รีเซต
14 กุมภาฯ ได้เวลาเปิดฉากสงครามแข้ง...ส่องสมรภูมิไทยลีก 2020 !!!

14 กุมภาฯ ได้เวลาเปิดฉากสงครามแข้ง...ส่องสมรภูมิไทยลีก 2020 !!!

14 กุมภาฯ ได้เวลาเปิดฉากสงครามแข้ง...ส่องสมรภูมิไทยลีก 2020 !!!
KittisaK
12 กุมภาพันธ์ 2563 ( 23:45 )
1.3K
9

วันศุกร์นี้แล้วนะครับที่ศึกฟุตบอล “โตโยต้า ไทยลีก 2020” จะเปิดฉากฟาดแข้งซีซั่นใหม่ โดยแมทช์ตัดริบบิ้นเป็นเกมระหว่าง สมุทรปราการ เอฟซี เปิดบ้านปะทะแชมป์เก่า สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด ในวันวาเลนไทน์ 14 กุมภาพันธ์ เวลา 20.00 น.

เชื่อว่า ศึกไทยลีกฤดูกาลนี้จะยังคงเข้มข้นดุเดือดไม่แพ้ปีที่ผ่านๆมาแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นการลุ้นแชมป์ หรือการดิ้นรนเพื่ออยู่รอด แต่ก่อนอื่น เรามาดูภาพรวมก่อนเปิดลีกเพื่อเป็นการอุ่นเครื่องกันสักนิด

ซีซั่นโหดของกว่างโซ้ง

"เป็นแชมป์ว่ายากแล้ว แต่ป้องกันแชมป์นั้นยากกว่า" นี่คือสถานการณ์ที่ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด จะต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลังจากฤดูกาลที่แล้ว “กว่างโซ้งมหาภัย” ปาดหน้า บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ไทยลีกได้อย่างดราม่าในนัดสุดท้ายของฤดูกาล

นอกเหนือจากการป้องกันแชมป์ไทยลีกแล้ว ทัพนักเตะสิงห์ เชียงราย ยังมีภารกิจในเวทีระดับทวีปอย่าง "เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก" อีกหนึ่งรายการ ซึ่งถือเป็นโจทย์สุดหินที่เชียงรายจะต้องพยายามจัดการทีมให้สมดุล เพราะพวกเขาจะต้องเจอกับโปรแกรมเตะถี่ยิบ ทั้งไทยลีก ทั้งแชมเปี้ยนส์ลีก หากไม่แกร่งจริงก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะ "ล้มเหลว" ทั้งสองถ้วยเลยก็เป็นได้

นอกจากนี้ สิงห์ เชียงราย ยังมีฟุตบอลถ้วยในประเทศอย่างเอฟเอคัพ และลีกคัพ ที่ต้องลงเล่นอีกต่างหาก ซีซั่นนี้จึงเป็นบททดสอบที่แท้จริงว่า ขุนพล "กว่างโซ้งมหาภัย" จะก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในทีมชั้นนำของไทยและเอเชียได้หรือไม่

การทวงบัลลังก์ของบุรีรัมย์

ฤดูกาลที่แล้วนับเป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปีที่ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จบฤดูกาลแบบมือเปล่า ไร้ซึ่งถ้วยรางวัลใดๆเข้าสู่สโมสร นั่นทำให้ทัพ “ปราสาทสายฟ้า” หมายมั่นปั้นมือเหลือเกินว่า พวกเขาจะต้องทวงความยิ่งใหญ่กลับคืนมาให้ได้ โดยเป้าหมายอย่างแรกคือ “แชมป์ไทยลีก” นั่นเอง

ที่สำคัญ ซีซั่นนี้ขุนพลเซราะกราวไม่มีโปรแกรมแชมเปี้ยนส์ลีกให้ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง หลังจากพลาดท่าตกรอบเพลย์ออฟไปแล้ว นั่นทำให้พวกเขาสามารถมุ่งสมาธิทั้งหมดมาที่ศึกไทยลีกและฟุตบอลถ้วยในประเทศได้อย่างเต็มที่

อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าบุรีรัมย์จะไม่มีเรื่องให้กังวลใจ โดยพวกเขายังคงมีปัญหาในแดนหน้านับตั้งแต่การโบกมือลาของ ดิโอโก้ หลุยส์ ซานโต้ ซึ่งที่ผ่านมาก็ยังไม่มีกองหน้าคนไหนที่มีประสิทธิมากพอที่จะทดแทน “พี่หยอง” ได้เลย และในซีซั่นนี้บุรีรัมย์ดึงตัวรุกต่างชาติอย่าง แบร์นาร์โด คูเอสต้า และ ริคาร์โด บูเอโน่ เข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ ซึ่งต้องติดตามดูว่าผลงานจะออกมาเป็นอย่างไร

ถึงเวลาสิงห์เจ้าท่า-แข้งเทพ?

หากจะยกตำแหน่ง “เจ้าบุญทุ่ม” แห่งไทยลีกให้กับ การท่าเรือ เอฟซี ก็คงไม่ผิดแปลกอะไร เพราะ “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ประธานสโมสรสิงห์เจ้าท่า ดึงนักเตะใหม่เข้าสู่ทีมเกือบ 10 ราย นำโดย 3 แข้งจากเมืองทอง เฮแบร์ตี้ แฟร์นานเดส, อดิศักดิ์ ไกรษร และชาริล ชัปปุยส์

แน่นอนว่า การมีขุมกำลังให้เลือกใช้งานเยอะ ย่อมเป็นเรื่องดีสำหรับโค้ช แต่ในขณะเดียวกัน ทีมก็ต้องใช้เวลาปรับจูนแข้งเก่ากับสมาชิกใหม่มากตามไปด้วย อีกทั้งการลงทุนสูง ย่อมหมายถึงความคาดหวังและแรงกดดันที่จะตามมาด้วยเช่นกัน

ขณะที่ ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด ยกระดับขึ้นมาเป็นทีมหัวแถว แต่ก็ยังไปไม่ถึงเป้าหมายเสียทีแม้จะมีการทุ่มเงินคว้าแข้งดังเข้าสู่ทีมมาตลอด จนมาถึงซีซั่นนี้ “แข้งเทพ” ดึงตัวนักเตะใหม่มาเสริมทัพเพียงแค่ 2 รายคือ ฮาจิเมะ โฮโซไก กับ เบรนเนอร์ มาร์ลอส และเตรียมใช้ขุมกำลังชุดเดิมที่เล่นด้วยกันมานาน ซึ่งน่าสนใจว่ากลยุทธ์นี้จะทำให้พวกเขาได้สัมผัสแชมป์ไทยลีกหรือไม่

กิเลนเลือดใหม่

ถือเป็นฤดูกาลที่ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด มีการเปลี่ยนแปลงทีมพอสมควร โดยเฉพาะแนวรุก ซึ่งสองอาวุธหนักอย่าง ธีรศิลป์ แดงดา และเฮแบร์ตี้ เฟอร์นานเดส ย้ายออกไป

ปีนี้สาวกทีมกิเลนผยองจึงต้องฝากความหวังไว้กับแกนหลักที่เหลืออย่าง แดร์เลย์, สารัช อยู่เย็น อดิศร พรหมรักษ์ บวกกับผู้เล่นตัวใหม่ได้แก่ วิลเลียม พ็อพพ์, ลูคัส โรช่า, ซาร์ดอร์ มีร์ซาเยฟ ซึ่งยังไม่รู้ว่าผลงานจะออกหัวออกก้อน แต่ที่สำคัญ แฟนบอลเมืองทองน่าจะได้เห็นบรรดาแข้งดาวรุ่งลงมาโชว์ฝีเท้ามากขึ้นแน่นอน

ใครจะเป็นม้ามืด

ศึกไทยลีกในแต่ละฤดูกาลที่ผ่านมา มักจะมี “ม้ามืด” ที่ทำผลงานได้ดีเกินคาด อย่างเช่นซีซั่นที่แล้ว ซึ่ง สิงห์ เชียงราย ผงาดคว้าแชมป์อย่างเซอร์ไพรส์ หรือ พีที ประจวบ ซึ่งมีถ้วยแชมป์โตโยต้า ลีกคัพ ติดมือ

