TRUE OPINIONS : สมรภูมิ “เคียฟ” สิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ (อาจจะ) จากไป ... by "Mr. BOSTON"
Mr. BOSTON : อดีต… นับเป็นเวลายาวนานถึงครึ่งรอบ หรือ 6 ปี ที่ เชลซี เข้าชิงศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และเอาชนะจุดโทษเหนือ บาเยิร์น มิวนิค ในปี 2012 ที่สนาม อลิอันซ์ อารีน่า บ้านของผู้พ่ายแพ้ในนครมิวนิค หลังจากนั้น สโมสรจากอังกฤษก็ไม่เคยปรากฏชื่อในรอบชิงชนะเลิศอีกเลย จนกระทั้งการพ่ายแพ้ต่อ อาแอส โรม่า แบบเอาตัวรอดได้ “หวุดหวิด” ในคืนวันพุธที่ผ่านมา (2 พฤษภาคม) ทำให้ทีมจากอังกฤษปรากฏในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลสโมสรยุโรปถ้วยใหญ่อีกครั้ง
และเป็นเวลายาวนานถึง 4 ปีติดต่กัน ที่ถ้วย “บิ๊กเอียร์ส” ถูกนำไปเก็บไว้ยังดินแดนกระทิงดุ หลังจากจบเกมรอบชิงชนะเลิศ, สามใน 4 ครั้ง ถ้วยรางวัลใบนี้ ตกไปอยู่ในเมืองหลวงอย่าง มาดริด และอีกครั้งต้องไปอยู่ในแคว้นกาตาลัน ที่สโมสรบาร์เซโลน่า
โดยปีก่อน เรอัล มาดริด เพิ่งทำสถิติเป็นสโมสรแรก นับตั้งแต่ปี 1990 ที่ป้องกันแชมป์รายการนี้ได้สำเร็จ ต่อจาก เอซี มิลาน และในปีนี้พวกเขา มีโอกาสในการต่อยอดประวัติศาสตร์ออกไป เพราะถ้าหากพวกเขาปราบ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์รายการนี้ได้ จะทำให้พวกเขากลายเป็นสโมสรแรกนับตั้งแต่ บาเยิร์น มิวนิค ปี 1976 ที่คว้าแชมป์ฟุตบอลสโมสรยุโรปได้ 3 สมัยติดอีกด้วย
ลำพังแค่เกริ่นมา 2 ย่อหน้า เชื่อว่าหลายๆ คน ก็คงพอจะเห็นภาพความสำคัญของสมรภูมิเคียฟ ในรอบยชิงชนะเลิศ ระหว่าง “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล และ “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด แล้วว่าน่าสนใจอย่างไร
แต่เรื่องราวของรอบชิงที่เคียฟในปีนี้ มีมากกว่านั้น
…
….
…..
เรอัล มาดริด ถือเป็นราชาของฟุตบอลสโมสรยุโรปตัวจริง พวกเขาครองความยิ่งใหญ่มาตั้งแต่ฟุตบอลรายการนี้ใช้ชื่อเดิมว่า ยูโรเปี้ยน คัพ จนเปลี่ยนชื่อเป็น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก พวกเขาก็ยังอยู่ในจุดสูงสุดของถ้วยนี้อยู่ ด้วยสถิติ เข้าชิง 15 ชนะ 12 แพ้ 3
แต่ทว่า 1 ใน 3 ตราบาปของพลพรรคชุดขาว มีชื่อของคู่ชิงฯ ในปีนี้อย่าง ลิเวอร์พูล อยู่ด้วย
ส่วน ลิเวอร์พูล ถือเป็นทีมจากอังกฤษที่ทำผลงานในรายการนี้ได้ดีที่สุด พวกเขาคว้าแชมป์ไป 5 จากการเข้าชิงชนะเลิศ 7 ครั้ง และการพ่ายแพ้ในรอบชิงทั้ง 2 ครั้งของพวกเขาเป็นพ่ายต่อยอดทีมจากอิตาลี อย่าง ยูเวนตุส(1985) และ เอซี มิลาน(2007) นอกจากนี้พวกเขายังเคยปราบเรอัล มาแล้วในรอบนี้ในปี 1981 ด้วย
…
….
…..
