"ไอ้ปืนใหญ่" อาร์เซนอลที่เคยตกอยู่ภายใต้การคุมทีมของ อาร์แซน แวงแกร์ (บางคนเรียกว่า เวงเกอร์) มายาวนานมากที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรถึง 22 ปี กับความสำเร็จการันตีในช่วงเวลานั้นทั้งสิ้น 17 รายการ แถมด้วยยุคฤดูกาลไร้พ่ายที่ยังไม่มีทีมไหนเคยทำได้ (เฉพาะในลีค) ในฤดูกาล 2003-04 จริงๆเลย 1 ฤดูกาลด้วย เพราะตอนนั้น ไอ้ปืนใหญ่ไม่แพ้เลยถึง 49 นัดแต่แล้วเวลาชื่นมื่นก็ได้หมดลง ในช่วงฤดูกาล 2017-2018 ไอ้ปืนใหญ่ก็หลุดจากการเป็น Top 4 เป็นครั้งแรกของยุคสมัยของแวงแกร์ และแล้วแวงแกร์ก็ได้ประกาศยุติ และแยกเส้นทางเดินร่วมกับสโมสรอาร์เซนอลลง นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้ง หลังจากยุคของจอร์จ แกรแฮมขอบคุณที่อยู่กับผมมาเป็นเวลายาวนาน ผมรู้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ง่ายเลยแต่ท้ายที่สุดผมก็เหมือนพวกคุณทุกคนผมคือแฟนบอลของอาร์เซนอล ผมอยากจะจบด้วยคำพูดง่ายๆผมจะคิดถึงพวกคุณ ผมหวังว่าเราจะได้พบกันอีก ลาก่อนนี่คือคำกล่าวอำลาของแวงแกร์ หลังจบเกมที่อาร์เซนอลเปิดบ้านถล่มเบิร์นลีย์ไป 5-0 ในวันที่ 6 พฤษภาคม 2018 ถึงแม้จะยังเหลือเกมเยือน ที่ต้องเล่นอีก 2 เกมก็ตามเมื่อมีการจากลา ก็ย่อมต้องมีการเริ่มต้นใหม่ อาร์เซนอล ทำการแต่งตั้งอูไน เอเมรี เข้ามารับตำแหน่งต่อจากอาร์แซน แวงแกร์ ซึ่งก่อนหน้านั้น กุนซือรายนี้คุมทีมอันดับ 1 ของฝรั่งเศส อย่าง ปารีส แซงค์ แฌร์แมงค์ อยู่ และยังเคยคุมทีม เซบีญ่า ในสเปนก่อนหน้านี้อีกด้วย ต้องบอกว่าตอนนั้นมีแฟนบอลของไอ้ปืนใหญ่ไม่น้อย ที่มีคำถามว่า "ไอ้นี่มันใคร...ะ" 555 ผมเองก็เป็นคนนึงที่ถึงกับต้องไปค้นหาประวัติของ อูไน กันเลย เพราะไม่ค่อยได้ตามบอลฝรั่งเศส หรือตามเซบีญ่าสมัยนั้นเท่าไหร่นัก และแล้ว ผลการค้นหาของผมก็พบว่า โอ้โห !!! อีตานี่มันก็ได้แชมป์มาเยอะเหมือนกันนี่หว่า แถมเคยได้บอลยุโรป แม้ว่าจะเป็นถ้วยเล็ก สมัยคุมเซบีญ่าด้วยแฮะผมเชื่อว่าช่วงนั้นแฟนบอลอาร์เซนอล ก็เริ่มตั้งความหวังกับกุนซือรายใหม่รายนี้ไว้บ้างแหละครับ แต่ก็นะ ผมว่าพอถูกตั้งความหวังให้เข้ามาเป็นยุคใหม่ และต้องให้ได้แชมป์ที่ร้างราไปนานมาซักถ้วย นั่นทำให้ความกดดันมันมากมายมหาศาล หรืออาจจะเป็นเพราะเหตุผลด้วยศักยภาพของทีม ณ ขณะนั้น อาจจะยังไม่เพียงพอให้อูไน สามารถพาทีมไปถึงฝันได้ ฤดูกาล 2018-2019 อูไน พาทีมจบอันดับ 5 ของตารางพรีเมียร์ลีค และสิ่งที่เหนือความคาดหมาย หรือบางคนอาจจะคาดไว้ก็คือ อูไน พาทีมเข้าไปชิงชนะเลิศ ศึกยูฟ่ายูโรป้าลีค