ศิลปะการต่อสู้ของเมืองไทยก็ต้องเป็น มวยไทย อย่างแน่นอนไม่ต้องสงสัย นอกจากจะเป็นศิลปะการต่อสู้ที่แข็งแกร่งแล้ว ก็ยังเป็นกีฬาที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก สร้างความน่าสนใจแก่ชาวประเทศมากมายไม่ว่าจะเป็นการแข่งทั่วไปในเวทีลุมพินี ราชดำเนินหรือสยามอ้อมน้อย จนมีการเปิดค่ายมวยสถาบันสอนมวยไทยในต่างแดน แต่ว่ายังมีศิลปะการต่อสู้อีกแขนงหนึ่งที่มาจากมวยไทยเหมือนกันเรียกว่า "คิกบ็อกซิ่ง" คิกบ็อกซิ่ง คำนี้อาจจะเคยได้ยินมานานพอสมควร ถ้าใครยังไม่เคยได้ยินหรือไม่รู้ว่ามันต่างกันกับมวยไทยอย่างไร ก็จะขอเล่าประวัติคร่าว ๆ กันก่อนนะครับ คิกบ็อกซิ่งมันเป็นศิลปะการต่อสู้ ที่ดัดแปลงมาจากมวยไทยกับคาราเต้ มีผู้ให้กำเนิดคือคุณ โอซามุ โนกูจิ (ขวา) ในปี 1950 ชาวญี่ปุ่นผู้ที่ต้องการนำศิลปะการต่อสู้ที่แตกต่างมาประชันฝีมือกัน โดยหลัก ๆ แล้วเขาจะนำคิกบ็อกซิ่งที่คิดค้นเองมาดวลกับมวยไทยของจริง ที่มารูปภาพ: ignitefightclub ผลที่ได้ของการนำคิกบ็อกซิ่งมาดวลมวยไทย แม้ว่าในครั้งแรกมวยไทยเป็นฝ่ายพ่ายแพ้เพราะกติกากับการออกอาวุธที่แตกต่างกันมาก (ใช้เข้า-ศอก ไม่ได้) ทำให้พวกเขาปรับตัวได้ช้า อย่างไรก็ตามในระยะหลังประมาณปี พ.ศ. 2514 มวยไทยก็สามารถล้างตาเอาชนะได้ ถึงอย่างนั้นนับแต่นั้นเป็นต้นมา คิกบ็อกซิ่ง จากญี่ปุ่นกลับไม่ได้รับความนิยมในประเทศไทยอีกเลย พอเห็นประวัติที่มาคร่าว ๆ แล้ว ทีนี้มาเจาะลึกกันว่าศิลปะการต่อสู้ที่เรียกว่า คิกบ็อกซิ่ง มันลดทอนสิ่ที่เป็นมวยไทยแท้หรือไม่ เพราะหากดูจากที่มาของมันแล้ว ก็ถือว่ามวยไทยเป็นรากของคิกบ็อกซิ่งอยู่ เพียงแต่ว่ามีการจำกัดการออกอาวุธให้น้อยลงคือ เข้ากับศอก ขณะที่การออกหมัดกับลูกเตะสามารถทำได้ปกติ และการชกจะเป็น 3 ยกซึ่งมวยไทยจะชกกัน 5 ยก ที่มารูปภาพ: abdurraouf ramesh abdullah จาก Pixabay ส่วนการจะบอกว่ามันลดทอนคุณค่าหรือไม่นั้น คงต้องบอกว่า มันทำให้ดูเป็นสากลมากกว่า หรือศัพท์สมัยใหม่คือทำให้ Mass ขึ้นครับ จริงอยู่ที่ว่าการไม่ได้ใช้อาวุธครบทุกส่วนของร่างกาย มันดูไม่เข้มข้นเท่าไหร่ หากลองมองมุมกว้างสักนิดว่าจะมีนักมวยกี่คนที่ยอมเจ็บตัวอย่างหนัก จนถึงเลือดตกยางออก นักมวยไทยบางคนเท่านั้นที่ยอมกล้าเสี่ยง อีกทั้งมันเป็นอาวุธที่อันตรายพอตัว อีกทั้งการที่ใช้ศอกกับเข่าได้ จะยิ่งทำให้นักมวยระวังตัวมากขึ้น ต้องดูเชิงกัน บวกกับกติกามวยไทยที่ชกกัน 5 ยก ในยกแรกจะเป็นการดูเชิงกันก่อนที่จะชกให้รู้ผลในยกสุดท้าย นั่นก็ทำให้ภาพของมวยมันดูน่าเบื่อไป ชาวต่างชาติคนไหนกันล่ะ ที่อยากดูมวยชั้นเชิงไม่ทำอะไรกันเลย ขณะที่คิกบ็อกซิ่งที่ต่อยกับเตะได้ แถมมีเวลาบีบมากขึ้นคือ 3 ยก ทำให้นักมวยต้องออกอาวุธกันตั้งแต่แรก ผลพลอยได้คือความสนุกเอ็นเตอร์เทนมากกว่า ที่มารูปภาพ: Claudio_Scott จาก Pixabay ด้วยการจัดรายการมวยจำต้องมีธุรกิจเงินทองมาเกี่ยวข้อง มันก็ต้องมีการโปรโมทหรือสร้างความเอ็นเตอร์เทน ซึ่งมวยไทยไม่โดดเด่นในเรื่องนี้ ประกอบกับจำนวนเงินรางวัลที่น้อยไม่สร้างแรงจูงใจ ให้กับนักลงทุนเท่าไหร่นัก และผลประโยชน์เม็ดเงินที่หมุนเวียนในสนาม เลยทำให้ปัจจุบันมวยไทยจะวนเวียนกับเหล่าผู้หลักผู้ใหญ่หน้าเดิม ๆ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงให้เปิดกว้างมากขึ้น ดังนั้นแล้วมวยไทยมันจึงค่อนข้างเฉพาะกลุ่มเกินไปครับ ขณะที่คิกบ็อกซิ่งนั้นมีกติกาที่ชวนให้ระทึกตั้งแต่ยกแรก มีการโปรโมทที่ดีบวกกับเงินรางวัลสูงพอ ทำให้มีการลงทุนมากมาย เราอาจจะคุ้นเคยกันดีกับรายการแข่ง K-1 รายการ Glory กับรายการ One Championship เป็นต้น มันจึงไม่ได้เป็นการลดทอนคุณค่าลงไป แต่มันกลับทำให้ผู้คนรู้จักมากขึ้น เพราะอย่างน้อยรากฐานของมันก็คือมวยไทยนี่แหละครับ ที่มารูปภาพ: Vlad Dediu จาก Pexels แม้ว่าคิกบ็อกซิ่งจะดูเป็นสากลอย่างที่กล่าวมา ถึงกระนั้นแล้วก็มีชาวต่างชาติมากมาย เดินทางมาเรียนมวยไทย เพื่อเรียนรู้และเข้าใจถึงแก่นของศิลปะการต่อสู้ที่อย่างแท้จริง แม้ว่าพวกเขาจะนำไปดัดแปลงหรือประยุกต์ใช้ในบางส่วนก็ตาม สุดท้ายนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีศิลปะการต่อสู้แบบไหนดีกว่ากันนะครับ เพราะทุกอย่างล้วนมีข้อดีของมันในตัว จากความคิดเห็นของผู้เขียนแล้วมองว่า การมีอยู่ของมวยไทยเป็นสิ่งที่ดีแม้ว่าจะเฉพาะกลุ่มก็ตาม ส่วนคิกบ็อกซิ่งก็เหมือนเป็นประตูเปิดให้ชาวโลกได้รู้ว่า มันมีรากฐานมาจากมวยไทยด้วย จึงเห็นว่ามันก็ไม่ได้ทำให้มวยไทยเสื่อมเสียแต่อย่างใด ที่มารูปภาพปก: Taco Fleur จาก Pixabay