ถ้าหากถามแฟนฟุตบอลว่าสนามฟุตบอลหรือรังเหย้าของทีมไหนขึ้นชื่อเรื่องของความเป็น "นรกทีมเยือน" คงมีหลายๆ คนตอบว่าเซนต์ เจมส์ ปาร์คของนิวคาสเซิลบ้าง โอลด์ แทรฟฟอร์ดของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดบ้าง คัมป์ นูของบาร์เซโลนาบ้าง หรือซิกแนล อิดูนัลปาร์คของโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์บ้าง แต่ผมเชื่อว่าจะมีอีกสนามที่ถูกพูดถึงแน่นอน นั่นก็คือ "แอนฟิลด์" ของลิเวอร์พูลอย่างแน่นอน หลายต่อหลายเกมที่ลิเวอร์พูลตกเป็นรอง แต่บรรยากาศ แฟนบอลในสนามนั้นช่วยให้ทีมพลิกกลับมาชนะได้หลายต่อหลายครั้ง ที่ยังตราตึงใจไม่ลืมก็คือเกมนัดที่ 2 ของรอบรองฯ ของศึกยูซีแอล ฤดูกาล 2018/2019 ที่พบกับบาร์เซโลนา โดยเกมแรกลิเวอร์พูลบุกไปแพ้บาร์ซ่า 3-0 พอมาเกมที่สองก็เสียผู้เล่นตัวหลักอย่างโรแบร์โต เฟอร์มิโนและโมฮัมเหม็ด ซาลาห์ไปอีก แถมในเกมก็เสียแอนดรูว โรเบิร์ตสันไปอีก แต่สุดท้ายเป็นเพราะเสียงเชียร์ในแอนฟิลด์ที่ช่วยให้ทีมพลิกนรกกลับมาชนะบาร์ซ่า 4-0 ทะยานเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศและคว้าแชมป์มาได้ในท้ายที่สุดสำหรับบทความนี้ผมก็ขอมาเขียนถึงความสำคัญของ "แอนฟิลด์" ที่มีโอกาสเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ลิเวอร์พูลนั้นเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ครับหลังจากผ่านพ้นแมตช์เดย์ที่ 14 ของฤดูกาลนั่นเท่ากับว่าผลการแข่งขันในเกมนี้ส่งให้ลิเวอร์พูลขยับอันดับแซงหน้า "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตีขึ้นไปรั้งรองจ่าฝูง เพราะเรือใบนั้นสะดุดเสมอกับท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์แบบสุดมันส์ 3-3 แต่ความจริงแล้วในคู่ของตัวเองนั้นก็มันส์ไม่แพ้กัน เพราะสถานการณ์นั้นพลิกไปพลิกมา นำ "เจ้าสัวน้อย" ฟูแลมถึง 2 ครั้ง แต่ก็โดนยิงแซงเป็น 2-3 แต่สุดท้ายแล้วก็ยังสามารถพลิกกลับมาชนะด้วยประตูชัยของเทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ได้ เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเกมที่แฟนๆ เดอะ ค็อปจะจดจำไปอีกนานพอสมควรแต่นอกจากพลังกายและใจของเหล่านักเตะแล้ว อีกหนึ่งพลังที่ส่งให้เหล่านักเตะก็คือ "พลังแห่งแอนฟิลด์" ที่มาจากเสียงเชียร์ของแฟนๆ ในสนาม เพราะในยามที่ทัพหงส์แดงได้ลงเล่นในรังเหย้าของตัวเองแล้วนั้น ราวกับว่าลูกทีมของเยอร์เกน คล็อปป์จะมี "บัพ" พลังขึ้นมาเป็น 120% แบบนั้นแหละ พวกเขาแพ้ยากสุดๆ ในการเล่นที่แอนฟิลด์ มันจึงไม่แปลกเลยที่ลิเวอร์พูลจะสามารถคัมแบคกลับมาชนะฟูแลมได้แต่ใช่ว่าพวกเขานั้นไม่เคยช่วงเวลาที่ย่ำแย่ในบ้านของตัวเอง ในฤดูกาล 2020/2021 ฤดูกาลถัดมาจากที่พวกเขาสามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ ในฤดูกาลนี้พวกเขาต้องพบกับมรสุมมากมาย เริ่มตั้งแต่ที่เวอร์จิล ฟาน ไดจ์กปิดเทอมยาวจากอาการบาดเจ็บบริเวณ ACL กองหลังพาเหรดกันเจ็บจนต้องถอยกองกลางไปเล่น ดึงดาวรุ่งขึ้นมาเล่น แม่ของเยอร์เกน คล็อปป์เสีย พ่อของอลิสซอนก็เสีย ทำให้กลายเป็นฤดูกาลที่พบแต่ปัญหาและมันส่งผลต่อผลงานในสนามแม้กระทั่งเล่นในบ้านด้วย พวกเขาถูกทุบสถิติการไม่แพ้ใครในบ้านอย่างยาวนานและก็แพ้คาบ้านแบบต่อเนื่อง 6 เกม ถ้าหากนับเป็นจำนวนวันหรือถ้าหากต้องเล่นในบ้านติดต่อกันก็เท่ากับว่าพวกเขาแพ้คาบ้านติดต่อกัน 1 เดือนครึ่ง เดือนครึ่งที่ต้องทนทุกข์กับความพ่ายแพ้ในบ้านของตัวเอง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นพวกเขาแข็งแกร่งเหลือเกินยามที่เล่นที่แอนฟิลด์อย่างที่ผมบอกครับว่าก่อนหน้านั้นลิเวอร์พูลเป็นทีมที่แข็งแกร่งเสมอเวลาที่เล่นแอนฟิลด์ ยากที่ใครจะมาเอาชนะได้ ก่อนหน้าที่จะแพ้เบิร์นลีย์ในเดือนมกราคม 2021 1-0 คาแอนฟิลด์ต้องย้อนไปนานพอสมควรเลยที่เดียวในการหาเกมล่าสุดที่พวกเขาแพ้ในแอนฟิลด์ นับตั้งแต่แพ้ต่อคริสตัล พาเลซ 2-1 เมื่อเดือนเมษายน 2017 หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่แพ้ใครเลยจนมาโดนเบิร์นลีย์ทำช็อคนั่นแหละครับ นับเป็นจำนวน 68 เกมที่ลิเวอร์พูลไม่โดนยัดเยียดความพ่ายแพ้เลยเวลาที่เล่นที่แอนฟิลด์ พวกเขาชนะ 55 เสมอ 13 เกม แต่พอพวกเขาแพ้ต่อเบิร์นลีย์ในบ้านปุ๊บ หลังจากนั้นอีก 5 เกมรวดในบ้านก็แพ้ต่อเนื่องเลย ไล่ตั้งแต่ไบรท์ตัน, แมนเชสเตอร์ ซิตี, เอฟเวอร์ตัน, เชลซีและฟูแลม ก่อนที่จะค่อยๆ ฟื้นขึ้นมาแต่นั่นคือฤดูกาลที่แฟนบอลยังไม่สามารถเข้ามาเชียร์ในสนามได้เนื่องจากโรคระบาดโควิด 19 นั่นเท่ากับว่าทำให้มนต์ขลังของแอนฟิลด์นั้นหายไปด้วยเช่นกัน ไม่มีเสียงเชียร์ แรงกระตุ้นให้นักเตะมีความฮึกเหิมในการคัมแบค แต่สุดท้ายพวกเขาก็ยังมีฮึดจนสามารถตะเกียกตะกายขึ้นมาจบอันดับที่ 3 คว้าตั๋วไปยูฟา แชมเปียนส์ลีกได้ตัดภาพมาที่ปัจจุบันในฤดูกาล 2023/2024 นี้ ลิเวอร์พูลงเล่นในฐานะเจ้าบ้านไปแล้ว 11 เกม (รวมทุกรายการ) พวกขาสามารถเก็บชัยชนะได้ทั้งหมด แถมมีถึง 10 เกมที่พวกเขาสามารถชนะคู่แข่งได้ด้วยผลต่างมากกว่า 2 ประตูทุกเกม ทำให้ทำสถิติร่วมกับการชนะในบ้านด้วยผลต่างบวก 2 ต่อเนื่องยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรที่จำนวน 9 เกม (เดือนพฤษภาคม-ตุลาคม 1980) เพิ่งมามีผลต่างเพียงประตูเดียวก็เกมที่เฉือนชนะฟูแลมนี่แหละและด้วยการยกเครื่องกองกลางแทบจะหมดทีม ทำให้ผลงานของพวกเขากลับมาคืนฟอร์มอีกครั้งจนผู้คนเริ่มพูดถึงการคว้าแชมป์ลีกสมัยที่ 20 กันอีกครั้ง แถมตอนนี้ก็รั้งตำแหน่งรองจ่าฝูงและตามหลังอาร์เซนอลเพียง 2 แต้ม รวมไปถึงซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของทาง Opta ก็คำนวณออกมาให้แล้วว่าลิเวอร์พูลมีโอกาสในการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้อยู่ที่ 9.1% (คำนวณล่าสุดเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน) แต่ก็ตามหลังเรือใบพอแบบไม่เห็นฝุ่นพอสมควร เพราะพวกเขามีโอกาสอยู่ที่ 84.6%ซึ่งถ้าหากพูดถึงคู่แข่งแย่งแชมป์ ณ ปัจจุบันก็คงหนีไม่พ้นอาร์เซนอลและแมนซิตี้และมันไม่ง่ายเลยที่ใครจะขึ้นมากระชากแชมป์พรีเมียร์ลีกไปจากอ้อมอกของเป๊ป กวาร์ดิโอลา เพราะพรีเมียร์ลีก 6 ฤดูกาลหลังสุด ทัพเรือใบฟาดแชมป์ลีกไปแล้ว 5 ครั้ง แถมตอนนี้พวกนี้กำลังลุ้นทำสถิติเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษที่คว้าแชมป์ลีกสูงสุด 4 สมัยติดต่อกัน และไอ่ทีมที่ทำให้แมนซิตี้มีติ่งเดียวจาก 6 สมัยนั่นก็คือทีมของเยอร์เกน คล็อปป์ในแหละที่ได้ไปในฤดูกาล 2019/2020ทาง Opta Analyst ได้บอกว่าถ้าหากลิเวอร์พูลอยากกลับมาเป็นคู่แข่งของแมนซิตี้อีกครั้ง พวกเขาต้องมีฟอร์มการเล่นที่คงเส้นคงวามากกว่านี้ไม่ว่าจะเป็นทั้งในฐานะทีมเยือนและทั้งในการเล่นที่แอนฟิลด์ เพราะในช่วงหลังๆ พวกเขาก็มีฟอร์มที่แกว่งเหมือนกัน และนี่เพิ่งจะเข้าใกล้ครึ่งทางของการแข่งขันเอง แต่อย่าลืมว่าในตอนนี้ไอ้ปืนใหญ่ก็ฟอร์มแรงไม่แพ้กัน เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดทีมนึงพูดถึงเกมในบ้านไปแล้ว มาพูดถึงเกมนอกบ้านกันบ้างดีกว่า ฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลเล่นเกมพรีเมียร์ลีกในฐานะทีมเยือนไปแล้ว 8 เกม ผลงานไม่ได้น่าประทับใจซักเท่าไร่ เพราะชนะ 3 เสมอ 4 และแพ้ 1 ซึ่งเกมที่แพ้ก็คือการบุกไปแพ้ต่อท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ ส่วนเกมที่เสมอก็คือการบุกไปเสมอเชลซีในเกมแรกของฤดูกาลและเสมอกับไบรท์ตันซึ่งการเสมอสองทีมนี้ยังพอเข้าใจได้ แถมมีเกมที่บุกไปไล่ตีเสมอลูตัน ทาวน์ ทีมน้องใหม่ที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมาพรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร มันควรเป็นเกมที่เก็บชัยชนะให้ได้ แต่พวกเขาก็ทำแต้มหลุดมือไปและเกมล่าสุดที่บุกเสมอคู่แข่งก็คือการเสมอกับแมนซิตี้นั่นเอง ส่วนตัวมองแล้วไม่ได้น่าเกลียดอะไรกับการบุกไปเสมอลูกทีมของเป๊ปส่วนเกมเยือนที่ชนะก็คือการบุกไปชนะนิวคาสเซิล, วูล์ฟและเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ที่กล่าวมาคือการพูดถึงเกมในพรีเมียร์ลีก ส่วนถ้วยอื่นๆ พวกเขาก็มีทั้งบุกไปชนะและแพ้เช่นกัน ในเกมยูโรปา ลีกพวกเขาบุกไปชนะ LASK 1-3, คาราบาว คัพบุกไปชนะบอร์นมัธ 1-2 และเกมยูโรปา ลีกล่าสุดก็บุกไปแพ้ตูลูส 3-2ย้อนกลับไปในฤดูกาลที่แล้วในเกมพรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูลมีสถิติแพ้เกมเยือนมากกว่าชนะเสียอีก พวกเขาแพ้ไปถึง 8 เกมเยือน เก็บชัยชนะได้ 6 เกมและเสมอ 5 เกม ยิงได้น้อยกว่าโดนยิง (ยิง 29 เสีย 30) นั่นเท่ากับว่าจนถึงตอนนี้ลิเวอร์พูลแพ้เกมเยือนในลีกไปแล้ว 9 เกม ชนะและเสมออย่างละ 8 