ได้ แต่แล้วก็ไปแพ้ต่อ เชลซี ถึง 4 ประตูต่อ 1 ทำให้ฤดูกาลนั้น ยังไม่ประสบความสำเร็จในการล่าแชมป์ที่ร้างไปนานกลับมาในที่สุดทางตันของอูไนก็มาถึง เมื่อฤดูกาลต่อมา หลังเกมที่ อูไน เอเมรี นำทีมเปิดบ้านพ่ายให้กับ ไอน์ทรัค แฟรงค์เฟิร์ต คาบ้าน 1 ประตูต่อ 2 ในเกมยูโรปาลีก กลางสัปดาห์ และท่ามกลางความไม่พบใจในการจัดทัพของเจ้าตัวจากแฟนบอลอาร์เซนอล ในที่สุดบอร์ดบริหารของอาร์เซนอลก็ได้ตัดสินใจและออกแถลงการณ์ แยกทางกับกุนซือชาวสเปนวัย 48 ปี เพราะจาก 7 เกมที่ผ่านมาของอูไน เขาไม่สามารถพาทีมเก็บชัยชนะได้เลยในทุกรายการ และสโมสร ได้ทำการแต่งตั้งเฟรียดริก ยุงแบร์ย (บางคนเรียกว่า เฟรดดิกซ์ ลุงเบิร์ก) เข้ามาคุมทีมแทนชั่วคราว จนจบฤดูกาล เนื่องจากผลงานตกต่ำอย่างน่าใจหาย เราอยากขอบคุณเอเมอรีและทีมงาน ที่ได้พยายามทำงานอย่างหนัก ในการนำพาสโมสรกลับมาอยู่ในระดับที่เราทุกคนคาดหวัง เราอยากจะอวยพรให้เอเมอรีและทีมงานไปสู่ความสำเร็จในภายภาคหน้าคำแถลงการณ์ของ จอร์จ โครเอนเก้ จริงๆ ผมต้องบอกว่า อาร์เซนอล พยายามที่จะแก้ปัญหาของทีมมาตลอด แต่อาจจะยังแก้ไม่ตรงจุดที่คัน ไม่ว่าช่วงนั้นจะเป็นการเสริมทีมโดยการดึงเอาดาวรุ่ง (ซึ่งตอนนี้ไม่รุ่ง) อย่าง นิโคลัส เปเป้ จากลีลส์มาด้วยค่าตัวมหาศาลถึง 80 ล้านปอนด์ แต่การเสริมทัพไม่ใช่คำตอบของทุกอย่าง สุดท้ายสื่อหลายสื่อพยายามวิเคราะห์สาเหตุที่ฟอร์มของไอ้ปืนใหญ่ตกต่ำลงอย่างกับหนังคนละม้วนแบบนี้ว่า อาจจะเป็นเพราะการบริหารคนของอูไน เอเมรี เอง ในขณะนั้น ที่มีปัญหา รวมถึงการดรอป "คีย์แมน" ในสมัยนั้น อย่าง เมซุส โอซิล แบบค้านสายตาแฟนบอลบางส่วน อีกทั้งมีข่าววงในของสโมสร บอกว่านักเตะหลายๆตน ไม่เข้าใจการสื่อสารของกุนซือรายนี้ นั้นอาจเป็นผลทำให้บอร์ดบริหารของอาร์เซนอล ตัดสินใจแยกทางกับกุนซือรายนี้ในที่สุด อาร์เซนอลตัดสินใจเรียก มิเกล อาร์เตต้า ซึ่งในขณะนั้น ทำงานเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมของเป๊บ กวาดิโอล่า อยู่กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งกุนซือรายนี้เคยเป็นนักเตะของอาร์เซนอลมาก่อน โดยอาร์เตตา คือกุนซือถาวรคนที่ 20 ในประวัติศาสตร์ของสโมสร อาร์เซนอล ในฤดูกาลที่อาร์เตต้าเข้ามารับหน้าที่ เค้าไม่ค่อยประสบความสำเร็จในเวทีพรีเมียร์ลีค เพราะเค้าพาทีมจบอันดับ 8 ซึ่งเป็นอันดับที่ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่ ค.