ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับพรีเมียร์ลีกเกมแรกของปี 2024 ที่ลิเวอร์พูล พบ นิวคาสเซิล ณ แอนฟิลด์ รังเหย้าของลิเวอร์พูล ซึ่งก็ถือว่าเป็นเกมแรกในครึ่งซีซันหลังสำหรับทั้งสองทีม หลังจากเกมแรกทั้งคู่เจอกันมาแล้วและเป็นลิเวอร์พูลที่บุกไปพลิกกลับมาชนะทีมสาลิกาดงได้แบบสุดมันส์ที่เซนต์ เจมส์ พาร์คจากประตูชัยของดาร์วิน นูนเญซ และในเกมที่ 2 ของทั้งสองทีมก็ยังเป็นลิเวอร์พูลที่สามารถย้ำแค้นนิวคาสเซิลได้อีกหน 4-2 และถือว่าเป็นเกมสุดมันส์เลยทีเดียว เพราะยิงกันไปถึง 6 ประตู แถมยังมีจุดโทษถึง 2 ลูกด้วย ประเด็นหลังเกมมีให้พูดถึงพอสมควร แต่ผมขออนุญาตยกมาเพียง 5 ประเด็นเหมือนเดิมครับ จะมีประเด็นใดบ้าง ไปดูกันเลยครับและก่อนจะไปเข้าเนื้อหา ผมก็ต้องขอสวัสดีปีใหม่ 2024 คุณผู้อ่านทุกท่านนะครับและขออวยพรก่อนเลยนะครับ ขอให้ปี 2024 นี้เป็นปีที่ดีมากๆ สำหรับคุณผู้อ่านทุกท่านนะครับ สุขภาพแข็งแรงตลอดทั้งปี เงินทองไหลมาเทมา เรื่องร้ายๆ ก็ขอให้เกิดและผ่านไปในปีที่แล้ว ปีนี้ใครอยากเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ ก็ขอให้ประสบความสำเร็จดั่งใจหวังนะครับ และขอขอบคุณคุณผู้อ่านทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านบทความของผมตลอดปี 2023 ผิดพลาดประการใดก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ สามารถติชมได้เลยนะครับ สัญญาว่าจะปรับปรุง พัฒนาและจะนำเสนอบทความใหม่ๆ มาให้คุณผู้อ่านได้อ่านได้ชมกันอีกเรื่อยๆ ในปีนี้นะครับ ขอบคุณสำหรับการติดตามนะครับ1. กรรมการอังกฤษท็อปฟอร์มเสมอต้นเสมอปลายนี่คือหนึ่งใน "จุดด่างพร้อย" ของเกมนี้ เพราะผู้ตัดสินเกมนี้อย่างแอนโธนี เทย์เลอร์ เปาหัวเหม่งคนดีคนเดิม กรรมการสุดที่รักของแฟนเชลซี (ประชด) ยังคงรักษาฟอร์มการเป่าได้สุดยอดเหมือนเดิม (อันนี้ก็ประชด) ก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกันนะว่ามีประเด็นให้พูดถึง ให้ด่าได้ทุกสัปดาห์เลยกับเรื่องการตัดสินของผู้ตัดสินพรีเมียร์ลีก ห่วยยังไงก็ห่วยอย่างนั้น ไม่คิดจะปรับปรุงเลยหรอ ถึงขั้นมี VAR มาช่วยก็ยังผิดพลาดเหมือนเดิม ลืมตีเส้นล้ำหน้าบ้าง สื่อสารกันไม่ชัดเจนบ้าง เหลือจะเชื่อเลยอย่างในเกมนี้ก็มีแจกใบเหลืองให้กับทีมเยือนยากมาก