หงส์แดงลิเวอร์พูล เก็บสามแต้มใหญ่สำคัญในบ้านได้ถมยังเป็นทีมแรกในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ที่ไม่เสียประตูให้กับ แมนซิตี้ ทั้งที่หากมองสถิติก่อนเกมใคร ๆ ก็ว่ามีเละแน่นอน แต่เมื่อเริ่มเกมด้วยเทคติคของ เจอร์เกน คล็อปป์ ที่วางมาให้กับผู้เล่นในเกมนี้ทำเอาเกมรุกที่เคยดุดันนั้นหายไปโดยสิ้นเชิง ว่าแล้วก็ไปส่องเทคติกรวมถึงสถิติที่น่าสนใจหลังเกมนี้กันหน่อยดีกว่า ว่ามีอะไรเก็บตกให้ได้ติดตามกันบ้าง ก่อนที่จะเจอกับ เวสต์แฮมยูไนเต็ด4 - 3 – 3 ที่ไม่ใช่ 4 – 3 – 3 ย้อนกลับไปสองสามเกมก่อนหน้านี้ เจอร์เกน คล็อปป์ เคยใช้แผนการเล่น 4 – 2 – 3 – 1 เอาชนะ เรนเจอร์ ใน UCL มาได้ แต่นั่นก็ไม่ได้ตอบโจทย์ในเกมลีก เห็นได้ชัดกับเกมที่เจอกับอาร์เซน่อล ที่ใช้แผนการเล่นแบบนี้เข้าสู้ในแดนกลาง อีกทั้งไม่ให้วิงแบ็คสองข้างเติมเกมขึ้นสูง เพื่อป้องกันการโดนสวนกลับซึ่งเป็นแผลที่ทักจะโดนคู่แข่งเจาะเข้าทำตลอด แต่หลังจากเกมนั้นก็ปรับมาเป็น 4 – 4 – 2 ในเกมที่ถล่ม เรนเจอร์ 7 – 1 โดยใช้ห้าคู่ที่ฟอร์มกำลังฮอตอย่าง โรแบร์โต้ เฟอร์มิโน่ และ ดาร์วิน นูเญช https://twitter.com/i/status/1581755612404150273 ก่อนเกมที่จะเจอกับ แมนซิตี้ หลานคนคาดการณ์ว่าน่าจะกลับไปใช้ 4 – 2 – 3 – 1 เพื่อเน้นตรงกลางเป็นหลัก แต่กลับผิดคาดเพราะกลับมาเล่น 4 – 3 – 3 ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือแผงหลังฝั่งขวาที่เลือกใช้งาน เจมส์ มิลเนอร์ ที่ไม่ได้มีความเร็ว แต่มีความเก๋าในเรื่องเกมรับ และก็ไม่ต้องขึ้นเกมรุก แต่จะใช้ทางด้านของ ฮาร์วี่ เอเลียต ที่เป็นตัวเติมเกมและวิ่งมาซ้อนเกมรับอีกทาง ด้วยความฟิตของกลังหนุ่มทำให้แดนกลางของแมนซิตี้ก็ไม่สามารถขึ้นเกมได้ อีกทั้งการไม่ใช้วิงแบ็คสองข้างเติมเกม เน้นเรื่องเกมรับและรับลุก ทำให้ไม่มีพื้นที่สำหรับ เออริ่ง ฮาร์แลนด์ ในการเข้าทำเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา แผน 4 – 3 – 3 ที่เคยใช้ วิงแบ็คช่วยเติมเกมรุกของลิเวอร์พูล ตอนนี้เป็น 4 – 3- 3 ที่เน้นรับมากกว่าที่จะเน้นรุกไปซะแล้วแนวรุกใช้ความเก๋ามากกว่าโยนความกดดัน เปิดรายชื่อ11ตัวจริงก่อนเกมทำเอาแฟนบอลหลายคนสงสัยว่า ดาร์วิน นูเญช หายไปไหน เพราะสามแนวรุกประกอบไปด้วย โมฮาเหม็ด ซาร์ลา , โรแบร์โต้ เฟอร์มิโน่ และ ดิเอโก้ โชวต้า แต่พอมานั่งพินิจพิเคราะห์ดูแล้วก็พอจะถึงบางอ๋อในทันใดหลังจากที่จบเกมและได้เห็นลูกจังหวะสวนกลับที่ผู้เล่นลิเวอร์พูลหลุดไปถึง 3 คน และมีโอกาสที่จะเปลี่ยนเป็นสกอร์ลูกที่สองสูงมาก แต่ ดาร์วิน นูเญช กลับเลือกลากไปยิงและยิงได้น่าผิดหวังมาก ๆ เกมใหญ่ ๆ แบบนี้สิ่งหนึ่งที่นักเตะจะต้องแบกรับความความกดดัน ความนิ่ง ในจังหวะสำคัญ ๆ ยิงจังหวะดังกล่าวข้างต้นก็ยิ่งทำให้เห็นแล้วว่า ดาร์วิน นูเญช ยังถือว่าสอบไม่ผ่านอย่างมากในสถานการณ์ที่จะต้องรับแรงกดดันแบบนั้น ฉะนั้นการเลือกนักเตะที่มากประสบการณ์ในเกมใหญ่ ๆ แบบนี้ ซึ่งในจังหวะเดียวของเกมอาจจะพลิกกระแสของเกมได้เหมือนกัน และเมื่อเกมจบลงคนท่าจะได้ทบทวนตัวเองมากที่สุดก็คงเป็นตัวเขาเองที่ตัดสินใจพลาดอย่างมหันต์ในจังหวะนั้นรับลึก-รับชิด-ตัดเกมเมื่อเสี่ยง ย้อนกลับไปดูเกมของแมนซิตี้ก่อนหน้าทุกทีมที่เล่นกับเรือใบสีฟ้าจะเป็นประเภทแนวรับดันสูงนั่นเป็นการเปิดพื้นที่ให้กับ เออร์ริ่ง ฮาร์แลนด์ ได้วิ่งโฉบทำประตู หากใครที่ได้ติดตามฟอร์มหรือวิธีเล่นของศูนย์หน้ารายนี้ตั้งแต่อยู่กับ โบรุสเซียร์ ดอร์ทมุน นี่คือวิธีการใช้งานของศูนย์หน้ารายนี้ เพราะเจ้าตัวนั้นมีความเร็ว ความแข็งแกร่ง ทำให้ได้เปรียบกองหลังในเรื่องของการวิ่งออกตัวและจังหวะปะทะ แน่นอนว่าเกมนี้นายใหญ่หงส์แดงน่าจะรู้พิษสงในเรื่องนี้เป็นอย่างดี จึงมั่งให้ทั้ง เจมส์ มิลเนอร์ และ โจ โกมซ คอยซ้อนและประกอบแบบตามติดสองชั้น รวมถึงแนวรับที่ไม่ต้องดันสูง ปล่อยให้แผงหลัง แมนซิตี้ดันขึ้นมาอย่างที่เคยทำ แล้วอาศัยจังวะวางบอลยาวและความเร็วของ โมฮาเหม็ด ซาร์ลา ในการโจมตีซึ่งมันก็ได้ผล อีกทั้งการตัดฟาวล์ตั้งแต่ริมเส้นที่เลยครึ่งสนามมา ไม่ใช่แค่ทำลายังหวะเกมรุก แต่เป็นการป้องกันลูกบอมเข้าใส่ ซึ่งเป็นหนึ่งในอาวุธของเรือใบที่ใช้โจมตีคู่แข่ง โดยเหล่าขุนพลหงส์แดงก็ทำได้แบบเนียนกริ๊บในทุกจังหวะซะด้วยเก็บตกสถิติที่น่าสนใจของลิเวอร์พูล แม้ว่าเกมนี้จะจบลงไปแล้ว แต่ก็มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยกับสถิติของเหล่าขุนพลหงส์แดงที่สาวกทั้งหลายควรอย่างยิ่งที่จะทราบไว้ จะได้เอาไปคุยกันได้แบบออกรสออกชาติคอมากขึ้นโมฮาเหม็ด ซาร์ลา ยิงใส่ แมนซิตี้ ไปแล้ว 9 ประตูโมฮาเหม็ด ซาร์ลา เป็นนีกเตะคนที่สองที่ยิงแมนซิตี้ ที่แอนฟิลด์ 4 เกมติดต่อกัน โดยคนแรกที่ทำได้คือ จิมมี่ ฟลอยด์ ฮัสเซลเบงค์โมฮาเหม็ด ซาร์ลา ยิงให้กับลิเวอร์พูลไปแล้ว 121 ประตู แซงหน้า สตีเวน เจอร์ราร์ด ที่ทำไว้ที่ 120 ประตูโมฮาเหม็ด ซาร์ลา กลายเป็นนักเตะคนที่ 2 ในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกที่ยิงประตูด้วยเท้าซ้ายได้มากกว่า 100 ประตู ก่อนหน้านี้มีเพียง ฟาวเลอร์ ที่ได้มากกว่าในลีกสูงสุดของอังกฤษตั้งแต่ปี 1992อลิสสัน เบคเกอร์ ทำแอสซิสต์ได้ 3 จาก 4 ฤดูกาลหลังสุดในพรีเมียร์ลีก ทำได้ 1 ประตูเวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ลงเล่น 69 นัดในพรีเมียร์ลีกที่แอนฟิลด์ให้กับลิเวอร์พูล ยังไม่เคยแพ้และนั่นคือเทคติก รวมถึงสถิติที่น่าสนใจหลังเกมระหว่าง ลิเวอร์ และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าความมั่นใจของเหล่าขุนพลหงส์แดงตอนนี้เต็มเปี่ยมพร้อมจะกลับมาทวงความสำเร็จในเกมข้างหน้าอย่างแน่นอน โดยลิเวอร์พูลมีเกมที่จะต้องเจอกับเวสต์แฮมยูไนเต็ด ในคืนวันพุธนี้ เวลา 01.30 น. สาวกหงส์แดงห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงข่าวที่เกี่ยวข้อง ลิเวอร์พูล vs แมนซิตี้ วิเคราะห์บอล ศึกสองโคตรทีมที่มีความแค้นเป็นเดิมพันส่อง 5 ปัจจัยสำคัญที่ ลิเวอร์พูล อาจเหนือกว่า แมนซิตี้ บิ๊กแมตซ์พรีเมียร์ลีกลิเวอร์พูล ปัญหาที่ถาโถม อิ่มตัว ค่าเหนื่อย เจ็บระนาว ความกดดันจัดอันดับ 5 นักเตะ ลิเวอร์พูล ฟอร์มห่วยเกม แดงเดือด นัดแรกในพรีเมียร์ลีก 2022/23วิเคราะห์ปัญหา ลิเวอร์พูล เหตุใดถึงผลงานแย่ พร้อมหนทางแก้ไขกลับคืนสู่ความสำเร็จเครดิตภาพปก twitter.com/LFC :: ภาพปกเครดิตภาพปก facebook.com/TrueIDSports :: ภาพที่ 1 , twitter.com/LFC :: ภาพที่3 , ภาพที่ 4 , ภาพที่ 5 , ภาพที่ 6 , ภาพที่ 7Communityคอบอล ถกประเด็นร้อนฟุตบอลทุกลีก ใครตัวเต็ง ใครฟอร์มตก ต้องเคลียร์