เกือบมีคอนเทนต์อีกแล้ว เกือบไปเล่นนัดชิงคาราบาว คัพแบบไม่เอ็นจอยเท่าไหร่แล้วสำหรับ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูลที่ถูกน้องใหม่อย่างลูตัน ทาวน์บุกมายิงประตูขึ้นนำไปก่อน แต่ครึ่งแรกครึ่งหลัง หนังคนละม้วนครับ หงส์แดงมารัวยิงประตูแซงในช่วงครึ่งหลังแบบไม่ซ้ำคน ไล่ตั้งแต่เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ก, โคดี กัคโป, หลุยส์ ดิอาซและฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ จบเกมชนะไป 4-1 รั้งตำแหน่งจ่าฝูงต่อไปก่อนที่จะลงชิงถ้วยคาราบาว คัพกับเชลซีในคืนวันอาทิตย์ที่ 25 กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ซึ่งในเกมนี้ก็มีหลากหลายเหตุการณ์ที่ให้พูดถึงมากมายและผมได้รวบรวมา 5 ประเด็นที่อยากพูดถึง จะมีประเด็นใดบ้าง ไปดูกันเลยครับโดนลูตันทำแสบอีกแล้วเป็นอีกเกมแล้วที่ทีมน้องใหม่ที่เพิ่งขึ้นมาเล่นบนพรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สร้างความปวดหัวให้กับทีมคู่แข่งที่เป็นทีมใหญ่ ก่อนหน้านี้ก็โดนมากันถ้วนหน้าทั้งแมนเชสเตอร์ ซิตี, อาร์เซนอลหรืออย่างก่อนเกมนี้พวกเขาก็ทำเอาแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดหวาดเสียวอยู่เหมือนกัน และทั้ง 3 ทีมไม่มีทีมไหนที่สามารถถล่มลูตันได้เลย ชนะด้วยสกอร์ที่เฉือนเพียงประตูหมดเลย ยิ่งอาร์เซนอลก็มาได้ประตูชัยในนาทีสุดท้ายของเกมเลยด้วยซ้ำส่วนเกมนี้ก็เป็นเกมที่สองแล้วในฤดูกาลนี้ที่ลิเวอร์พูลและลูตันได้พบกัน ในเกมแรกอย่างที่ทุกคนทราบกันดีครับว่าลิเวอร์พูลนั้นก็เกือบเอาตัวไม่รอด เกือบแพ้กลับแอนฟิลด์แล้ว เพราะโดนลูตันขึ้นนำไปก่อนและกว่าจะตีเสมอได้ก็ต้องรอช่วงท้ายเกมจากการทำประตูของหลุยส์ ดิอาซ ในเกมนี้ก็เช่นกัน ลูตันสามารถบุกมาขึ้นนำลิเวอร์พูลได้ก่อน ภาพแฟลชแบคกลับในเกมแรกที่พบกันเลย แต่สุดท้ายก็ยังเป็นอีกเกมที่ลิเวอร์พูลโชว์ความแข็งแกร่งในบ้าน แซงกลับมาชนะได้ แต่ก็ถือว่าเป็นเกมที่ระทึกใจพอสมควร เพราะเราได้เห็นฟอร์มของลูตันมาบ้างแล้ว ได้เห็นว่าพวกเขาสร้างความลำบากให้กับทีมใหญ่มากน้อยแค่ไหนนี่ถ้าพวกเขาไม่บดกับแมนยูมาก่อนในแมตช์เดย์ที่แล้ว เกมนี้ลิเวอร์พูลอาจจะลำบากกว่านี้ก็เป็นได้ซึ่งก็คงเพราะด้วยประสบการณ์และคุณภาพของนักเตะทำให้พวกเขานั้นไม่สามารถมีแต้มจากทีมใหญ่เหล่านี้ได้เลยหงส์แดงพิการครึ่งทีมก่อนเกมนี้จะเริ่มต้นขึ้นก็มีรายงานมาแล้วว่าโมฮาเหม็ด