ส่วนเจ้าบ้านแจกง่ายเหลือเกิน บ่นนิดบ่นหน่อยก็แจกแล้ว แต่จังหวะที่น่าเกลียดที่สุดก็คือจังหวะที่โจลินตอนตั้งใจตัดเกมจังหวะสวนกลับของลิเวอร์พูลโดยการเอามือไปฟาด ไปทุบ ไปข่วนหรืออะไรก็แล้วแต่ใส่ไหล่ของโดมินิก โซโบซไลแต่จารย์แอนเทย์เลอร์นั้นปล่อยให้ลิเวอร์พูลได้เล่นต่อเพราะเป็นจังหวะได้เปรียบ จังหวะนั้นใครๆ ก็คิดว่าเดี๋ยวยังไงโจลินตอนก็โดนใบเหลืองย้อนหลัง แต่ไม่เลยครับ ไม่มีแม้กระทั่งใบเหลืองอะไรเลย แถมหลังจากนั้นก็มีจังหวะแถมใส่นักเตะลิเวอร์พูลเยอะแยะ มีทั้งแถมใส่อิบราฮิมา โกนาเต, ดึงเคอร์ติส โจนส์ แต่เทย์เลอร์ก็โนสนโนแคร์ ยังคงไม่แจกเหลืองให้กับโจลินตอน และกว่าจะมาแจก เกมก็ผ่านไปจนถึงนาทีที่ 66 แล้วนอกจากนี้ยังมีอีกหลายๆ จังหวะที่ตัดสินค้านสายตาคนดูมากๆ จนแฟนบอลในแอนฟิลด์ถึงกับเดือดและโห่ใส่ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่จะปรับปรุงการตัดสินของกรรมการ จะรอให้ทีมชาติอังกฤษเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกก่อนหรือยังไงถึงจะปรับปรุงอะ ห่วยลงทุกวัน2. โจนส์และดิอาซคืนฟอร์มเก่งกลับเข้าสู่เรื่องของทั้ง 2 ทีมกันดีกว่าครับ ถ้าหากจะหา MOTM จากฝั่งลิเวอร์พูลซักคน นอกจากโมฮาเหม็ด ซาลาห์ที่ยิงคนเดียวสองประตูแล้ว ผมขอเสนอชื่ออีกสองคนครับ นั่นก็คือ เคอร์ติส โจนส์และหลุยส์ ดิอาซ 2 นักเตะที่ในช่วงหลังมานี้โดนแฟนลิเวอร์พูลบ่นยับ (ผมก็ด้วย) แต่เกมนี้ทั้งคู่นั้นคืนฟอร์มเก่งและทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม จนได้รับคำชมจากแฟนบอลเป็นอย่างมากมาเริ่มที่โจนส์ก่อนเลยครับ ในเกมนี้โจนส์นั้นคืนร่างคืนฟอร์มเก่งแบบที่เราได้เห็นกันในช่วงท้ายของฤดูกาล 2022/2023 วันนี้โจนส์คือ โจนส์ เบลลิงแฮมหรือซีเนดีน ซีโจนส์ หรือใครก็แล้วแต่ แต่บอกได้เลยว่านี่แหละ คือ การเล่นที่เหมาะกับโจนส์มากๆ เขาเล่นน้อยจังหวะ เล่นง่ายๆ ออกบอลง่ายๆ ม้วนหรือเล่นยากบางจังหวะที่จำเป็น ไม่ใช่เล่นยากตลอด สักแต่จะม้วนตลอด มีโอกาสเมื่อไหร่ขอให้ได้ม้วนแล้วค่อยจ่าย มันต้องเล่นแบบนี้ไอ่น้องโจนส์ เลี้ยงไม่ต้องมาก ใช้ทักษะเท่าที่จำเป็น ออกบอลง่ายๆ ไม่ต้องดึงช้าอะไรมากมาย นี่แหละคือฟอร์มที่แฟนๆ อยากเห็นเลย รักษาฟอร์มและการเล่นแบบนี้ไปเรื่อยๆ นะไอ่น้อง เอาใจช่วยเสมอสถิติหลังเกมของเคอร์ติส