"เฟร็ด" ชื่อนี้อย่าเรียกพี่ว่าบราซิลเซินเจิ้น สำหรับแฟนกีฬาฟุตบอลโดยทั่วไปแล้ว หากพูดถึงนักเตะสายพันธ์แซมบ้าบราซิล คงจะนึกถึงผู้เล่นที่มีความคิดสร้างสรรค์ มีความเป็นศิลปินลูกหนัง ทักษะลูกเล่นแพรวพราว สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องหมายการค้าของนักเตะบราซิล ที่แฟนบอลคงจะนึกถึงเป็นลำดับแรก ฉะนั้นแล้วมันจึงกลายเป็นภาพจำของแฟนบอลส่วนใหญ่ที่มองว่า หากนักเตะสายพันธ์แซมบ้าคนไหน เกิดแหกคอกไม่มีทักษะฝีเท้าชั้นเชิงลูกหนังเป็นเลิศแล้ว พวกเขาก็จะถูกตั้งฉายาให้ว่าเป็นนักเตะประเภท “บราซิลเซินเจิ้น” ในทันที เหมือนกับ “เฟร็ด” นักเตะชาวบราซิลแห่งสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ย้ายเข้ามาสู่ทีมในฤดูกาล 2018-2019 ในขณะที่อยู่ภายใต้การคุมทีมของโชเซ่ มูริญโญ่ ผู้จัดการทีมชาวโปรตุเกส เขาเริ่มต้นเป็นนักเตะเยาวชนในปี 2003 กับสโมสรแอตเลติโก้ มิไนโร่ (Atlético Mineiro) ในลีกบราซิล เขาอยู่ที่สโมสรแห่งนี้จนถึงปี 2009 จึงย้ายมาค้าแข้งกับสโมสร ปอร์โต้ อเรเกร (Atlético Mineiro) และ อินเตอร์นาซิอองนัล (Internacional) ตามลำดับ ก่อนจะตัดสินใจย้ายมาค้าแข้งในยุโรปกับ ชัคตาร์ โดเน็ตส์ค (Shakhtar Donetsk) ทีมชั้นนำในลีกยูเครน ขอบคุณเครดิตรูปภาพจาก : (Photo by Victoria Haydn/Manchester City FC via Getty Images) ที่มา : https://sport.trueid.net/detail/JrwQZJkJVpq5 เฟร็ด เริ่มต้นการค้าแข้งกับแมนยูด้วยความคาดหวังจากแฟนบอล เนื่องจากย้ายมาร่วมทีมด้วยค่าตัวมหาศาลถึง 52 ล้านปอนด์ แต่อีกด้านหนึ่งก็มีแฟนบอลหลายคนตั้งคำถามกับความสามารถของเขา เมื่อ เฟร็ด ไม่ใช่นักเตะที่มีชื่อเสียงโด่งดังได้รับการยอมรับในฝีเท้ามาก่อน แถมแมนยูเองก็มีอาถรรพ์เกี่ยวกับนักเตะจากอเมริกาใต้ ที่แทบจะหาคนประสบความสำเร็จกับทีมไม่ได้เลย และนักเตะบราซิลเองก็เคยมีตัวอย่างความล้มเหลวกับทีมมาแล้ว ไม่ว่าจะ เคลแบร์สัน, สองพี่น้องฝาแฝด ราฟาเอลกับฟาบิโอ ดาซิลวา หรือ อันแดร์สัน ที่แม้จะไม่ถึงกับเรียกว่าล้มเหลวได้เต็มปาก เมื่อประสบความสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันกับทีม เขาได้แชมป์พรีเมียร์ลีกกับทีมถึง 4 สมัย และแชมป์ยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีกอีก 1 สมัย แต่ก็คงไม่สามารถจัดอยู่ในกลุ่มที่ประสบความสำเร็จได้ เพราะ แอนเดอร์สัน ก็ตกเป็นตัวสำรองเสียส่วนใหญ่ ไม่สามารถปักหลักเป็นตัวจริงให้กับทีมได้อย่างต่อเนื่อง วกกลับมาเข้าเรื่องของ เฟร็ด กันต่อ ในฤดูกาลแรกของเขากับทีม เฟร็ด ลงเล่นไปเพียง 17 นัดและทำได้ 1 ประตูกับอีก 1 แอสซิส แถมฟอร์มการเล่นในสนามยังเรียกได้ว่า “หายนะ” ชัด ๆ เมื่อเขาเล่นไม่เข้ากับเพื่อนร่วมทีมเลย จ่ายบอลสะเปะสะปะเข้าปะทะแย่งบอลก็ไม่ได้ ทั้งที่เล่นในตำแหน่งกองกลางตัวตัดเกม แม้ทีมจะมีการเปลี่ยนผู้จัดการทีมจาก