ยิงเต็มข้อ…!!! by บับเบิ้ล : เลือกตั้งสมาคมกีฬาฟุตบอลฯระอุ..จริงหรือ ?
ฟุตบอลอายุไม่เกิน 23 ปีชิงแชมป์เอเชีย 2020 กำลังจะเปิดสนามดวลแข้งในอีก 2 วันนี่แล้ว แต่กระแสฟุตบอลไทยดันถูกขโมยซีนจากประเด็น “การเลือกตั้ง สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ”
แรกๆเหมือนไม่มีอะไร หลายคนลุ้นแค่ “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง จะลุยต่อหรือไม่ แต่พอมีข่าว “บังยี” วรวีร์ มะกูดี อดีตนายกฯเตรียมคัมแบ็กสู้เท่านั้นละ…กลายเป็นเรื่องฮอตทันที
ถึงตรงนี้ “บิ๊กอ๊อด” ยังนิ่ง ไม่ออกมายืนยันว่าจะลงสมัครเพื่อทำงานต่อหรือไม่ แต่ “บังยี” ออกมายืนยันผ่านสื่อแล้วว่าลงสมัครแน่นอน ถือว่าประกาศตัวคนแรกเลยด้วยซ้ำ
แต่คุณสมบัติ “บังยี” จะติดขัด “ระเบียบว่าด้วยการเลือกต้ัง นายกสมาคม อุปนายก และกรรมกลาง ของสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ พ.ศ.2562” ตรงไหน อย่างไร คงต้องตามลุ้นกันต่อไป
จริงๆแล้วทุกอย่างมีเขียนไว้ในระเบียบชัดเจน แต่เรื่องทำนองนี้ไม่เคยจบกันง่ายๆ เดี๋ยวต้องมีทั้ง “ร้องเรียน” และต่อด้วย “การตีความ” ไม่งั้นไม่ใช่การเลือกตั้งในประเทศไทย !!!
ทั้ง “กองเชียร์” และ “กองแช่ง” ต้องตามลุ้นกันต่อไป อีกไม่ช้าไม่นานคงมีความชัดเจนมากขึ้น เพราะกระบวนการต่างๆได้ดำเนินมาตามขั้นตอนและมีการวางกำหนดไว้ครบหมดแล้ว
เริ่มต้นอธิบายให้เข้าใจก่อนเลยว่า ระเบียบว่าด้วยการเลือกตั้งฯ ที่จะใช้เลือกตั้งครั้งนี้คือ “ของใหม่” ไม่ใช่ของเก่าเหมือนเมื่อ 4 ปีที่แล้ว
ย้อนกลับไป 4 ปีก่อนการเลือกตั้งสมาคมฯดุเดือดมาก เรียกว่าจบกันไม่ลงและวุ่นวายไปถึง “ฟีฟ่า” จนต้องเข้ามาร่วมเคลียร์ เริ่มตั้งแต่ยกเลิก สภากรรมการบริหาร สมาคมฯ ทั้งหมด
จากนั้น “ฟีฟ่า” ได้แต่งตั้ง “คณะกรรมการกลาง” ขึ้นมาเพื่อดำเนินการจัดการเลือกตั้งเอง แน่นอนว่า 1 ในสิ่งที่ต้องทำคือการร่างระเบียบว่าด้วยการเลือกตั้งฯขึ้นมาใหม่ด้วย
แต่ ระเบียบว่าด้วยการเลือกตั้งฯ ที่กำลังจะถูกนำมาใช้ใหม่ในครั้งนี้เป็นของ “พ.ศ.2562” ที่สมาคมฯในยุคของ “บิ๊กอ๊อด” ได้นำมาปรับปรุงแก้ไขใหม่
ที่สำคัญคือมีการนำเข้าที่ประชุมใหญ่เพื่อให้สโมสรสมาชิกทำการรับรองตามขั้นตอนจนเสร็จสิ้นตั้งแต่เดือนเมษายน 2562 เรียบร้อยแล้ว
ระเบียบว่าด้วยการเลือกตั้งฯบางข้ออาจถูกมองได้ว่าเป็นการ “สกัด” บางคนไม่ให้มาลงเลือกตั้ง แต่สมาคมฯชี้แจงว่าเป็นการแนะนำจาก “ฟีฟ่า” และ “เอเอฟซี”
สำหรับ “โหวตเตอร์” หรือทีมที่มีสิทธิ์ลงคะแนนเลือกตั้ง ตาม “ข้อบังคับลักษณะการปกครองสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ พ.ศ.2558 แก้ไขเพิ่มเติม (ครั้งที่ 4) พ.ศ.2562” ถูกกำหนดไว้แล้วประกอบด้วยทีมดังนี้ (ยึดตามสิ้นสุดฤดูกาลก่อนจัดประชุม)
