่พรั่งพรูออกมาเต็มไปหมด มันสิ้นสุดการรอคอยที่ยาวนานเหลือเกิน ถึงแม้ระยะเวลาจะไม่เท่ากัน แต่เมื่อขึ้นชื่อว่า "รอ" สำหรับคนรอแล้วมันย่อมยาวนานเสมอสุดท้ายนี้ต้องขอแสดงความยินดีกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้และแฟนๆ เรือใบด้วยนะครับ พวกคุณเหมาะสมกับความสำเร็จในฤดูกาลนี้จริงๆ ครับ พวกคุณสุดยอดมากครับ ส่วนอินเตอร์ มิลานและแฟนๆ งูใหญ่ ผมก็ขอเป็นกำลังใจให้เช่นเดียวกันครับ วันนี้คุณสู้ได้อย่างสมศักดิ์ศรีจริงๆ แต่มันคือเกมกีฬาครับ มีผู้ชนะและผู้แพ้ เพียงแต่วันนี้คุณเป็นผู้แพ้แค่นั้น ซักวันคุณก็จะกลับมาเป็นผู้ชนะเหมือนกัน เป็นกำลังใจให้ครับขอบคุณภาพประกอบจากOfficial Facebook ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้Official Facebook ของยูฟา แชมเปียนส์ลีกภาพปก 1, ภาพปก 2 และภาพปก 3ภาพประกอบ 1, ภาพประกอบ 2, ภาพประกอบ 3, ภาพประกอบ 4, ภาพประกอบ 5 และภาพประกอบ 6Community ฟุตบอล ถกประเด็นร้อนฟุตบอลทุกลีก ใครตัวเต็ง ใครฟอร์มตก ต้องเคลียร์