มูริญโญ่ มาเป็น น้าลูกอม โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ตำนานของทีม อนาคตของ เฟร็ด ก็ยิ่งตกอยู่ในเครื่องหมายคำถาม เมื่อดูเหมือนว่า โซลชา จะชื่นชอบการใช้ผู้เล่นจากอะคาเดมี่อย่าง สก็อต แม็คโทมิเนย์ กับ อันเดรส เปเรย์ร่า (บุตรบุญธรรมของ โซลชา…อันนี้หยอก ฮ่าฮ่า) มากกว่า ขอบคุณเครดิตรูปภาพจาก : (Photo by Chris Brunskill/Fantasista/Getty Images) ที่มา : https://sport.trueid.net/detail/r6EQE2yYn2r6 แต่แล้วในฤดูกาลปัจจุบัน 2019-2020 จากที่แฟนบอลแมนยูคิดว่าทีมคงจะมีปัญหาในแดนกลางแน่ ๆ เนื่องจากอาการบาดเจ็บของ ปอล ป็อกบา แต่แล้วสถานการณ์กลับสร้างวีรบุรุษ เมื่อการจับคู่กันในแดนกลางของ สก็อต แม็คโทมิเนย์ กับ เฟร็ด มันลงตัว ทั้งคู่สอดประสานรุกรับได้อย่างเข้าใจกัน จากที่เพียงแค่จ่ายบอลสั้นง่าย ๆ ยังไม่ตรงเพื่อน เขากลับออกบอลได้อย่างมั่นใจทำหน้าที่อย่างขยันขันแข็งในเกมรับ ฤดูกาลนี้เจ้าตัวมีสถิติการผ่านบอลแม่นยำถึง 88 % สามารถเอาชนะในการเข้าปะทะได้ถึง 43 ครั้งจาก 74 ครั้ง จากการลงเล่น 33 นัดจนถึงขณะนี้ ไม่เพียงตัวเลขสถิติต่าง ๆ ที่ดีขึ้นเท่านั้น แต่หากใครได้เห็นฟอร์มการเล่นในสนามของเขา แม้จะยังไม่ถึงกับเรียกได้ว่า “ฟอร์มเทพมาจุติ” เพราะ เฟร็ด ก็ยังมีอะไรอีกหลายอย่างต้องพัฒนา แต่ก็เรียกได้ว่าเขาเป็นนักเตะที่เล่นได้สม่ำเสมอคนหนึ่ง และดูเหมือนว่าแดนกลางของแมนยูในตอนนี้จะขาดชายที่ชื่อ “เฟร็ด” ไม่ได้เสียแล้ว ขอบคุณเครดิตรูปภาพจาก : DavidRockDesign จาก Pixabay ที่มา : Link หากจะให้สรุปบทความนี้หรือหาเหตุผลมาอธิบาย ว่าทำไมนักเตะคนหนึ่งที่เมื่อปีที่แล้วแฟนบอลต่าง “ยี้” เมื่อเห็นรายชื่อเขาลงสนาม แต่เมื่อถึงฤดูกาลปัจจุบัน "เฟร็ด" กลับกลายเป็นชื่อที่กองเชียร์แมนยูอุ่นใจ (อย่างน้อยก็มากกว่า เจสซี่ ลินการ์ด กับ อันเดรส เปเรย์ร่า ฮ่าฮ่า) เมื่อเห็นรายชื่อเขาลงสนาม คงจะบอกได้ว่าเป็นเพราะทัศนคติและหัวจิตหัวใจไม่ยอมแพ้ของเขา ที่ต้องการพิสูจน์คุณค่าของตัวเองกับทีม เพราะหากเป็นนักเตะที่ไม่มีจิตใจนักสู้ ก็คงจะถอดใจยกธงขาวยอมแพ้ตกเป็นตัวสำรอง งอแงย้ายทีมเพื่อโอกาสในการลงสนาม หรือขอย้ายไปอยู่กับทีมที่ตัวเองคิดว่าสภาพแวดล้อมเหมาะกว่า แต่การที่เขาตัดสินใจลุกขึ้นสู้และคว้าโอกาสเอาไว้ได้ ผลตอบแทนไม่เพียงการได้ลงสนามอย่างต่อเนื่อง แต่ เฟร็ด ยังกลายเป็นขวัญใจของแฟนบอล และหากยังรักษาฟอร์มการเล่นพร้อมกับพัฒนาขึ้นไปเรื่อย ๆ ไม่เพียงเขาจะลบคำว่า “บราซิลเซินเจิ้น” ออกจากชีวิตตัวเอง แต่เขายังอาจจะกลายเป็นนักเตะบราซิลคนแรก ที่สามารถประสบความสำเร็จกับทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่างเต็มภาคภูมิก็ได้ ขอบคุณเครดิตรูปภาพหน้าปกจาก : https://sport.trueid.net/detail/JrwQZJkJVpq5 เขียนโดยแอดมิน เพจ ปีนรั้วดูหนัง