โจนส์ผ่านบอล 58 ครั้งผ่านบอลสำเร็จ 84.5% (สำเร็จ 49 จากทั้งหมด)คีย์พาส 1 ครั้งชนะการแทคเกิล 2 ครั้งแย่งบอลกลับมาครอง 10 ครั้งเลี้ยงบอลสำเร็จ 2 ครั้ง (100%)โอกาสยิง 4 ครั้ง1 ประตูส่วนหลุยส์ ดิอาซ ต้องบอกว่าเหมือนได้เห็นดิอาซในร่างที่เขาย้ายมาลิเวอร์พูลแรกๆ ช่วงก่อนบาดเจ็บหัวเข่าในฤดูกาลที่แล้ว เกมนี้ดิอาซดีจริงๆ ครับ เขาไม่ได้เป็นเดอะ มุ่งแบบหลายเกมก่อนหน้านี้ จังหวะที่ควรจ่ายเขาก็จ่าย ปั่นป่วนแนวรับของนิวคาสเซิลได้ตลอด 65 นาทที่เขาอยู่ในสนาม กระชากลากเลื้อย วิ่งเพรสซิงไม่มีหมด สมกับฉายาปีกใบท่อมจริงๆ ในเกมนี้ หลังจากที่หายไปนานกับฉายานี้ นานพอสมควรแล้วที่ไม่ได้เห็นดิอาซร่างนี้ เพราะก่อนหน้านี้เขาเหมือนเป็นเดอะ มุ่ง เล่นฟุตบอลชายเดี่ยว คิดอะไรไม่ออกก็เลี้ยงๆๆ จี้ๆๆ กระชากทำได้แค่นี้ แต่เกมนี้ครบเครื่องเลย แค่ดิอาซไม่เล่นแบบชายเดี่ยว จ่ายในจังหวะที่ต้องจ่ายแค่นั้น ฟอร์มดีๆ ก็กลับมา แถมในเกมรับก็ลงมาช่วยโจ โกเมซได้ตลอดและนี่คือสถิติหลังเกมของหลุยส์ ดิอาซผ่านบอล 32 ครั้งผ่านบอลสำเร็จ 84.4% (สำเร็จ 27 จากทั้งหมด)คีย์พาส 2 ครั้งดักบอล 1 ครั้งแย่งบอลกลับมาครอง 3 ครั้งเลี้ยงบอลสำเร็จ 5 ครั้ง3. ดูบราฟกาโคตรเหนียวถึงแม้ว่าในเกมนี้เดอะ แม็กพายส์จะบุกมาปราชัย แต่รูปเกมโดยรวมแล้วก็ถือว่าทำได้ดีเลยทีเดียว โดยเฉพาะเกมรับที่ในวันนี้ไม่มีคีแรน ทริปเปียร์ แต่ก็ยังเล่นเกมรับได้อย่างเหนียวแน่นโดยเฉพาะคู่เซนเตอร์อย่างสเวน บอทแมนและฟาเบียน ชาร์ (บอทแมนโหม่งทำประตูตีตื้น 3-2 ได้อีกด้วย) ที่ช่วยกันเล่นเกมรับได้เป็นอย่างดี รวมถึงวาเลนติโน ลิฟราเมนโตและแดน เบิร์น นอกจากนี้เกมรุกของพวกเขาก็ใช่ย่อย แต่ละครั้งที่สวนกลับใส่ลิเวอร์พูลก็น่ากลัวเหมือนกัน เพราะมีทั้งแอนโทนี กอร์ดอนและอเล็กซานเดอร์ อิซัก โดยเฉพาะอิซักที่หากใครยังจำกันได้ในฤดูกาลที่แล้วที่เป็นซีซันแรกของอิซักกับนิวคาสเซิล เกมแรกที่เขาได้ลงเล่นกับนิวคาสเซิลคือการมาเยือนลิเวอร์พูล แถมประตูแรกในพรีเมียร์ลีกก็มาในเกมเปิดตัวที่พบกับลิเวอร์พูลนี่แหละ เป็นตัวแสบของลิเวอร์พูลจริงๆแต่ถ้าหากนิวคาสเซิลเก็บแต้มกลับบ้านได้ คนที่เหมาะแก่การเป็นแมน ออฟ เดอะ แมตช์ก็คงหนีไม่พ้นมาร์ติน ดูบราฟกาที่ในเกมนี้เป็นเดอะแบกเลย เซฟช่วยชีวิตนิวคาสเซิลหลายต่อหลายครั้ง