ส่วนซีซั่นนี้มีทีมที่น่าจับตามองหลายทีมเลยทีเดียว เช่น ราชบุรี มิตรผล เอฟซี ซึ่งได้ตัวจี๊ดอย่าง นูรูล ศรียานเก็ม และจักรพันธ์ พรใส ไปร่วมทัพแบบถาวรหลังจากทำผลงานได้ดีในช่วงยืมตัว หรือ “เขี้ยวสมุทร” สมุทรปราการ เอฟซี ซึ่งอาจไม่มีแข้งระดับซูเปอร์สตาร์ แต่พวกเขาใช้ระบบและแท็คติกเข้าสู้ จนจบอันดับที่ 6 ในซีซี่นที่แล้ว

อีกหนึ่งทีมที่มองข้ามไม่ได้คือ พีที ประจวบ ของ “โค้ชวัง” ธวัชชัย ดำรงอ่องตระกูล ซึ่งได้ วิลเลี่ยม เอ็นริเก้ ปีกแซมบ้าจากสิงห์ เชียงราย ไปเสริมเกมรุก ตลอดจน “ฉลามชล” ชลบุรี เอฟซี ของ “โค้ชเตี้ย” สะสม พบประเสริฐ ซึ่งกระชากตัว ดราแกน บอสโควิช ไปเป็นอาวุธหนักในถิ่นชลบุรี สเตเดี้ยม


น้องใหม่ไม่ธรรมดา


สำหรับ 3 ทีมที่เลื่อนชั้นขึ้นมาสู่ไทยลีก 2020 ประกอบด้วยน้องใหม่แต่หน้าเก่าอย่าง บีจี ปทุม ยูไนเต็ด, โปลิศ เทโร เอฟซี และน้องใหม่สดๆซิงๆ “ม้านิลมังกร” ระยอง เอฟซี

บีจี ปทุม ไม่น่าเป็นห่วงสำหรับการเอาตัวรอด เพราะขุมกำลังของพวกเขาสามารถก้าวขึ้นไปเป็นทีมหัวแถวได้สบายๆ ทั้งตัวหลักชุดเดิม และตัวใหม่ที่เข้ามาเสริมทั้ง “ปีโป้” สิโรจน์ ฉัตรทอง, สุมัญญา ปุริสาย, วิคเตอร์ คาร์โดโซ่ แถมยังได้ “เจ้านิว” ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ กลับมาจากเจลีกด้วย

ขณะที่ โปลิส เทโร เป็นการผสมผสานระหว่างผู้เล่นตัวเก๋าที่ผ่านเวทีไทยลีกมาแล้วทั้งสิ้น ผนึกกำลังกับดาวรุ่ง นำโดยคู่แฝดฟอร์มแรง ทิตาวีร์ และทิตาธร อักษรศรี ส่วน “ม้านิลมังกร” ระยอง เอฟซี ทะยานขึ้นมาเล่นไทยลีกเป็นครึ่งแรกในประวัติศาสตร์ ดังนั้นเรื่อง “ความกระหาย” ของพวกเขาไม่เป็นรองใครแน่นอน

ส่วนขุมกำลังของระยอง ต้องจับตามอง ติอาโก้ ชูลาปา หัวหอกเลือดแซมบ้า ซึ่งกระหน่ำไป 19 ลูก ครองดาวซัลโว ศึกเอ็ม-150 แชมเปี้ยนชิพ เมื่อฤดูกาลที่แล้ว แถมยังได้ ดิยุฟ บิรัม ดาวยิงจอมเก๋า ซึ่งผ่านสังเวียนไทยลีกมาอย่างโชกโชน เข้ามาเพิ่มความอันตรายในเกมรุกอีกด้วย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

>> นั่งต่ออีกสมัย!! "บิ๊กอ๊อด"ชนะขาดลอย เลือกตั้งนายกลูกหนังไทย

>> ใช้ VAR เต็มรูปแบบ!! สมาคมฟุตบอลฯ แถลงพร้อมเปิดฉากฟาดแข้งไทยลีก 2020

– ดูฟรี! พรีเมียร์ลีก มากกว่า 100 คู่ คลิก ID Station
– ดู พรีเมียร์ลีก online คลิกที่นี่
– สมัครชม พรีเมียร์ลีกทั้งฤดูกาล คลิกที่นี่

ยอดนิยมในตอนนี้