ซาลาห์และดาร์วิน นูนเญซนั้นไม่พร้อมที่จะลงในเกมนี้ แต่เยอร์เกน คล็อปป์ก็ได้บอกแล้วว่าทั้งคู่นั้นอาการไม่ได้หนักอะไร เป็นเพียงอาการล้าเฉยๆ และส่วนตัวผมเชื่อว่าทั้งคู่สามารถลงเล่นได้แต่ด้วยในวันอาทิตย์ที่ 25 กุมภาพันธ์นี้จะมีเกมนัดชิงคาราบาว คัพที่ต้องเจอกับเชลซี คล็อปป์จึงตัดสินใจที่จะพักทั้งคู่ไปเลย ป้องกันอาการบาดเจ็บที่อาจจะเกิดขึ้นได้ถึงแม้ว่าในเกมนี้จะต้องมาลงมาสำรองก็ตามผลจากการที่ทั้งซาลาห์และนูนเญซไม่ได้ลงเล่นในเกมนี้ ทำให้ทั้งตัวจริงและตัวสำรองที่ใส่มาในวันนี้นั้นแทบจะเป็นทีมสำรองหรือทีมชุดเด็กเลยก็ว่าได้ ไล่ตั้งแต่ผู้รักษาประตูยันกองหน้า ควีวีน เคลเลเฮอร์, คอนอร์ แบรดลีย์, โจ โกเมซ, ไรอัน กราเฟนแบร์ก, ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์และโคดี กัคโป ผู้เล่นเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นตัวหมุนเวียนของทีมทั้งนั้นถึงแม้ว่าในช่วงหลังบางคนจะได้ลงตัวจริงแบบสม่ำเสมอก็ตาม เช่น แบรดลีย์และโกเมซ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ยังสามารถช่วยให้ทีมชนะมาได้ นอกจากนี้ในรายชื่อสำรองก็มีตัวเยาวชนมากกว่าตัวซีเนียร์ของทีมเสียอีก เริ่มจากบ๊อบบี คลาร์ก, เคด กอร์ดอน, เจมส์ แม็คคอนเนลล์ และ 2 ดาวรุ่งที่ยังไม่เคยลงสนามให้กับทีมเลยอย่างเจย์เดน แดนน์สและเทรย์ เอ็นโยนี ซึ่งสุดท้ายแล้วแดนน์สก็ได้ลงประเดิมสนามให้กับทีมเป็นที่เรียบร้อย แถมมีส่วนกับประตูที่ 4 ของทีมด้วย เพราะเขาเป็นคนจ่ายบอลทะลุช่องให้กับกัคโปหลุดเข้าไปก่อนที่จะโดนสกัดและบอลมาเข้าทางของเอลเลียตต์ยิงเข้าไป ส่วนเอ็นโยนีก็เป็นอีกครั้งแล้วที่เขามีชื่อในตัวสำรอง เพียงแต่ยังไม่ได้ลงเล่นให้กับทีมเท่านั้นก็ถือว่าในเรื่องร้ายๆ ก็ยังมีเรื่องดีๆ อยู่สำหรับลิเวอร์พูล เพราะถึงแม้ผู้เล่นตัวหลักจะมีอาการบาดเจ็บ ไม่สามารถช่วยทีมได้ แต่เหล่าตัวสำรองก็สามารถทดแทนการหายไปของตัวหลักได้ แถมยังมีดาวรุ่งที่ขึ้นมาช่วยทีมในช่วงเวลานี้อีกด้วยแม็คก้า, เอ็นโดะท็อปฟอร์ม (อีกแล้ว)เป็นอีกเกมแล้วที่ 2 กองกลางคนใหม่ของทีมที่ย้ายมาในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา โชว์ฟอร์มได้อย่างน่าประทับใจ สำหรับอเล็กซิส แม็คอัลลิสเตอร์และวาตารุ เอ็นโดะ โดยเฉพาะแม็คก้าที่ในเกมนี้ทำ 2 แอสซิสต์ที่ทำให้ทีมกลับมาแซงนำลูตันได้สำเร็จซึ่งก็เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ย้ายมาเล่นในพรีเมียร์ลีกเลยที่เขาทำสองแอสซิสต์ได้ในเกมเดียว