ศ. 1995 แต่ยังไม่โดนปลดจากตำแหน่ง เพราะพาทีมคว้าแชมป์ FA คัพสมัยที่ 14 ซึ่งเป็นแรกในรอบหลายปีที่ไอ้ปืนใหญ่ร้างถ้วยรางวัลมาได้ และทำให้ยังสามารถเข้าไปเล่นฟุตบอลยุโรปได้จากแชมป์ FA คัพอีกด้วย (ถึงแม้จะเป็นถ้วยเล็กก็เถอะนะ)แต่เมื่อฤดูกาลนั้นผ่านไป อาร์เซนอลของมิเกล อาร์เตต้า ก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะฟื้น เริ่มจากการตกรอบลีคคัพด้วยการแพ้ แมนซิตี้ ย่อยยับถึง 4 ประตูต่อ 1 ในรอบก่อนรองชนะเลิศ และมาตกม้าตายใน FA คัพ รอบที่ 4 ในการเจอเซาแธมป์ตัน ในอีก 1 เดือนต่อมา และแม้จะผ่านเข้าไปสู่รอบรองชนะเลิศ ศึกยูฟ่ายูโรป้าลืคได้ แต่ก็ไปโดนบียารีล ทีมของอูไน เอเมรี อดีตกุนซือของพวกเค้า เขี่ยตกรอบไปอีก และฤดูกาลนั้น อาร์เซนอลของมิเกล อาร์เตต้า จบอันดับ 8 ในพรีเมียร์ลีคอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ไม่มีถ้วยอะไรในมือ ไม่มีบอลยุโรปให้เล่นในซีซั่นหน้าหลังจากนั้น เมื่อเปิดฤดูกาลใหม่ อาร์เตต้า พยายามสร้างทีมที่มีจุดศูนย์กลางเป็นผู้เล่นดาวรุ่ง โดยหลังจากที่กัปตันทีมอย่าง ปิแอร์ เอเมอริค โอบาเมยอง มักจะมีปัญหาส่วนตัว ทำให้อาร์เตต้า ตัดสินใจปลดเค้าออกจากการเป็นกัปตัน และนำมาสู่การปล่อยตัว ปิแอร์ เอเมอริค โอบาเมยอง สู่บาเซโลน่า รวมไปถึงการดรอป อาแล็กซ็องดร์ ลากาแซ็ต ในช่วงนี้อีกด้วย แม้ว่าทีมจะดีขึ้นเป็นลำดับภายใต้การทำทีมของอาร์เตต้า อาร์เซนอลกลับมาอยู่ในอันดับที่มีลุ้นไปบอลยุโรปถ้วยใหญ่จนถึงเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ที่บุกไปแพ้ต่อสาลิกาดง 2-0 และต้องตกมาอยู่อันดับ 5 แต่อย่างน้อยก็การันตีแล้วว่าทีมจะได้ไปเล่นยูฟ่า ยูโรป้าลีคในฤดูกาลหน้าเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นสเปอร์ดันเบลอไปแพ้บ๊วยอย่างนอริซ และอาร์เซนอลชนะทีมหนีตายสุดๆอย่าง เอฟเวอร์ตัน) ซึ่งนั่นจะทำให้สาวกไอ้ปืนใหญ่ ได้กลับมาเชียร์ทีมในเวทียุโรปอีกครั้งเล่ามายาวมาก ถึงตรงนี้ อาร์เซนอลในยุคของอาร์เตต้าเองก็ยังมีปัญหาหลักๆ ที่เห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นเซ็นเตอร์แบ๊ค ตัวทดแทนเบน ไวท์ และกาเบรียล มากัลเญส เวลามีปัญหาการบาดเจ็บ เพราะเวลาเอา ร๊อป โฮลดิ้ง ลงมา มักจะเป็นบ่อน้ำมันให้คู่แข่งเจาะอยู่เสมอ รวมถึงคู่เซ็นเตอร์ตัวจริงเอง ก็เรียกไม่ได้ว่าเป็นระดับเวิลด์คลาสขนาดนั้น ซึ่งตอนนี้ยังไม่ค่อยมีข่าวกับเซ็นเตอร์แบ๊คเท่าไหร่ เนื่องจากปัญหาที่หนักกว่าของอาร์เตต้าตอนนี้ คือไม่มีกองหน้าตัวเป้า ซึ่งทีมโฟกัสไปที่ กาเบรียล เซซุส ของแมนซิตี้ รวมถึง ดิบาล่าที่ไม่ต่อสัญญากับยูเวนตุส อีกทั้งยังเคยมีข่าวสนใจดาร์วิน นูนเญซ ของเบนฟิก้า แล้วอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ยังมีข่าวกับ วิคเตอร์ โอซิมเฮน กองหน้าดาวรุ่งสัญชาติไนจีเรีย ของนาโปลี แต่ของ 2 รายหลังนี่น่าจะเป็นไปได้ยากเนื่องจากมีหลายทีมยักษ์ใหญ่ให้ความสนใจในตัวนักเตะไม่แพ้กัน ส่วนข่าวตำแหน่งอื่นๆเอง ก็ยังมีข่าวกับแบ๊คซ้าย อย่าง แอรอน ฮิคกี้ เพื่อมาเป็นอะไหล่ชั้นดีให้กับทีม รวมถึงยูริ ตีเลมันส์ กองกลางของจิ้งจอกสยาม ที่เป็นข่าวเบาๆ และก็ยังมีข่าวกับปีกตัวจี๊ดของเซาเปาโล อย่าง มาควินญอส รวมถึงในส่วนของเซ็นเตอร์แบ๊ค ก็จะมีการตัดสินใจเรื่องของ วิลเลี่ยม ซาลิบา ซึ่งเพิ่งได้รางวัลดาวรุ่งแห่งปี ของลีคเอิงมาหมาดๆอีกด้วย ส่วนของการปล่อยตัว อาร์เซนอลได้ทำการปล่อยขาย คอนสแตนตินอส มาฟโรปานอส ขาดให้กับสตุ๊ดการ์ตเป็นที่แน่นอนแล้ว ตามสัญญายืมตัวพ่วงออปชั่นซื้อขาดที่เคยทำไว้กับอาร์เซนอล และอีกคนที่ผมภาวนาให้ขายออกไปคือ เปเป้ ดาวรุ่งที่ไม่รุ่ง และไม่สมราคาค่าตัว 80 ล้านปอนด์เลยแม้แต่น้อยจากสถานการณ์ที่ผมบอก หากอาร์เซนอลได้ตัวดาวรุ่งอายุน้อยอย่าง แอรอน ฮิคกี้, มาควินญอส มาเป็นแบ๊คอัพ และได้เซ็นเตอร์แบ๊คดีๆซักคน หรือดึง ซาลิบา กลับมาจากโอลิมปิก มาร์กเซย์ และยังคงรักษามาตรฐานการเล่น เหมือนเล่นให้กับยอดทีมจากลีคเอิง แล้วได้กองหน้าอย่าง ดาร์วิน นูนเญซ, กาเบรียล เซซุส, ดิบาล่า,โอซิมเฮน หรือไม่ว่าจะเป็นตัวตายตัวแทนที่เคยมีข่าวอย่าง แทมมี่ อับราฮัม หรือ โจนาธาน เดวิด ของลีลล์ มาซัก 2 คน บวกกับขุมกำลังแนวรุกดาวรุ่งของอาร์เซนอลอย่าง ซาก้า, มาร์ติเนลลี่ และโอเดการ์ด ผมเชื่อว่าอาร์เซนอลอาจจะกลับมามีชื่อในการลุ้นแชมป์ใดแชมป์หนึ่งอีกครั้งก็เป็นได้ ส่วนของ ยูริ ตีเลมันส์ ล่าสุดเหมือนจะมีข่าวว่าเจ้าตัวอยากย้ายซบหงส์แดงมากกว่า ก็คงต้องตามลุ้นกันต่อไปนะครับว่าแต่ อาทิตย์นี้ ก็ต้องไปแช่งให้สเปอร์ท้องเสียเล่นไม่ออกกันก่อนแหละครับ เผื่อเราชนะท๊อฟฟี่แล้วจะได้กลับเข้าสู่ถ้วน UCL อีกครั้งนึง เครดิตภาพปก : https://www.arsenal.com/เครดิตภาพประกอบจาก https://twitter.com/Arsenal : ภาพที่ 1 : สนาม Emirates Stadium, ภาพที่ 2 : อำลา Arsene Wenger, ภาพที่ 4 : Mikel Arteta, ภาพที่ 5 : Konstantinos Mavropanosเครดิตภาพประกอบจาก https://twitter.com/sportingindex : ภาพที่ 3 แฟนบอลชูป้ายไล่ Unai Emeryเครดิตภาพประกอบจาก https://twitter.com/BolognaFC1909en : ภาพที่ 6 Aaron Hickey ส่องนักบอลตัวเต็ง ดูสดระเบิดแมทช์สุดมันส์บน App TrueID โหลดฟรี !