ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า “ วิ่งมาราธอน ” ก็ยังคงเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบันนี้ ถึงแม้ว่ากระแสจะหายไปบ้าง ในช่วงโควิด-19 ระบาดหนัก แต่ในปี 2025 กระแสงานวิ่งก็ได้กลับมาคึกคักอีกครั้ง รวมถึงตัวผู้เขียนเองก็ตื่นเต้นที่จะได้กลับมาอยู่ในบรรยากาศงานวิ่งมาราธอนอีกครั้ง นักวิ่งคาดหวังอะไร จากงานวิ่งมาราธอน? ดูเหมือนว่าจะเป็นคำถามที่ตอบได้ไม่ยาก โดยส่วนตัวแล้ว ผู้เขียนเองก็ผ่านงานวิ่งมาหลายสนาม ทั้งงานระดับเล็กๆ ไปจนถึงงานระดับใหญ่ๆ ที่มีนักวิ่งหลายพันคน และความคาดหวังอันดับแรกคือ เพื่อให้ตัวเองมีวินัยในการซ้อมอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มีสุขภาพที่ดี ไม่เป็นภาระผู้อื่น ได้มิตรภาพใหม่ๆ ที่เป็นนักวิ่งด้วยกัน และได้ออกไปท่องเที่ยวในที่ที่อยากไป แต่ช่วงระยะเวลา 4 - 5 ปีมานี้ กระแสโซเซียลมาแรง และแพลตฟอร์มสร้างตัวตนหลายแพลตฟอร์มมีขึ้นเป็นจำนวนมาก ทำให้เห็นว่ากระแสงานวิ่งในปัจจุบันถึงจุดใดแล้ว ผู้เขียนจึงเชื่อได้สนิทใจว่า ความคาดหวังของนักวิ่งในปัจุบันนี้ คือ การได้รูปวิ่ง สวยๆ หล่อๆ จากการลงงานวิ่งมาราธอน มาโพสลงโซเซียลเพื่ออวดเพื่อนๆ นั่นเอง หรือเรียกได้ว่าเป็นผลพลอยได้ ก็น่าจะไม่ผิดแต่ประการใด จากประสบการณ์ของผู้เขียนเองที่ผ่านมาหลายสนาม และคลุกคลีกับช่างภาพงานวิ่งมาพอสมควร จึงอยากจะแชร์ท่าโพสหน้ากล้อง ให้นักวิ่งได้นำไปปรับใช้ ท่าโพสที่ 1 “ ยิ้มสวยๆ ” นิ่งๆ แต่วิ่งเร็วนะเออ เพียงแค่มีรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุข และสนุกกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า นักวิ่งจะสามารถยิ้มกว้างออกมาได้อย่างไม่ฝืน เป็นตัวของตัวเอง เมื่อเหลือบไปเห็นช่างภาพข้างหน้า ให้เตรียมตัวจัดท่าทาง ท่าวิ่งที่สง่าที่สุด และวิ่งตรงไปหาช่างภาพพร้อมกับยิ้มกว้างๆ เพียงเท่านี้ก็จะได้ภาพยิ้มสวยๆ แบบจริงใจแน่นอน ท่าโพสที่ 2 “ หัวใจตรงแก้ม ” ข้างหนึ่งแก้มเรา อีกข้างแก้มเธอ โชว์ความสดใสด้วยการทำรูปหัวใจตรงแก้ม พร้อมกับมองกล้องและเอียงหัวไปข้างที่เรามั่นใจ และคิดว่าสวย หล่อ ที่สุด เพียงเท่านี้ ช่างภาพจะไม่กดชัตเตอร์ได้อย่างไร ท่าโพสที่ 3 “ เผลอๆ ” แต่ได้ใจเธอเต็มๆ สำหรับนักวิ่งที่ชอบภาพเผลอๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นการตั้งใจเผลอก็ตาม ความเป็นธรรมชาติจะทำให้ภาพนั้นออกมาสมบูรณ์แบบ เพราะฉะนั้น ท่าวิ่งที่เผลอๆ แต่เป็นธรรมชาติ ไม่เกร็ง ไม่ฝืน ไม่ต้องมองกล้อง ปล่อยไปตามความรู้สึก ก้าวขาออกไปและวิ่งผ่านกล้องไปด้วยความมั่นใจ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของช่างภาพที่จะกดชัตเตอร์ต่อไป ท่าโพสที่ 4 “ ก้มมองนาฬิกา ” นาฬิกาของเราเดินตรงกันไหมนะ? เป็นอีกหนึ่งท่าโพสที่นักวิ่งชื่นชอบ นาฬิกาไม่เพียงแต่จะเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยให้นักวิ่งใช้จับเวลา ดูระยะทางเท่านั้น เมื่อเห็นช่างภาพตรงหน้า นักวิ่งสามารถยกแขนข้างที่ใส่นาฬิกาขึ้นมาดูได้อย่างแนบเนียน โดยให้แขนอยู่ระยะสายตาพอดี ไม่สูงจนบังหน้า และไม่ต่ำเกินไปจนดูไม่เป็นธรรมชาติ ท่าโพสที่ 5 “ ชู 2 นิ้ว สู้ๆ ” เราจะสู้ไปด้วยกัน ท่าชู 2 นิ้ว ถือเป็นท่าคลาสสิคที่สุดสำหรับนักวิ่งแล้ว เมื่อนึกท่าไม่ออก ให้ชู 2 นิ้วขึ้นมาก่อน พร้อมกับตะโกนเบาๆ บอกตัวเองว่า สู้ๆ นะ อีกนิดเดียวก็เข้าเส้นชัยแล้ว ถือเป็นการให้กำลังใจตัวเองและเพื่อนร่วมทางได้อย่างดีเยี่ยม ท่าโพสที่ 6 “ กระโดด ” ต้องกระโดดสูงแค่ไหน ถึงจะได้ใจเธอ ท่ากระโดดส่วนใหญ่แล้วต้องใช้พื้นที่พอสมควร และนักวิ่งต้องส่งสัญญาณให้ช่างภาพรับทราบด้วยว่าต้องการจะกระโดดเมื่อใด เพื่อให้ช่างภาพได้ประมาณระยะที่พอดี และกดชัตเตอร์ได้ทัน และสิ่งสำคัญต้องกวาดสายตามองเพื่อนด้วยว่าวิ่งตามหลังมาใกล้หรือไม่ กระโดดแล้ว แขนขาจะชนเพื่อนนักวิ่งท่านอื่นๆ หรือไม่ ให้คำนึงถึงความปลอดภัย และจะได้ภาพกระโดดที่ตรงใจแน่นอน รูปภาพที่คนอื่นมองว่าเป็นภาพธรรมดา แท้ที่จริงแล้ว เต็มไปด้วยความหมาย ความรู้สึกซ่อนอยู่มากมาย อย่าพลาดที่จะรังสรรค์ภาพสวยๆ ตรงใจ เก็บไว้เป็นความทรงจำดีดีนะคะ หากชื่นชอบบทความ กดติดตามได้ที่ ฟองสบู่สีขาว 🫧 ขอขอบคุณทุกการติดตามค่ะ ช่องทางติดตามเพจช่างภาพงานวิ่ง : https://www.facebook.com/SasiFotoRun ภาพประกอบบทความ ภาพที่ 1 - 7 โดยผู้เขียน ภาพหน้าปก โดย RUN 4 FFWPU ภาพหน้าปกออกแบบโดย https://www.canva.com ส่องนักบอลตัวเต็ง ดูสดระเบิดแมทช์สุดมันส์บน App TrueID โหลดฟรี !