ทำให้ 2 เกมล่าสุด แม็คก้ามีส่วนกับประตูไปแล้ว 3 ครั้ง โดยเกมที่แล้วก็ยิงใส่เบรนท์ฟอร์ดและเกมนี้ก็มาทำอีก 2 แอสซิสต์อีก ยิ่งเล่นยิ่งฟอร์มดีเรื่อยๆ สมราคากองกลางแชมป์โลก คุ้มค่ามากๆ กับค่าตัวเพียง 35 ล้านปอนด์ และนี่ก็คือสถิติของแม็คก้าในเกมที่พบกับลูตันครับสัมผัสบอล 65 ครั้งผ่านบอล 44 ครั้ง (แม่นยำ 86.4%)ชนะการแท็คเกิล 2 ครั้งดักบอล 2 ครั้ง (มากที่สุดในทีม)เลี้ยงบอลสำเร็จ 2 ครั้งคีย์พาส 4 ครั้ง2 แอสซิสต์พูดถึงแม็คก้าไปแล้ว จะไม่พูดถึงคู่หูของเขาในแดนกลางก็ไม่ได้ สำหรับวาตารุ เอ็นโดะ เพราะก็เป็นหนึ่งในดีลที่คุ้มมากๆ สำหรับลิเวอร์พูลในช่วงตลาดหน้าร้อน ถึงแม้ว่าอายุจะล่วงเลยเข้าสู่เลข 3 แล้วแต่ด้วยค่าตัวที่จ่ายไปเพียง 6 ล้านปอนด์และเป็นดีลที่ไม่ได้คาดหวังอะไร แต่สิ่งที่เอ็นโดะได้แสดงให้เห็น มันทำให้รู้เลยว่าโชคดีมากๆ ที่ลิเวอร์พูลได้มาด้วยราคาเพียงแค่นี้ แต่น่าเสียดายที่เจอกันช้าไป ในเกมนี้ก็เป็นอีกครั้งที่เอ็นโดะไม่ได้มีส่วนแค่เกมรับแต่เขายังช่วยในเรื่องของเกมรุกอีกด้วย พอตัดบอลได้เสร็จแล้วหรือได้รับบอลจากแดนหลัง เขาก็จะส่งบอลขึ้นหน้าต่อทันที ทำให้จังหวะของทีมไม่ได้เสียและสามารถสู้กับรอสส์ บาร์คลีย์ อดีตกองกลางทีมชาติอังกฤษได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย และนี่คือสถิติของเอ็นโดะที่เจอกับลูตันครับสัมผัสบอล 66 ครั้งผ่านบอล 53 ครั้ง (แม่นยำ 94.3%)ชนะการแท็คเกิล 3 ครั้งบล็อคลูกยิง 1 ครั้งเลี้ยงบอลสำเร็จ 1 ครั้งคีย์พาส 3 ครั้งดิอาซ (เกือบ) แย่ถ้าฟุตบอลเตะกันเพียงขึ้นเดียวและให้คะแนนได้เลย ผมจะให้ 4 เต็ม 10 เลยสำหรับหลุยส์ ดิอาซ เพราะในเกมนี้เป็นเกมที่ดิอาซสอบไม่ผ่านเลยในครึ่งแรก แถมมีจังหวะที่พลาดการทำประตูไปแบบไม่น่าพลาดถึง 2 ครั้งซึ่ง 2 ครั้งนั้นเกิดขึ้นก่อนที่ลูตันจะยิงประตูได้เสียอีก ไม่แน่เหมือนกันว่าถ้าหากดิอาซยิงเข้าไปในทั้งสองจังหวะนั้น ในเกมนี้ลิเวอร์พูลก็อาจจะเก็บคลีนชีทเลยก็ได้เกมครึ่งแรกหลุยส์ ดิอาซมีโอกาสจบสกอร์ถึง 6 ครั้งและได้สัมผัสบอลในกรอบเขตโทษของคู่แข่งซึ่งก็คือลูตันถึง 10 ครั้ง ซึ่งทั้งสองสถิตินี้ดิอาซคนเดียวมากกว่าผู้เล่นลูตันรวมกันทั้งทีมเสียอีก โดยนักเตะลูตันทำรวมกันยังทำได้แค่ 5 และ 9 ครั้ง (ตามลำดับ) ครึ่งแรกผมบ่นดิอาซนับสิบครั้งได้ ทำอะไรก็ไม่ประจำใจเลย