เชลซี กับความทรงจำของเหล่าสิงห์บลูส์ ในเกมนัดชิงชนะเลิศยูฟ่าเเชมเปี้ยน ลีกส์ 2011/2012 มันยังคงตราบเท่าทุกวันนี้เชลซี เป็นสโมสรที่ชอบเกิดเรื่องดราม่าอยู่เสมอ ทำให้เหตุการณ์ในนัดชิงในนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยน ลีกส์ ฤดูกาล 2011/2012 มันคือปรากฏการณ์ที่ยังคงตราตรึงอยู่ในใจเหล่าสิงห์บลูส์ทุกคน มันเป็นความรู้สึกที่ออกมาเป็นคำพูดได้ยาก แต่มันอิ่มเอมอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ ความพิเศษของ เชลซี แชมป์ยุโรปสมัยแรกกับแชมป์ยุโรปสมัยที่สอง ความสนุกและความกดดันไม่ต่างกันมาก ทว่านัดชิงกับเสือใต้ บาเยิร์น มิวนิค มันมีอะไรที่มากกว่านั้น ความดราม่า ความประหลาด ความผิดพลาด หรือหลายๆอย่าง มันเกิดขึ้นตลอดทั้งเกม จึงเป็นสาเหตุที่แฟนเชลซียังคงฝังใจมาจนถึงทุกวันนี้ ไม่ลืมว่าที่มิวนิคคืนนั้น มันมีครบทุกอารมณ์ ทั้งนักตะเองและทุกคนที่อยู่ในสนามและในปีนั้น เชลซีมาถึงนัดชิงชนะเลิศได้ ถือว่าทำได้ดีเกินคาดมากๆ บางทีเรื่องโชคเรื่องดวง อาจจะมีส่วนเกี่ยวเป็นไปได้ ทำให้เชลซีตะลุยขวากหนามทะลุสู่นัดชิง แถมการเปลี่ยนผู้จัดการทีมกลางคันจากอังเดร วิลลาส โบอาส มาเป็นโรแบร์โต ดิ มัตเตโอ เขาเรียกศรัทธาจากแฟนบอลกลับมาได้ นำขวัญกำลังใจผู้เล่นให้เป็นหนึ่ง เค้นฟอร์มดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ออกมาได้ทันการพอดี ความเข้มข้นในวันนั้น มันจึงเป็นโมเมนต์ที่สำคัญ ย้อนเวลากลับไปในฤดูกาล 2011/2012 เชลซีชุดนั้น ผ่านความเป็นความตายมาแทบจะทั่งฤดูกาล มองกลับไปที่รอบ 16 ทีมสุดท้าย ในรายการยูฟ่า แชมเปี้ยน ลีกส์ ซึ่งเชลซี พบกับ นาโปลี ยอดทีมจากแดนมะกะโรนี นัดแรกบุกไปโดนอัดกลับมา 3-1 วินาทีนั้น แฟนสิงห์บลูส์ถอดใจ หลายคนเริ่มหมดหวังแล้ว แม้กระทั่งแฟนบอลฮาร์ดคออย่างผู้เขียนเอง มันยากมากที่ทีมของพวกเราจะกลับมา เพราะนาโปลีในขณะนั้น ประกอบไปด้วย เอดิสัน คาวานนี่, กาเอล ลาเวซซี่, มาเร็ค ฮัมซิค เป็นต้น ทุกรายที่เอ่ยนามมา ทุกคนล้วนอยู่ในจุดพีคแต่แล้ว สิงห์ก็คือสิงห์อยู่วันยังค่ำ เหล่าขุนพลสิงห์บลูส์ ระเบิดฟอร์มเทพไล่ถลุง ทบต้นทบดอก 4-1 ทะลุเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศ โดยพบกับยักษ์ใหญ่จากลาลีกา สเปน ซึ่งในตอนนั้น ขุนพลของบาร์เซโลน่า อยู่ในเกรดต่างดาว เรียกได้ว่าเชลซีเจอกระดูกชิ้นโตเลยทีเดียว สำหรับผลนัดในแรกที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ จบลงด้วยชัยชนะของเชลซี 1-0 จากประตูโทนของ ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา นัดที่สอง ยกพลไปเยือนที่สนามคัมป์นู รังเหย้าของเจ้าบุญทุ่ม บาร์เซโลน่ามีดราม่าเกิดขึ้น