เกมจากทั้งหมด 25 เกมเยือนแต่อย่าลืมว่าการแพ้ 8 เกมเยือนในลีกจากฤดูกาลที่แล้ว นั่นคือการแพ้ในยุคของกองกลางชุดเก่า ตอนนี้คล็อปป์ได้ยกเครื่องกองกลางหรือจะเรียกว่าล้างบานก็ไม่ผิด เพราะกองกลางเซ็ตเดิมในฤดูกาลที่แล้วย้ายออกจากทีมไปถึง 5 คนและเสริมเข้ามาทั้งหมด 4 คนไม่ใช่เพียงแค่เกมเหย้าเท่านั้นที่จะทำให้คุณเป็นแชมป์หรือเป็นทีมลุ้นแชมป์ เกมเยือนก็สำคัญเช่นกัน เพราะย้อนกลับไปเมื่อ 2 ฤดูกาลก่อน (ฤดูกาล 2021/2022) นั่นคืออีกฤดูกาลที่ลิเวอร์พูลเป็นคู่แข่งตัวฉกาจของแมนซิตี้ เพราะพวกเขาแพ้ต่อแมนซิตี้ไปเพียงคะแนนเดียว (อีกแล้ว) ในฤดูกาลนั้นเกมเยือน 19 เกม ลิเวอร์พูลเก็บชัยชนะไปได้ 13 เกม ที่เหลือคือการเสมอ 4 เกมและแพ้ 2 เกม เก็บแต้มทั้งหมด 92 แต้ม ส่วนแมนซิตี้เก็บได้ 93 แต้มตามสถิติแล้วถ้าหากคุณอยากขึ้นมาเป็นผู้ชนะในศึกพรีเมียร์ลีกหรืออย่างน้อยเป็นผู้ท้าชิงยันนัดสุดท้าย คุณต้องชนะเกมเยือนอย่างน้อย 11 เกมจาก 13 เกมและเสมออย่างน้อย 1 เกมจากสองเกม เพราะนั่นมันเพียงพอต่อการลุ้นแชมป์หรือเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก ยกตัวอย่างเช่นในฤดูกาลที่แล้วที่แมนซิตี้คว้าเทรเบิลแชมป์ไปได้ พวกเขาชนะเกมเยือนในพรีเมียร์ลีกไป 11 เกม เสมอและแพ้อย่างละ 4 เกม และหากย้อนไป 4 ฤดูกาลก่อนหน้าฤดูกาลที่แล้ว ทีมที่เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก (แมนซิตี้และลิเวอร์พูล) พวกเขาล้วนแล้วแต่ชนะเกมเยือนไปถึง 14 เกม สะดุด 5 เกม และยิงได้ขั้นต่ำสุดคือ 33 ลูก เสียมากสุดคือ 17 ลูกในฤดูกาลที่แล้วลิเวอร์พูลเล่นเกมเยือน 5 เกมแรก พวกเขาไม่ชนะใครเลย (เสมอ 2 แพ้ 3) แถมที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือไม่สามารถชนะทีมที่มีอันดับอยู่ครึ่งล่างของตารางคะแนนได้เลย กว่าที่จะชนะได้ก็ต้องรอถึงกลางเดือนเมษายนที่ชนะไป 1-6หากเราจะดูคะแนนของแชมป์พรีเมียร์ลีก 5 สมัยหลังสุด จะพบว่าพวกเขาเก็บชัยชนะเกมในบ้านไปได้เฉลี่ย 16.2 เกม เสมอ 1.2 เกมและแพ้ 1.6 เกม ส่วนแมนซิตี้นั้นพวกเขาก็ยังคงไว้ลายการเป็นโคตรทีมเหมือนเดิม เพราะปีปฏิทิน 2023 นี้พวกเขาชนะเกมพรีเมียร์ลีกที่แข่งในบ้านตัวเองไปแล้ว 15 เกมและเพิ่งสะดุดเสมอลิเวอร์พูลไปเป็นครั้งแรก ดังนั้นถ้าหากลิเวอร์พูลหวังที่จะเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกหรือเป็นคู่แข่งเบียดแย่งแชมป์ไปจนสุดทาง พวกเขาก็ต้องรักษาฟอร์มการเล่นและเก็บชัยชนะในแอนฟิลด์ให้ได้สม่ำเสมอและก็ไปพัฒนาฟอร์มการเล่นเวลาเป็นทีมเยือนต่อไป เพราะมีตัวอย่างให้เห็นแล้วในการเสียแต้มในเกมเยือนและแพ้ต่อแมนซิตี้เพียงแต้มเดียวขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจากOpta AnalystOfficial Facebook ของลิเวอร์พูลภาพปก, ภาพประกอบ 1, ภาพประกอบ 2, ภาพประกอบ 3, ภาพประกอบ 4, ภาพประกอบ 5 และภาพประกอบ 6