จังหวะที่ควรจ่ายให้ตัวนี้ก็ไปจ่ายให้อีกตัว จังหวะควรจ่ายก็เลี้ยงต่อหรือยิงแบบไม่ได้ลุ้นไปเลยยังดีที่ในครึ่งหลังเขาสามารถมายิงประตูนำ 3-1 ให้กับทีมได้ ไม่เช่นนั้นเกมนี้จะเป็นอีกเกมที่แย่ของดิอาซเลยทีเดียว เพราะจบเกมเขามีโอกาสยิงทั้งหมด 10 ครั้งแต่เข้ากรอบแค่ 3 ครั้ง คิดเป็น 30% เท่านั้น เลี้ยงบอลสำเร็จก็เพียง 2 ครั้งเท่ากับโกเมซและแม็คก้า ถ้าหากสมมุติว่าเกมนี้ลิเวอร์พูลไม่ชนะ ดิอาซมีหวังโดนถล่มยับแน่ๆครึ่งแรกครึ่งหลัง หนังคนละม้วน"ครึ่งแรกครึ่งหลัง หนังคนละม้วน" วลีนี้สามารถใช้กับลิเวอร์พูลในเกมนี้ได้เลย เพราะมันเป็นแบบนั้นจริงๆ ในครึ่งแรกลิเวอร์พูลเล่นกันเหมือนไม่ได้ซ้อมมาด้วยกัน โดยเฉพาะ 3 ตัวบนทั้งดิอาซ, กัคโปและเอลเลียตต์ เล่นกันแบบไม่เข้าขากันเลยไม่แต่น้อย คนนึงวิ่งทำทางให้ส่งแล้ว แต่อีกคนไม่ส่ง ยิงเองเลยหรือก็ไปส่งให้อีกคน มันดูไม่ซิงค์กันเลยแม้แต่น้อย แต่ถ้ามองด้วยความเป็นกลางก็คงเป็นเพราะทั้ง 3 คนนั้นแทบจะไม่ได้เล่นด้วยกันในบทบาทและตำแหน่งนี้เลยก็ไม่แปลกถ้าจะไม่เข้าขากันเท่าไหร่เหมือนกับว่าโดนคล็อปป์ว๊ากใส่หน้าในห้องแต่งตัวตอนพักครึ่ง เพราะพอกลับมาในครึ่งหลังอย่างกะคนละทีม การเข้าทำอะไรมันดูลงตัว ไหลลื่นไปหมดแม้กระทั่งหลุยส์ ดิอาซก็ตามที่ในครึ่งหลังดูดีขึ้นมา ดีกว่าในครึ่งแรกพอสมควร ที่เห็นได้ชัดๆ ก็คือเปลี่ยนการขึ้นเกมจากที่ในครึ่งแรกขึ้นเกมฝั่งซ้ายที่มีโกเมซและดิอาซเล่นร่วมกัน มาเป็นขึ้นเกมฝั่งขวาที่มีแบรดลีย์และเอลเลียตต์ จนสุดท้ายก็มาได้ประตูจากเกมรุกทางฝั่งขวา ทั้งประตูตีเสมอและประตูขึ้นนำ 2-1 ล้วนแล้วแต่มาจากฝั่งขวาทั้งสิ้น แสดงให้เห็นว่าการขึ้นเกมทางฝั่งซ้ายในครึ่งแรกที่มีดิอาซนั้นมีปัญหาจริงๆถือว่าเป็นอีกครั้งซึ่งก็เป็นครั้งแล้วครั้งเล่าที่คล็อปป์และทีมงานช่วยกันแก้เกมและสามารถพาทีมกลับมาชนะได้อีกครั้งในฤดูกาลนี้ แต่ถ้าจะให้ดีก็ขอชนะแบบไม่ต้องคัมแบ็คด้วยก็ดี แฟนบอลจะหัวใจวายเอา ขอชนะแบบสบายๆ ก็ดีสถิติที่น่าสนใจหลังเกม2 แอสซิสต์ในเกมนี้เป็นครั้งแรกที่อเล็กซิส แม็คอัลลิสเตอร์ทำได้ 2 แอสซิสต์ในเกมเดียวซึ่งเป็นครั้งแรกในการเล่นพรีเมียร์ลีกลิเวอร์พูลเป็นทีมแรกใน 5 ลีกใหญ่ของยุโรปที่มีนักเตะสามารถทำประตูได้แตะหลัก 10 ประตูถึง 5 คน (รวมทุกรายการ)แอสซิสต์ในเกมนี้ของแอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ทำให้เขาขึ้นมาทำสถิติเป็นกองหลังที่ทำแอสซิสต์ได้มากที่สุดในพรีเมียร์ลีกร่วมกับเทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ที่ 58 แอสซิสต์ลิเวอร์พูลสามารถเก็บได้ถึง 22 คะแนนในเกมที่พวกเขาโดนคู่แข่งขึ้นนำไปก่อนในฤดูกาลนี้ซึ่งมากกว่าทุกทีมในพรีเมียร์ลีก และเทียบเท่ากับที่พวกเขาเคยทำไว้ในฤดูกาล 2008/2009 (นับเฉพาะพรีเมียร์ลีก 1 ฤดูกาล)ลิเวอร์พูลใช้เวลาเพียง 125 วินาทีในการยิงแซงนำลูตัน โดยจากประตูตีเสมอของเวอร์จิล ฟาน ไดจ์กมาถึงประตูของโคดี กัคโปนั้นห่างกันเพียง 125 วินาทีนับตั้งแต่ฤดูกาล 2018/2019 ฟาน ไดจ์กทำประตูในพรีเมียร์ลีกไปแล้ว 18 ประตู เยอะกว่ากองหลังคนอื่นอย่างน้อย 4 ประตู และ 12 จาก 18 ประตูนั้นเกิดขึ้นที่แอนฟิลด์ ทำให้ตอนนี้ฟาน ไดจ์กกลายเป็นกองหลังของลิเวอร์พูลที่ทำประตูในพรีเมียร์ลีกที่แอนฟิลด์ได้มากที่สุดแซงหน้าซามี ฮูเปียที่เคยทำไว้ 11 ประตูฮาร์วีย์ เอลเลียตต์กลายเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดนับตั้งแต่ที่เก็บสถิติมา (ฤดูกาล 2008/2009) ที่สามารถทำประตู, มีโอกาสยิงมากกว่า 5 ครั้ง (5 ครั้ง), สร้างสรรค์โอกาสมากกว่า 5 ครั้ง (7 ครั้ง), สัมผัสบอลในกรอบเขตโทษคู่แข่งมากกว่า 10 ครั้ง (17 ครั้ง) และผ่านบอลเข้าสู่พื้นที่สุดท้ายได้มากกว่า 25 ครั้ง (27 ครั้ง) โดยนับเฉพาะเกมพรีเมียร์ลีกนับเป็นเวลา 16 เกมในพรีเมียร์ลีกแล้วที่ลิเวอร์พูลเอาชนะคู่แข่งได้ในเกมที่เวอร์จิล ฟาน ไดจ์กทำประตูให้กับทีมได้ ทำให้กลายเป็นนักเตะที่ครองสถิติที่ยิงประตูแล้วทีมชนะด้วยจำนวนแมตช์เยอะที่สุดพร้อมกับ Win Rate 100%บทความที่เกี่ยวข้องลิเวอร์พูล, แมนซิตี้หรืออาร์เซนอล!!!? วิเคราะห์ใครจะเข้าวินแชมป์พรีเมียร์ลีกเอลเลียตต์เปลี่ยนเกม, เทรนท์ไม่ฟิต!!! 5 ประเด็นหลังเกมลิเวอร์พูล พบ เบิร์นลีย์โคตรพีค 10 อันดับกองหน้าที่คมที่สุด ในพรีเมียร์ลีกของ หงส์แดง ลิเวอร์พูลพ่อหมี VVD พลาดคู่, ปืนดุดัน!!! 5 ประเด็นหลังเกมปืนใหญ่ยิงหงส์ไส้แตกหนูนคมเสา แบรดลีย์เปิดซิง! 5 ประเด็นหลังเกมพรีเมียร์ลีกอังกฤษ หงส์จิกสิงห์ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจากWhoscored, OptaJoe และ SquawkaOfficial Facebook, Instagram และ X ของลิเวอร์พูล (@liverpoolfc) และพรีเมียร์ลีก (@premierleague)ภาพปก 1, ภาพปก 2, ภาพปก 3, ภาพประกอบ 1, ภาพประกอบ 2, ภาพประกอบ 3, ภาพประกอบ 4, ภาพประกอบ 5 และภาพประกอบ 6 เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !