ผลงาน ชนะ 4 เสมอ 4 แพ้ 4 เก็บได้เพียง 16 แต้มจากการลงเล่น 12 นัด คือผลงานการลงเล่นในพรีเมียร์ลีก อังกฤษของ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล ทำให้กลายเป็นผลงานที่ออกสตาร์ทได้ย่ำแย่ที่สุดในรอบ "7 ปี" โดยในยุคนั้นเป็นยุคของกุนซือตาหวานอย่างเบรนแดน ร็อดเจอร์ส โดยเกิดขึ้นในฤดูกาล 2014/2015 ซึ่งเก็บได้เพียง 14 คะแนนจาก 12 นัดแรก ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์ วิจารณ์ วิเคราะห์กันต่างๆ นานากันไปว่าเหตุอันใดที่นำพาให้ลิเวอร์พูลของเยอร์เกน คล็อปป์ที่ฤดูกาลที่แล้วได้ลุ้น 4 แชมป์ยันช่วงท้ายของฤดูกาลกลายเป็นทีมที่ขนาดตัวกุนซือเองยังยอมรับว่าหมดลุ้นแชมป์ลีกไปเรียบร้อยแล้ว แถมตอนนี้ยังต้องดิ้นรนอย่างหนักเพื่อกลับไปมีลุ้น Top 4 เพื่อโควต้าไปเล่นยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก โดยสาเหตุนึงที่ถูกพูดถึงการอย่างมากนั่นก็คือ คล็อปป์ "เปลี่ยนถ่าย" ทีมชุดนี้ช้าเกินไป ไม่ค่อยทำการเสริมทัพหรือปรับเปลี่ยนผู้เล่นภายในทีมเมื่อเทียบกับทีมอื่นๆ ที่เป็นคู่แข่งแยงแชมป์ เช่น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทำไมการเปลี่ยนถ่ายนักเตะจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ลิเวอร์พูลฟอร์มดิ่ง ณ ตอนนี้ ผมจะมาอธิบายให้คุณผู้อ่านได้เข้าใจกันครับนับตั้งแต่ที่เยอร์เกน คล็อปป์รับงานเผือกร้อนต่อจากเบรนแดน ร็อดเจอร์สที่ถูกปลดไปในปี 2015 จนถึงตอนนี้ปี 2022 ก็รวมเป็นระยะเวลา 7 ปีแล้ว ไลน์อัพชุดแรกที่เขาเข้ามาคุมทีมแทบจะไม่เหลือผู้เล่นในยุคของบีร็อดเลยซักคน โดยถ้านับเฉพาะ 11 ผู้เล่นตัวจริงในเกมนัดแรกของคล็อปป์ที่คุม (เยือนสเปอร์ส) จะมีเพียงเจมส์ มิลเนอร์คนเดียวเท่านั้นที่ยังอยู่กับทีม แต่คนอื่นภายในทีมก็ยังจะมีจอร์แดน เฮนเดอร์สัน กัปตันทีม และโรแบร์โต้ เฟอร์มิโน่ อีกคนที่ยังคงอยู่กับทีม มีเพียง 3 คนเท่านั้นที่เป็นมรดกตกทอดมาจากกุนซือคนก่อนๆ มาให้คล็อปป์"อ่าว!! แบบนี้ก็ถ่ายเลือดแล้วนี่" หลายคนอาจจะคิดแบบนี้ ครับ จะบอกอย่างนั้นก็ได้ ถ้ามาดู 11 ผู้เล่นตัวจริงในเกมล่าสุดที่แพ้ลีดส์ ยูไนเต็ดคาบ้าน 1-2 จะเห็นได้ว่ามีเพียงบ๊อบบี้คนเดียวที่ลงเป็นตัวจริง 2 คนที่เหลืออย่างกัปตันเฮนโด้และรองเจมส์นั้นเป็นตัวสำรอง แต่อย่าลืมว่าหลังจากที่คล็อปป์ได้ทีมที่ลงตัวแล้วในฤดูกาล 2018/2019 แล้ว ตั้งแต่กองหลังยันกองหน้าจนสามารถไปคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกมาได้ คล็อปป์แทบจะเปลี่ยนผู้เล่นไม่ถึง 5 คนเลย เราลองมาเปรียบเทียบดูกันครับว่า ชุดหลักที่ใช้ประจำในฤดูกาล 2018/2019 กับฤดูกาลนี้เปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหนฤดูกาล 2018/2019 :อลิซอน เบ็คเกอร์, เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โจเอล มาติป, เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค, แอนดี้ โรเบิร์ตสัน, ฟาบินโญ่, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม, โม ซาลาห์, โรแบร์โต้ เฟอร์มิโน และซาดิโอ มาเน่ฤดูกาล 2022/2023 (นัดเจอลีดส์) :อลิซอน เบ็คเกอร์, เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โจ โกเมซ, เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค, แอนดี้ โรเบิร์ตสัน, ฟาบินโญ่, ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์, ติอาโก อาคัลทารา, โรแบร์โต้ เฟอร์มิโน, โม ซาลาห์ และดาร์วิน นูนเญซจะเห็นได้ว่ามีถึง 7 คนเลยด้วยกันที่ยังคงเป็นตัวหลักตั้งแต่ฤดูกาล 2018/2019 ลากยาวจนมาถึงฤดูกาลนี้ ซึ่งความจริงแล้วถ้าเปลี่ยนจากฮาร์วีย์ เอลเลียตต์เป็นเฮนโด้ และเปลี่ยนจากโกเมซเป็นมาติปแล้ว (ซึ่งปกติถ้าเฮนโด้และมาติปไม่มีอาการบาดเจ็บรบกวนก็จะลงประจำอยู่แล้ว) ก็เท่ากับว่าคล็อปป์ใช้ 9 ผู้เล่นตัวจริงชุดเดิมนับตั้งแต่ฤดูกาล 2018/2019 โดยแทบจะไม่เปลี่ยนแปลงหรือถ่ายเลือดผู้เล่นใหม่เลย 5 ปีเข้าไปแล้ว ซึ่งมันมันค่อนข้างผิดหลักหรือผิดวิสัยของการทำทีมฟุตบอลที่ปกติแล้วทุกๆ 3-4 ปีควรมีอะไรเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดซึ่งเทียบกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ในยุคของเป๊ป กวาร์ดิโอลา โดยผมจะขอนำไลน์อัพในฤดูกาล 2017/2018 ซึ่งเป็นฤดูกาลที่เรือใบสีฟ้าสามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกด้วยคะแนน 100 แต้ม โดยจะนำมาเปรียบเทียบในชุดปัจจุบัน ซึ่งผมจะขอใช้เป็นไลน์อัพในเกมที่บุกไปแพ้ลิเวอร์พูล 1-0ฤดูกาล 2017/2018 : เอแดร์ซอน, ไคล์ วอร์คเกอร์, นิโคลาส โอตาเมนดี้, แว็งซองต์ กอมปานี, ดานิโล่, แฟร์นานดินโญ่, ดาบิด ซิลบา, เควิน เดอ บรอยน์, เลรอย ซาเน่, ราฮีม สเตอร์ลิ่ง และกุน อเกวโร่ฤดูกาล 2022/2023 : เอแอร์ซอน, มานูเอล อคานจี, รูเบน ดิอาส, นาธาน อาเก้, เจา คันเซโล่, โรดริโก้, เควิน เดอ บรอยน์, อิลคาย กุนโดกัน, แบร์นาโด้ ซิลวา, เออร์ลิง ฮาแลนด์ และฟิล โฟเด้นเมื่อดูฤดูกาลที่แมนซิตี้เก็บได้ 100 แต้มกับไลน์อัพในปีนี้ เราจะเห็นได้ว่าไลน์อัพของเป๊ปเปลี่ยนไปแทบจะครึ่งทีม โดยเป๊ปเปลี่ยนไปถึง 8 คน มีเพียงเอแดร์ซอน, เดอ บรอยน์ และกุนโดกันที่ยังคงเป็นตัวจริงให้กับทีมอยู่ ซึ่งนอกจาก 3 คนนี้ก็ยังจะมี ไคล์ วอร์คเกอร์, อายเมอริค ลาปอร์ต, จอห์น สโตน และแบร์นาโด้ ซิลวา ที่สลับหมุนเวียนกันลงตั้งแต่ปีที่เก็บได้ 100 คะแนนถ้าหากเรานับชุดผู้เล่นที่เป๊ปลงทะเบียนในฤดูกาล 2017/2018 จำนวน 27 คน ผ่านมาถึงปัจจุบันจะมีผู้เล่นที่ยังคงอยู่กับทีม จะมีเหลือเพียง 8 คนเท่านั้น (ขออนุญาตตัดเบนจามิน เมนดี้ออกจากทีมนะครับ) เป๊ปผ่องถ่ายนักเตะไปถึง 19 คนตลอดระยะเวลา 5 ฤดูกาลที่ผ่าน โดยตัดภาพมาที่ลิเวอร์พูล 29 คนที่ลงทะเบียนไว้ในฤดูกาล 2018/2019 ผ่านมา 4 ฤดูกาลมีถึง 15 คนที่ยังอยู่กับทีมมาถึงชุดปัจจุบันในขณะที่ทีมคู่แข่งคนสำคัญในการแย่งแชมป์เปลี่ยนถ่ายนักเตะออกจากทีมไปแล้ว 19 คน แต่ลิเวอร์พูลนั้นเลือกที่จะเก็บผู้เล่นถึง 15 คนไว้กับทีม ในระยะเวลาการทำทีมที่พอๆ กัน ห่างกันเพียงปีเดียวเท่านั้นไม่รู้ว่าเป็นเพราะอีโก้, สไตล์การทำทีม หรือนิสัยส่วนตัวของคล็อปป์ที่ยังเลือกเก็บผู้เล่นไว้เยอะขนาดนี้ โดยเฉพาะการเก็บผู้เล่นที่ไม่ค่อยจำเป็น ไม่ค่อยโชว์ฟอร์มได้ดีและมีอาการบาดเจ็บอยู่สม่ำเสมอไว้อยู่กับทีม ซึ่งมองแล้วมันแทบไม่เห็นประโยชน์ในการเก็บไว้เลย รวมไปถึงการไม่มีตัวสำรองที่ทดแทนกันได้และไม่มีคู่แข่งแย่งตำแหน่งในตำแหน่งต่างๆ เช่น เทรนต์ อาร์โนลด์, ฟาน ไดจ์ค, ฟาบินโญ่ และซาลาห์ ทำให้เวลาที่นักเตะที่ผมได้กล่าวไว้ทำผลงานไม่มีเขาก็ยังจะได้ลงต่อเนื่อง ไม่มีคู่แข่งมาแย่งตำแหน่ง หรือไม่มีใครที่จะสามารถมาทดแทนเวลาพวกเขาบาดเจ็บได้เลยและในส่วนของนักเตะที่ควรปล่อยออกจากทีมก็ไม่ปล่อย เช่น เจมส์ มิลเนอร์, อ๊อกซ์เล็ด แชมเบอร์เลน และนาบี เกอิต้า เป็นสามคนที่ควรปล่อยออกจากทีมมากที่สุดแล้ว แต่คล็อปป์ก็ยังเลือกที่จะเก็บไว้ คนนึงก็เป็นคนที่แก่ที่สุดในทีม อีกสองคนก็เจ็บออดๆ แอดๆ เข้าโรงหมอมากกว่าโรงอาหารกินข้าวร่วมกับเพื่อน ในรายของมิลเนอร์อาจจะมองความเป็นซีเนียร์ ความมีระเบียบวินัยที่สูงมากซึ่งจะเป็นตัวอย่างให้กับน้องๆ ในทีมก็พอเข้าใจได้ แต่กับอีกสองคนนั้นไม่มีความจำเป็นต้องเก็บไว้เลย ดิอ๊อกซ์ไม่ใช่คนเดิมในปีที่ซื้อมาอีกเลยนับตั้งแต่บาดเจ็บที่บริเวณ ACL ส่วนเกอิต้าก็เล่นได้ไม่คุ้มกับค่าตัวที่แพงแสนแพงและต้องไปพรีออเดอร์มาก่อนตั้งเกือบฤดูกาล แถมยังใส่เบอร์ 8 เบอร์ตำนานกัปตันของทีมอย่างสตีเวน เจอร์ราร์ดอีกด้วย เอาไปใส่แล้วเอาซะเสียราคาตำนานหมด และขออนุญาตเพิ่มมาอีกคน โจ โกเมซที่อยู่กับทีมมาตั้งแต่คล็อปป์มาคุมทีม แต่ไม่เห็นจะมีการพัฒนาอะไรเลยที่สามารถขึ้นมายึดตัวจริงของทีมได้ นับวันยิ่งเหมาะสมกับฉายาที่แฟนๆ เรียกว่า "โจ โกเหม่อ" เล่นไปเหม่อไป ไม่มีสมาธิ เหมือนคงคอนเซปต์ว่า 1 วันดี 6 วันไข้ สิบนัดจะมีเล่นดีนัดนึง นักเตะแบบนี้ยังจะกล้าเก็บไว้อีกหรอนอกจากนี้ลองมาดูอายุของกองกลางภายในทีมตอนนี้ โดยขอตัด 2 คนที่บาดเจ็บบ่อยๆ ออกไปนะครับ ฟาบินโญ่พึ่ง 29 ปี ส่วนเฮนโด้, ติอาโก้ และมิลเนอร์นั้นล้วนอายุเลย 30 ปีไปกันแล้ว แถมฟาบินโญ่ เฮนโด้ และติอาโก้ยังคงเป็นตัวหลักที่สม่ำเสมอให้กับทีมถ้าหากไม่บาดเจ็บ คุณจะไม่ถนุถนอมนักเตะที่อายุเข้าหลักเลข 3 หรอ มีเอลเลียตต์กับฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ กระดูกของน้องๆ ก็ยังไม่ถึงขั้นที่สามารถขึ้นมาเป็นตัวหลักของทีมได้ แทบจะไม่มีอิมแพคต่อทีมเท่าไหร่เลยการเลือกที่จะเก็บผู้เล่นไว้เยอะขนาดนี้ เปลี่ยนถ่ายสายเลือดใหม่ได้อย่างช้ามากๆ มันทำให้ผู้เล่นที่ยังอยู่กับทีมที่เล่นในระบบของเยอร์เกน คล็อปป์นั้นมีสภาพร่างกายที่กรอบ โรยรา อ่อนล้าเป็นอย่างมาก รวมไปถึงคู่แข่งก็สามารถจับทางได้หมด ซึ่งคนที่เห็นได้ชัดเลยในฤดูกาลนี้ก็คือ ฟาบินโญ่ ที่จากปกติก็ไม่ค่อยมีสปีดความเร็วอะไรอยู่แล้ว พอมาฤดูกาลนี้เป็นเหมือนกับนักเตะอายุใกล้เลข 40 ที่ลงไปเล่น ตัดเกมไม่ได้ โดนคู่แข่งเลี้ยงบอลผ่านได้อย่างง่ายดาย ไม่สามารถชะลอเกมของคู่แข่งได้เลยเราลองมาคิดภาพว่าถ้าลิเวอร์พูลมีการเปลี่ยนถ่ายทีมมากกว่านี้ มีตัวทดแทนกันและกันมากกว่านี้ มีคนที่สามารถกดดันนักเตะทีมเป็นตัวหลักแต่ทำผลงานไม่ดีมากกว่านี้ ลิเวอร์พูลก็คงจะมีความแข็งแกร่งทั่วทั้งแผ่น ทั้งตัวจริงและสำรอง มีทีมที่สามารถหมุนเวียน สลับกันลงได้ตลอดเหมือนกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้บางคนบอกว่าก็ลิเวอร์พูลไม่ได้รวยเหมือนแมนซิตี้นี่ เชื่อผมเถอะว่าลิเวอร์พูลนั้น "รวย" ครับ อาจจะไม่เงินถุงเงินถังเท่ากับเรือใบ แต่เชื่อเถอะว่าไม่ได้จน ไม่ได้ไม่มีเงินขนาดที่จะไม่สามารถเสริมทัพอะไรเลย ตัวคล็อปป์ก็ไม่เรียกร้องจะเอานักเตะใหม่ พอคล็อปป์จะเอาคนไหนผู้บริหารทีมก็ไม่คิดจะตอบสนอง ต้องขายก่อนถึงจะซื้อได้ เชื่อผมเถอะว่าลิเวอร์พูลนั้นมีเงินมากพอที่จะซื้อนักเตะ คุณเข้าชิงยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 2 ครั้งในรอบ 4 ฤดูกาล ได้แชมป์มาหนึ่งสมัย เข้าชิงและได้เป็นรองแชมป์ยูโรป้าลีกในปีแรกที่เข้ามาคุม แชมป์ภายในประเทศก็ได้มาครบแล้วนับตั้งแต่ฤดูกาล 2019/2020 ยิ่งฤดูกาลที่แล้วคุณได้รองแชมป์ลีก ได้ 2 แชมป์บอลถ้วยในประเทศ 1 รองแชมป์ถ้วยยูซีแอล เงินรางวัลหายไปไหนหมด คุณจะไม่มีเงินเหลือให้เสริมทัพเลยหรือ? คุณมีแต่คุณไม่ใช้มากกว่า จะอ้างว่าโดนวิกฤติโควิดเล่นงาน แล้วทีมอื่นเขาไม่โดนหรือ? ผมขอย้ำอีกครั้งนะครับว่า "ลิเวอร์พูลไม่ได้จน" เพียงแต่ไม่ต่อยอดความสำเร็จและไม่เข้าใจคล็อปป์เหมือนกันว่าในฤดูกาลนี้คุณไม่มีแผนสำรองในการเสริมทัพเลยหรอ ปล่อยแนวรุกไป 3 คน (มาเน่, มินามิโนะ และโอริกี้) แต่คุณเสริมดาร์วิน นูนเญซมาแค่คนเดียว มันเพียงพอหรอ และในรายของ "ออเรเลียง ชูอาเมนี" ที่เป็นเป้าหมายเสริมทัพในตำแหน่งกองกลางตัวรับ พอโดนเรอัล มาดริดแย่งไปได้ คุณไม่มีแผนสำรองนักเตะคนอื่นในตำแหน่งนี้เลยหรอ ไม่ได้ชูเอเมนีก็ไม่เอาคนอื่นแล้วอย่างนี้หรอ? เฮ้ย! มันไม่ได้นะ คุณจะไม่มีแพลนบี หรือแผนสำรองแบบนี้ไม่ได้นะ แล้วเป็นอย่างไรล่ะ สภาพฟาบินโญ่ทุกวันนี้เป็นยังไงและกับวลี "รอคนที่ใช่" ถามจริงว่าคุณจะให้แฟนบอลรอไปถึงเมื่อไหร่ ถ้าไม่เจอคนที่ใช่ก็จะไม่ซื้ออย่างนั้นหรอ ไม่ได้ก็จะไม่เปลี่ยนถ่ายทีมอย่างนั้นหรอ สุดท้ายผลเสียก็เกิดขึ้นกับใครถ้าไม่ใช่พวกคุณ แล้วมั่นใจได้ยังไงว่าคนที่ใช่ของพวกคุณจะเลือกคุณ มั่นใจได้ยังไงว่าจะไม่มีทีมอื่นมาแย่ง คุณเอาอะไรมามั่นใจ ไม่เห็นตัวอย่างจากเคสของชูอาเมนี่หรอ?การเปลี่ยนถ่ายเลือด หรือผ่องถ่ายผู้เล่นในทีมนั้นมันสำคัญกับการทำทีมฟุตบอลมากๆ เลยนะ ผมก็ไม่ได้จบโค้ชหรือโปรไลเซนส์อะไรหรอก แต่คุณลองเปรียบเทียบกับคู่แข่งของคุณก็ได้ มันสามารถมองออกได้อย่างง่ายดายเลยนะ เพียงแต่อีโก้ หรือนิสัยส่วนตัวอะไรก็ไม่รู้ของคุณที่ทำให้คุณไม่ทำอย่างนั้น จนตอนนี้มันเริ่มส่งผลอย่างเห็นได้ชัดว่าพาทีมทำผลงานได้แย่ขนาดไหนผมไม่ได้ออกมาไล่คล็อปป์นะ ผมยังเชื่อมั่นใจฝีมือของเขาเต็มที่เสมอมา เพียงแต่อยากเห็นว่าเขายอมลดอีโก้ เปลี่ยนถ่ายทีมมากขึ้น ปล่อยนักเตะไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรให้กับทีม นักเตะที่ควรจะปล่อยออกจากทีมได้แล้วขอบคุณภาพประกอบOfficial Instagram และ Official Facebook ของลิเวอร์พูลOfficial Twitter ของแมนซิตี้ภาพปก, ภาพประกอบ 1, ภาพประกอบ 2, ภาพประกอบ 3, ภาพประกอบ 4, ภาพประกอบ 5ชวนแต่งแฟนซี หลอน สวย เซ็กซี่หรือสร้างสรรค์ ถ่ายภาพหรือวิดีโอ แล้วโพสต์ที่TrueID Community ห้อง "13 สยองขวัญ"สำหรับผู้ที่ยอดกดไลค์สูงสุด 5 อันดับแรกอันดับที่1 : (ต้องมียอดไลค์เกิน 150 ไลค์) เงินรางวัล 3,000 บาทอันดับที่ 2-5: (ต้องมียอดไลค์เกิน 50 ไลค์) เงินรางวัล รางวัลละ 1,000 บาท (รวม 4 ท่าน 4,000 บาท)STAR COVER ส่งภาพเข้ามาได้ตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม 65 ถึง 3 พฤศจิกายน 65***