ปัจจุบัน
เรอัล มาดริด ผ่านเข้ามาชิงชนะเลิศในปีนี้ ด้วยความตะกุกตะกัก พวกเขาต้องแย่งชิงแชมป์กลุ่มเอชกับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ และเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในสงครามรอบแบ่งกลุ่ม ทำให้ต้องเข้ารอบมาในฐานะรองแชมป์กลุ่มเท่านั้น แต่หลังจากนั้นพวกเขาติดเครื่องปราบ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ด้วยสกอร์รวม 5-2 ก่อนจะผ่าน ยูเวนตุส ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ด้วยสกอร์ 4-3 และปิดบัญชีใส่ บาเยิร์น มิวนิค ด้วยสกอร์เดียวกัน ทำสถิติในฤดูกาลนี้ ด้วยการลงเล่น 12 นัด ชนะ 8 เสมอ 2 และแพ้ 2 ยิงได้ 30 เสีย 15 ประตู
ทางฝั่ง ลิเวอร์พูล เหมือนจะดูดีกว่า หลังผ่านรอบแบ่งกลุ่มจากการเป็นแชมป์กลุ่มอีแบบไร้พ่าย ก่อนถล่ม เอฟซี ปอร์โต้ สกอร์รวม 5-0, พลิกล็อคล้ม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยสกอร์ 5-1 และ เฉือน โรม่า หวุดหวิดด้วยสกอร์รวม 7-6 ทำสถิติในรายการนี้ทั้งฤดูกาลด้วยการลงเล่น 12 นัด ชนะ 7 เสมอ 4 แพ้นัดเดียว (ต่อโรม่า ในรอบรองฯ) ยิงได้มากที่สุดถึง 40 ประตู และเสียไป 13 ประตู
นอกจากสถิติทั้งหลายทั้งปวงที่เล่ากันไปด้านบน ประเด็นใหญ่ที่สื่อพูดกันให้แซ่ด เป็นเรื่องของการพบกันของคลื่นลูกเก่าอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ในวัย 33 ปี ดีกรีผู้นำดาวซัลโวในรายการนี้ที่ 15 ประตู กับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ในวัย 25 ปี ที่โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมในปีนี้อีกด้วย
…
….
…..
อนาคต
แน่นอนว่าผลการแข่งขันเป็นที่คาดเดาไม่ได้ และเกมนี้เหมือนเป็นการเจอกันของสองมหาอำนาจแห่งฟุตบอลสโมสรยุโรปอย่างแท้จริง เพราะ เรอัล มาดริด คว้าแชมป์มากที่สุดอันดับ 1 ได้ 12 สมัย ส่วน ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์มากที่สุดอันดับ 3* 5 สมัย และเป็น 2 สโมสร ที่มักจะทำผลงานในฟุตบอลรายการนี้ได้ดีเสมอ ไม่ว่าผลการแข่งขันในลีกของตัวเองจะเป็นอย่างไรก็ตาม
ที่ผ่านมา ทั้งคู่เจอกันมา 5 ครั้ง และลิเวอร์พูล ทำได้ดีกว่า เล็กน้อย ชนะไปสาม และเรอัล มาดริด ชนะไป 2 ครั้ง แต่ แต่ทั้ง 5 เกม เป็นการแพ้-ชนะ กันด้วยสกอร์ 0 ทั้งสิ้น ซึ่งไม่น่าเชื่อ และเมื่อไปเช็คอัตราต่อรองกับบริษัทรับพนันถูกกฎหมายในอังกฤษ ต่างลงความเห็นตรงกันว่า “โลส บลังโกส” เหนือกว่าอยู่ไม่น้อยแม้จะไม่ถึงเท่าตัวก็ตาม
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าชัยชนะจะตกอยู่กับใคร แต่กูรูต่างประเทศเชื่อว่า เกมนี้น่าจะสนุกและเต็มไปด้วยแท็กติก มากกว่าที่ทั้งคู่จะเปิดหน้าแลกกัน เพราะต่างฝ่าย ต่างเล่นเกมสวนกลับได้ดี จึงไม่อยากมีใครเสียประตูก่อนเป็นแน่ และน่าจะเป็นเกมที่มีสกอร์รวมไม่สูงอย่างที่แฟนบอลคาดคิด ซึ่งสอดคล้องกับทางอัตราต่อรองของทางบริษัทรับพนันถูกกฎหมายที่ออกมา
สุดท้ายแล้ว รักใครชอบใครก็เชียร์กัน หรือถ้าไม่รัก ไม่ชอบก็แช่งมัน และเชียร์อีกฝ่ายกันไป…
อ่อ ลืมไป มีข่าวลือด้วยนะครับว่า มาดริด จะออกปากทาบทามขอซื้อ โม ซาลาห์ จาก ลิเวอร์พูลในเกมนี้ ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไรก็ตาม ส่วนจะเจรจาจริงไหม ? ผลการเจรจาจะเป็นอย่างไร ? คงต้องตามกันต่อไปยาวๆ เลยครับ
* ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ฟุตบอลสโมสรยุโรปได้ 5 สมัย เป็นอันดับ 3 ร่วมกับ บาเยิร์น มิวนิค และบาร์เซโลน่า โดยเป็นรอง เอซี มิลาน ที่คว้าแชมป์ได้ 7 สมัย ซึ่งรั้งอันดับที่ 2 อยู่ในปัจจุบัน
…
….
“Mr. BOSTON”
ช่องทางการรับชมการถ่ายทอดสดทาง TrueID
ดูสดผ่านแอปพลิเคชั่น ทรูไอดี คลิก >>http://bit.ly/2HtYS2N
ดูสดผ่านเว็บไซต์ ทรูไอดี คลิก >>http://bit.ly/TrueIDSportsLive
ติดตามข่าวสารกีฬาได้ที่ TrueID App หรือร่วมพูดคุยกันผ่านทาง Line @TrueID ร่วมไปถึงแฟนเพจ TrueID Sports