เมื่อโชคไม่เข้าข้าง ลิโอเนล เมสซี่ ดาวยิงตัวฉกาจของทีม ที่ฤดูกาลนั้นเจ้าตัวยิงแบบถล่มทลาย ในนั้น จนแล้วจนรอด เมสซี่ ก็ไม่อาจแผลงฤทธิ์ได้ ทีมได้จุดโทษกลับยิงชนคานเต็มๆ รวมสกอร์ 2 นัด 2-2 เชลซีผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จเป็นครั้บที่ 2สนามนัดชิงชนะเลิศ จัดขึ้นที่สนามอัลลิอันซ์อาเรน่า ซึ่งเป็นสนามเหย้าของบาเยิร์น มิวนิคอีกด้วย สื่อทุกสำนัก แทบจะฟันธง ร้อยเปอร์เซ็น ว่าแชมป์จะต้องตกเป็นของบาร์เยิร์น มิวนิค ทุกๆส่วนประกอบ เป็นใจให้เสือใต้ทั้งหมด อยู่ที่ว่า เสือใต้จะจบเกมใน 90 นาทีได้ไหมแค่นั้น แม้แต่แฟนสิงห์บลูหลายต่อหลายคน มากกว่า 90 เปอร์เซ็น บอกว่าโอกาสที่จะคว้าแชมป์ในบ้านเสือใต้นั้น ยากถึงยากที่สุด แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ในโลกของฟุตบอล สำหรับนักเตะเชลซีในคืนนั้น นำทัพโดย โรแบร์โต ดิ มัตเตโอผู้จัดการทีม ( อดีตนักเตะของทีม ) ส่วนนักเตะในทีมชุดนั้น นำทัพโดยซีเนียร์ของทีมอย่าง แฟรงค์ แลมพาร์ด, ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา, แอชลี่ย์ โคล, ปีเตอร์ เช็ค เป็นต้น ส่วนบาเยิร์น มิวนิค นำโดยกุนซือมากฝีมืออย่าง จุ๊ปป์ ไฮย์เกส นักเตะชูโรงโดย อาร์เยน ร็อบเบน,ฟร้อง ริเบรี่, มานูเอล นอยเออร์, มาริโอ โกเมซ, เดวิด อลาบา นี่คือตัวผู้เล่นเพียงคร่าวๆของทั้งสองทีมเท่านั้น ความได้เปรียบเสียเปรียบ อยู่ฝ่ายเสือใต้ บาเยิร์น มิวนิค ที่ได้เล่นรังของตัวเอง แถมเป็นสนามนัดชิงชนะเลิศอีกด้วย และฟอร์มการเล่นโดยรวมเสื้อใต้ดีกว่าแม้กระทั่งตัวผู้เล่นเอง แฟนสิงห์บลูหลายต่อหลายคน บอกว่าโอกาสที่จะคว้าแชมป์ในบ้านเสือใต้นั้น ยากถึงยากที่สุดเริ่มเกมส์การแข่งขัน เจ้าบ้านกดดันทีมเยือนเชลซีอย่างหนัก เชลซีแทบไม่มีโอกาสได้โต้ตอบเลย มีเพียงจังหวะของซาโลมง กาลู ที่ดูใกล้เคียงที่สุดในครึ่งแรกของการแข่งขัน ครึ่งหลังมา เกมส์ก็คงรูปแบบเดิม เจ้าบ้านเดินเกมบุกสารพัดที่จะครีเอทออกมา แต่ก็ไม่ผ่านปีเตอร์ เช็ค ที่วันนั้นเผอิญฟอร์มเข้าฝักสุดขีด จนกระทั่งล่วงเลยมาถึงนาทีที่ 83 เป็นโธมัส มุลเลอร์ โหม่งให้บาร์เยิร์น มิวนิค นำไปก่อน จากนั้นเพียงแค่ 2 นาที ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา สวมบทฮีโร่ ทะยานโขกจากลูกเตะมุมของ ฆวน มาต้า เต็มกะบาล บอลพุ่งแรงชนิดที่นอยเออร์ปัดไม่ออก เชลซีตีเสมอเป็น 1-1จากนั้นทำไรกันไม่ได้เสมอกันใน 90 นาที ต่อเวลาพิเศษออกไปหลังจากเริ่มเกมต่อเวลามาไม่นานบาเยิร์นได้จุดโทษ จากที่ดร็อกบาไปทำฟาวล์ ฟร้อง ริเบรี่ ทำให้อาร์เยน ร็อบเบน รับหน้าที่สังหาร แต่ปรากฎว่า ร็อบเบนยิงไปติดเซฟของปีเตอร์ เช็ค ซะงั้น ทำให้เชลซียังมีโอกาสต่อไป จนครบ 120 นาทีต้องตัดสินด้วยการดวลจุดโทษ ผลปรากฎว่าเชลซี ยิงแม่นกว่า เอาชนะจากการดวลจุดโทษไปสกอร์รวม 5-4 เชลซีคว้าแชมป์ ยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก สมัยแรกในประวัติศาสตร์ได้สำเร็จ พร้อมส่งดร็อกบาขึ้นเป็นคิงส์ของสโมสรและส่งท้ายในการสวมเสื้อเชลซีในฤดูกาลนั้นเพราะอะไรถึงแฟนเชลซีหลายคน ถึงยกให้แมตช์นี้เป็นแมตช์พิเศษขนาดนั้น กว่าจะคว้าแชมป์มาได้นั้น อุปสรรคร้อยพันแปดคอยขัดขวาง เชลซีเคยเจ็บปวดมากที่สุดที่มอสโก 2008 และ2009 โดนปล้นชัยชนะ จากการตัดสินไม่เที่ยงตรงของผู้ตัดสิน ตราบาปที่ยังคงอยู่ในจากความเจ็บ เมื่อความสำเร็จอยู่แค่เอื้อมกลับทำไม่ได้ เมื่อคว้ามันมาได้ มันย่อมหอมหวานสุดๆไปเลย ผมเชื่อว่าวันนั้น แฟนเชลซีส่วนใหญ่ ต้องมีเสียน้ำตากันบ้างแหละ เพราะบอลกว่าจะจบ ก็เล่นซะเกือบสว่าง แถมดราม่าเกิดขึ้นทั้งเกม แต่ก็คุ้มค่าที่ได้ดู เพราะเราอยู่ข้างกันในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเจออะไรก็ตามถัดกลับมา เชลซีในยุคปัจจุบันเปลี่ยนมือจากเสี่ยหมี่ มาเป็น ทอดด์ โบห์ลี นักธุรกิจชาวอเมริกัน จากทีมที่เคยบินสูง มีเอกลักษณ์ มีความกระหายชัยชนะ เล่นเพื่อแฟนบอล มันเปลี่ยนไปแล้ว เชลซีเข้าสู่ยุคใหม่แล้ว ต้องรอดูกันว่าในอนาคตนี้ สโมสรจะเป็นไปในทิศทางใดก็ตามแต่ สำหรับแฟนเชลซีแล้ว ไม่ว่าจะเชียร์มากี่ปี เชียร์ก่อนเชียร์หลัง ผมคิดว่าความรู้สึก หรือหัวอกเดียวกันมันเชื่อมต่อถึงกัน เราจะยังคงยืนหยัดท่ามกลางพายุลูกใหญ่ลูกนี้ ยิ่งตอนนี้ สถานณ์ทีมดิ่งลงเหวสุดๆ หลายปัจจัย หลายเหตุผล ทำให้เชลซีพังไม่เป็นท่าแบบนี้ อยากให้ทุกท่านอดทน ให้กำลังใจกัน เพราะความสำเร็จ มันไม่ได้มาโดยง่าย เวลาจะให้คำตอบ เราควบคุมไม่ได้ ได้แค่ให้กำลังใจเท่านั้น หากเราอยู่ข้างกัน เคียงบ่าเคียงไหล่กับสโมสรทุกครั้งที่ลงแข่งขัน เจ็บปวดบ้าง โมโหบ้างเป็นเรื่องธรรมดา แต่เมื่อทุกอย่างลงตัว สมบูรณ์พร้อม ความสำเร็จก็ไม่ไกลเกินเอื้อม เมื่อถึงวันนั้น เราจะอยู่ร่วมกัน เพื่อดื่มด่ำความสำเร็จ เฉกเช่นเดียวกัน วันวานอันหอมหวานที่มิวนิค#chelsea #เชลซี2012 #สิงห์บลูส์ #chelsea2023เครดิตภาพทั้งหมดจาก Facebook: Chelsea Football Club และ Twiter: Chelsea FCที่มารูปปก : Chelsea Football Club - ตกแต่งภาพจาก : photoshopรูปประกอบที่ 1 : Chelsea Football Clubรูปประกอบที่ 2 : Chelsea Football Clubรูปประกอบที่ 3 : Chelsea Football Clubรูปประกอบที่ 4 : Chelsea Football Clubอัปเดตข่าวสาร ติดตามผลการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกแบบไม่พลาดทุกนัดที่ ทรูไอดี คอมมูนิตี้ ห้อง 'ฟุตบอล'