1.สโมสร “ไทยลีก” (16 ทีม) 2.สโมสร “ไทยลีก 2” (18ทีม) 3.สโมสรที่มีคะแนนอันดับ 1-7 ในแต่ละโซนของ “ไทยลีก 3” (14 ทีม) 4.สโมสรที่มีคะแนนอันดับ 1-3 ในแต่ละโซนของ “ไทยลีก 4” (18 ทีม) 5.แชมป์ไทยแลนด์ อเมเจอร์ (1 ทีม) 6.แชมป์และรองแชมป์ “ฟุตบอลลีกหญิง” (2ทีม) รวมทั้งสิ้น “69 สโมสร”
จริงๆแล้ว ข้อบังคับฯ ให้สิทธิ์ทีมแชมป์และรองแชมป์ “ฟุตซอลลีก”, แชมป์ “ฟุตซอลลีกหญิง”, แชมป์ “ฟุตบอลชายหาดลีก” และ “สมาคมนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ” ด้วย
แต่ทีมฟุตซอลทั้งชายและหญิง รวมถึงฟุตบอลชายหาดยังไม่ได้เป็น “สมาชิกอย่างสมบูรณ์” คือยังไม่ได้รับรองการเป็นสมาชิกใหม่ในการประชุมใหญ่สามัญ ประจำปีของสมาคมฯ
ขณะที่ “สมาคมนักฟุตบอลอาชีพแห่งประเทศไทย” ยังไม่ได้รับรองจาก “ฟีฟ่า” และ “ฟิฟโปร” (สหพันธ์สมาคมนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ) จึงยังไม่มีสิทธิ์ลงคะแนนเลือกตั้งเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้จะมี “69 สโมสร” ที่ได้สิทธิ์โหวต ตรงนี้ระบุไว้ชัดเจนไม่น่ามีปัญหาอะไร
แต่ที่จะเป็นปัญหาและเคยเป็นมาแล้วทุกครั้งคือ “ใบมอบอำนาจ” ที่ทะเลาะกันทุกที ว่ากันว่าใครจะแพ้หรือชนะเลือกตั้งก็อยู่ที่ใครได้ใบมอบอำนาจมากกว่ากัน
ที่เป็นปัญหาตรงนี้มาตลอดเพราะไม่มีความชัดเจนว่า “เจ้าของสิทธิ์ตัวจริง” หรือ “คนที่รับสิทธิ์ไปทำทีม” คือคนที่มีอำนาจในการมาลงคะแนนเลือกตั้งกันแน่
น่าสนใจมากกว่านั้นคือบางทีเจ้าของทีมตัวจริงมักมีคอนเนคชั่นทาง “การเมือง” หรืออยู่ใน “ระบบอุปถัมภ์” ตามสังคมไทยอยู่แล้ว ดังนั้นการลงคะแนนจึงมักถูก “ล็อคสเปค” เอาไว้
การเลือกตั้งสมาคมลูกหนังไทยในหลายๆครั้งที่ผ่านมาจึงไม่ได้วัดกันที่ว่าคนฟุตบอลจริงๆอยากได้ใครเข้ามาทำงาน แต่วัดกันที่ใครชนะในเกมเลือกตั้งมากกว่า
สำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้จะระอุอย่างที่บางคนคาดการณ์หรือไม่ยังยากที่จะฟันธง เพราะสายข่าวให้ข้อมูลที่ไม่ตรงกัน แม้จะมีตัวละครอย่าง “บังยี” เพิ่มขึ้นมาแล้วก็ตามเถอะ
นอกจากนี้ยังอาจมี “บิ๊กเจี๊ยบ” พล.ต.ท.พิสัณห์ จุลดิลก อดีตเพื่อนรักของทั้ง “บิ๊กอ๊อด” และ “บังยี” ที่เคยประกาศจะลงเลือกตั้งโผล่เข้ามาแจมด้วยไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
แต่ไม่ว่าใครจะขยับอย่างไร แว่วว่าทีมงานของ “บิ๊กอ๊อด” เตรียมการรอไว้แล้ว
งานระดับเลือกตั้งสมาคมฯแค่นี้ “นายกเงา” ที่ลุยเลือกตั้งระดับประเทศมาแล้วไม่น่ายี่หระ
เอาเป็นว่ารอดูแค่เปิดรับสมัครเลือกตั้งวันที่ 7-10 ม.ค.นี้คงรู้แล้วว่าจะระอุดุเดือดจริงหรือเปล่า ถ้าไม่มีอะไรฮือฮาก็ลิเกเลิกไป แต่ถ้ามีสิ่งที่น่าประหลาดใจค่อยลุ้นกันต่อในวันเลือกตั้ง 12 ก.พ.