รวมไปถึงการเซฟจุดโทษของโม ซาลาห์ในช่วงครึ่งแรกด้วย โอเคแหละว่าในหลายๆ จังหวะลิเวอร์พูลนั้นยิงไม่คม ยิงไปตรงตัวดูบราฟกาเองด้วย แต่อย่าลืมชมการยืนตำแหน่งของดูบราฟกาและจังหวะเซฟของเขาด้วย แต่ละครั้งที่เขาเซฟเขานัดมักจะเซฟและปัดบอลออกไปให้พ้นพื้นที่อันตรายตลอด มีเพียงจังหวะเซฟจุดโทษของซาลาห์ที่เจอเทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ซ้ำได้ แต่โชคดีที่เทรนท์นั้นยิงผิดเหลี่ยมข้ามคานออกไป แถมยังทำเสียจุดโทษในช่วงท้ายเกมอีกหนึ่งครั้ง แต่ที่เหลือนั้นดูบราฟกาคือคนสำคัญของนิวคาสเซิลเลย และนี่คือสถิติหลังเกมของมาร์ติน ดูบราฟกาครับเซฟ 10 ครั้งเซฟจุดโทษ 1 ครั้ง4. ดิโอโก โชตา "เดอะ จีเนียส"นี่เป็นอีกเกมที่เยอร์เกน คล็อปป์นั้น "มือทอง" ในการเปลี่ยนตัวอีกแล้ว หลังจากที่เขาทำการเปลี่ยนตัวผู้เล่นเซ็ตแรกทีเดียว 3 คนนั่นก็คือ โคดี กัคโป, ไรอัน กราเฟนแบร์กและดิโอโก โชตาที่ลงมาหลังจากที่สองคนแรกลงมาเพียงนาทีเดียว แต่นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในรูปเกมแล้วครับ เริ่มจากที่กัคโปก่อนก็แล้วกันครบ ในเกมนี้กัคโปสามารถลงมายิงได้ 1 ประตู และที่สำคัญก็คือโชตาครับ เพราะว่าการกลับมาของโชตา (ตั้งแต่เกมที่แล้ว) นั่นเท่ากับว่าลิเวอร์พูลได้อาวุธอันตรายกลับมา อาวุธที่แตกต่างจากตัวรุกคนอื่นๆ เขาเล่นด้วยสมองของแท้ เขามีเซนส์ฟุตบอลที่สูงมากๆ รู้ว่าต้องพาตัวเองไปอยู่ตรงไหน จุดไหน ต้องเล่นอย่างไรทีมถึงจะได้เปรียบ ถ้าหากในยุคก่อนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดมีโอเล กุนนาร์ โซลชาที่เป็นซูเปอร์ซับให้กับทีมอยู่เป็นประจำ ยุคนี้ลิเวอร์พูลก็มีโชตานี่แหละที่เป็นซูเปอร์ซับเกมนี้โชตาถูกเปลี่ยนลงมาในนาทีที่ 65 เพียง 25 นาที (ไม่รวมทดเจ็บ) เขานั้นสร้างความแตกต่างได้อย่างชัดเจน และเพียง 8 นาทีให้หลังจากที่ลงสนามมา เขาก็จัดการทำแอสซิสต์ให้กับโจนส์ยิงเข้าไปแบบง่ายๆ ในจังหวะนี้ถ้าเป็นกองหน้าคนอื่นๆ ก็อาจจะยิงสวนตัวดูบราฟกาไปแล้ว แต่ในจังหวะนี้ก่อนที่ซาลาห์จะผ่านบอลมาให้ เขาสแกนรอบๆ ตัวและมองไปด้านซ้ายของตัวเอง เขาเห็นโจนส์วิ่งเข้ามาในกรอบเขตโทษแล้ว พอซาลาห์จ่ายทะลุช่องมาให้กับเขา เขาตัดสินใจปาดเข้ากลางมาให้โจนส์ยิงจ่อๆ เข้าไปแบบง่ายดาย เล่น For Team จริงๆ สำหรับโชตา แถมในช่วงท้ายเกมเขาก็สามารถเรียกจุดโทษให้กับทีมได้อีก หลังจากที่รับบอลแทงทะลุช่องจากอเล็กซิส แม็คอัลลิสเตอร์อีกหนึ่งตัวสำรอง โชตาเลี้ยงเขาไปในกรอบเขตโทษก่อนแตะหลบดูบราฟกาและโดนทำฟาล์วในเขตโทษ (จังหวะนี้อาจจะดูเหมือนพุ่งล้ม แต่หากดูภาพช้าแล้วจะเห็นว่าข้อศอกของดูบราฟกานั้นไปโดนบริเวณเท้าซ้ายโชตา) และนี่คือสถิติหลังเกมของดิโอโก โชตาครับผ่านบอล 6 ครั้ง (สำเร็จ 5 ครั้ง)ได้ฟาล์ว 3 ครั้งคีย์พาส 1 ครั้ง1 แอสซิสต์5. "คิงโม" เบิ้ลก่อนไป AFCONก่อนจะไปพูดถึงความสุดยอดของ "คิงโม" โมฮาเหม็น ซาลาห์ ขอแวะตินิดหน่อยสำหรับซาลาห์ บอกตรงๆ สิ่งเดียวที่ไม่ชอบโมเลยคือการยิงจุดโทษของเขา หลายๆ ครั้งที่เขามักจะชอบยิงอัดเต็มแรงซึ่งผลก็คือไม่หลุดกรอบก็คือโดนเซฟ เพราะเขายิงเต็มแรงไม่พอ เขายังชอบยิงไปตรงกลางประตู เช่นเดียวกับในเกมนี้ เขามีโอกาสยิงจุดโทษ 2 ครั้ง โดยครั้งแรกนั้นเขาเลือกที่จะยิงอัดเข้าไปตรงกลางประตู เยื้องไปทางซ้ายมือของดูบราฟกานิดหน่อยและสุดท้ายก็โดนเซฟได้ แต่พอครั้งที่สอง โมเลือกที่จะเปลี่ยนทิศทางการยิง สุดท้ายก็กลายเป็นประตู ใจจริงอยากให้เปลี่ยนคนยิงด้วยซ้ำนะ แต่ถ้าในเมื่อเพื่อนร่วมทีมรวมถึงคล็อปป์ยังไว้ใจในตัวซาลาห์ก็ไม่ขัดอะไร เพียงแต่อยากให้ซาลาห์นั้นมีวิธีการยิงที่ชัวร์และเดาทางยากมากกว่านี้ แค่นั้นจริงๆมาถึงความสุดยอดของซาลาห์แล้วครับ เป็นอีกครั้งที่ซาลาห์โชว์ฟอร์ม โชว์คลาสบอลรวมไปถึงตอกย้ำว่าสโมสรคิดถูกที่ต่อสัญญาเขาออกไปถึงปี 2026 รวมไปถึงการปัดข้อเสนอมูลค่ามหาศาลจากทีมในลีกซาอุฯ เพราะ ณ ตอนนี้ซาลาห์ยิงจนขึ้นไปเป็นดาวซัลโวร่วมกับเออร์ลิง เบราท์ ฮาแลนด์ ไอ้เด็กนรกแตกของแมนเชสเตอร์ ซิตีแล้ว แถมยังเป็นผู้นำในการแอสซิสต์ของพรีเมียร์ลีกอีกด้วยที่จำนวน 14 ประตู 8 แอสซิสต์ ในเกมนี้ถึงแม้ว่าเขาจะยิงจุดโทษพลาดไปในครั้งแรกแต่ก็สามารถแก้ตัวได้ในครั้งที่สอง แถมระหว่างเกมเขาก็สามารถปั่นป่วนแดน เบิร์นที่ในเกมนี้รับบทเป็นแบ็คซ้ายได้ตลอดทั้งเกม แถมยังเหมือนเดิมครับ ยังคอยลงมาช่วยเกมรับเสมอเกมรุกก็ไม่ต้องพูดถึงครับ ปั่นป่วนแนวของนิวคาสเซิลไปแล้ว การผ่านบอลของซาลาห์นั้นก็สุดยอดไม่แพ้กัน ลูกขึ้นนำ 2-1 และ 3-1 นั้นมาจากความสุดยอดของซาลาห์ทั้งสองลูก ลูก 2-1 อย่างที่ได้เล่าไปในจังหวะที่โชตาแอสซิสต์แล้วครับ ยิ่งไปดูภาพช้าอีกทีก็จะเห็นอีกว่าเขาจ่ายลอดขาของเบิร์นและไทม์มิงรวมไปถึงน้ำหนักในการจ่ายให้โชตานั้นก็พอดีแบบพอดีมากๆ โชตาสามารถเล่นต่อได้ง่ายๆ เป็นการทำพรี-แอสซิสต์ที่ยอดเยี่ยมมาก ยิ่งลูก 3-1 ยิ่งสุดยอดที่เขาแอสซิสต์ให้กับกัคโป ซาลาห์ดีดไซด์ก้อยมาให้กับกัคโปยิงเข้าไป ผมไม่รู้จะสรรหาคำมาสรรเสริญกับซาลาห์ยังไงแล้ว เพราะมันสุดยอดจริงๆแต่มันน่าเสียดายที่หลังจบเกมนี้ ซาลาห์จะต้องไปรับใช้ทีมชาติอียิปต์ที่จะลงทำศึกแอฟริกัน คัพ ออฟ เนชัน เช่นเดียวกับวาตารุ เอนโดที่กลับไปรับใช้ทีมชาติญี่ปุ่นในศึกเอเชียน คัพ กลายเป็นปัญหาชวนปวดหัวของคล็อปป์และทีมงานจริงๆ ในการหาตัวแทนของ 2 ตัวหลักของทีมในเวลานี้ ฟอร์มกำลังเข้าฝักทั้งคู่เลยและนั่นก็คือ 5 ประเด็นหลังเกมที่ลิเวอร์พูลเปิดแอนฟิลด์เอาชนะนิวคาสเซิลไปได้ 4-2 ถือว่าเป็นการเปิดศักราชใหม่ได้อย่างสวยงาม ความจริงก็ยังมีอีกหลายประเด็นที่อยากพูดถึงในเกมนี้ เพราะถึงแม้จะยิงไม่ได้แต่ก็ยังดีที่มีแอสซิสต์สำหรับดาร์วิน นูนเญซ, การกลับมาเยือนแอนฟิลด์อีกครั้งของ 2 ตำนานบราซิลอย่างโรแบร์โต เฟอร์มิโนและฟาบินโญที่ในเกมวันนี้ทั้งคู่มาเข้าให้กำลังใจอดีตเพื่อนร่วมทีมและเป็นหนึ่งในผู้ชมในสนามด้วย สุดท้ายโมเมนต์ที่น่ารักที่สุดของเกมนี้คือหลังจบเกมเยอร์เกน คล็อปป์ก็เดินขอบคุณแฟนๆ ปกติแต่ที่ไม่ปกติก็คือเขาดันทำ "แหวนแต่งงาน" ตกไปในสนามในจังหวะปรบมือขอบคุณแฟนๆ หาแล้วหาอีกจนต้องในการ์ดในสนามช่วยหา ยังดีที่หาเจอ ไม่เช่นนั้นมีแววได้นอนนอกบ้านแน่ๆ บอส 55555555555555555555 และก่อนจากกันไปก็เหมือนเดิมครับ มีสถิติหลังเกมที่น่าสนใจมาฝากด้วย สุดท้ายนี้ก็ขอกล่าวสวัสดีปีใหม่ 2024 คุณผู้อ่านอีกครั้งนะครับ Happy New Year 2024 ครับสถิติหลังเกมที่น่าสนใจ150 ประตูที่โมฮาเหม็ด ซาลาห์ยิงให้กับลิเวอร์พูลในพรีเมียร์ลีก ทำให้เขากลายเป็นนักเตะคนที่ 5 ที่สามารถยิงแตะหลัก 150 ประตูในพรีเมียร์ลีกให้กับสโมสรเดียวต่อจากแฮร์รี เคนกับท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ (213 ประตู), กุน อเกวโรกับแมนซิตี้ (184 ประตู), เวย์น รูนีย์กับแมนยู (183 ประตู) และเธียร์รี อองรีกับอาร์เซนอล (175 ประตู)นอกจากนี้ซาลาห์ยังทำสถิติเป็นนักเตะคนที่ 3 ที่มีส่วนร่วมกับประตูในพรีเมียร์ลีกมากกว่า 20 ครั้ง (ยิง+แอสซิสต์) ติดต่อกัน 7 ฤดูกาล หลังจากที่ก่อนหน้านี้แฮร์รี เคนทำไว้ 9 ฤดูกาลติดต่อกัน (14/15 ถึง 22/23) และเธียร์รี อองรี 7 ฤดูกาลติดต่อกัน (99/00 ถึง 05/06)ซาลาห์เป็นคนแรกที่พลาดจุดโทษแต่ก็ยังสามารถยิงจุดโทษเข้าเป็นแก้ตัวและทำพรี-แอสซิสต์ได้ในเกมเดียว (พรีเมียร์ลีก) นับตั้งแต่ที่เวย์น รูนีย์เคยทำไว้ในเกมที่เอฟเวอร์ตันพบกับสวอนซีในเดือนธันวาคม 2017นับตั้งแต่ฤดูกาล 2017/2018 หรือซีซันแรกที่ซาลาห์ย้ายมาร่วมทีมลิเวอร์พูล ซาลาห์พลาดจุดโทษในพรีเมียร์ลีกไปแล้ว 6 ครั้งจากการโอกาสยิงจุดโทษทั้งหมด 30 ครั้ง มากที่สุดเหนือนักเตะทุกคนในลีก และในทีมลิเวอร์พูลมีเพียงสตีเวน เจอร์ราร์ดและไมเคิล โอเวนที่พลาดจุดโทษมากกว่าซาลาห์ (9 และ 7 ครั้งตามลำดับ)ลิเวอร์พูลไม่แพ้นิวคาสเซิลในเกมเหย้าของพรีเมียร์ลีกเป็นเวลา 28 เกมติดต่อกัน (ชนะ 23 เสมอ 5) ทำให้พวกเขาเข้าไปร่วมสถิติไม่แพ้ทีมๆ เดียวในบ้านติดต่อกันยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ร่วมกับเชลซีที่ไม่แพ้เอฟเวอร์ตัน 28 เกมเช่นกันค่า xG 7.27 ของลิเวอร์พูลที่เกิดขึ้นในเกมนี้ กลายเป็นค่า xG ที่สูงที่สุดต่อ 1 เกม (พรีเมียร์ลีก) สูงที่สุดนับตั้งแต่บันทึกสถิติกันมา (ฤดูกาล 2010/2011)นิวคาสเซิลแพ้ 5 เกมจาก 6 เกมพรีเมียร์ลีกหลังสุด เก็บชัยชนะได้เพียงเกมเดียว (ชนะฟูแลม 3-0) และผลจากการแพ้เกมนี้ ทำให้พวกเขาทำสถิติแพ้เกมเยือน 5 เกมติดต่อกันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มกราคม 2021มาร์ติน ดูบราฟกาทำสถิติเซฟ 10 ครั้งในเกมนี้ ทำให้เขาร่วมสถิติในการเซฟเยอะที่สุดในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ และจากการเซฟจุดโทษของซาลาห์ทำให้นี่เป็นการเซฟจุดโทษในพรีเมียร์ลีกเป็นครั้งที่ 2 ของเขาหลังจากที่เคยเซฟได้ในเกมที่พบกับวัตฟอร์ดในเดือนพฤษภาคม 2018ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจากOpta AnalystOfficial Instagram ของโมฮาเหม็ด ซาลาห์ (@mosalah)Official Facebook ของลิเวอร์พูล, นิวคาสเซิลและพรีเมียร์ลีกภาพปก 1, ภาพปก 2, ภาพปก 3, ภาพประกอบ 1, ภาพประกอบ 2, ภาพประกอบ 3, ภาพประกอบ 4 และภาพประกอบ 5 เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !