สิ้นสุดและปิดฉากตำนาน 12 ปีไปเป็นที่เรียบร้อยครับสำหรับการเดินทางของเด็กหนุ่มจากซันเดอร์แลนด์ที่ย้ายเข้ามาสู่ทีมยักษ์หลับในขณะนั้นอย่าง "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล Liverpool ผ่านร้อนผ่านหนาว ทุกข์ สนุก ผิดหวัง สมหวังมาด้วยกัน ใช่ครับ ผมกำลังพูดถึง "กัปตันเฮนโด้" จอร์แดน เฮนเดอร์สันครับ เรียบร้อยอย่างเป็นทางการแล้วสำหรับการอำลาทีมครั้งนี้หลังจากที่มีข่าวมาหลายสัปดาห์ เมื่อช่วงดึกวันที่ 26 กรกฎาคมเจ้าตัวได้โพสต์คลิปอำลาและเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมาของเมื่อวาน (27 กรกฎาคม) สโมสรลิเวอร์พูลก็ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าได้ปล่อยตัวจอร์แดน เฮนเดอร์สัน กัปตันทีมไปร่วมทีมอัล-เอตติฟาคที่มีสตีเวน เจอร์ราร์ดเป็นผู้จัดการทีมคุมทีมอยู่ สำหรับการอำลาครั้งนี้ผมจึงได้เขียนบทความนี้ขึ้นมาครับ โดยบทความนี้มีชื่อว่า "You'll be Liverpool's Captain (1)4ever (ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะกัปตันเฮนโด้)"บอกตรงๆ ว่าทำใจยากมากสำหรับเหตุการณ์นี้ ผมไม่เคยคิดว่าเฮนเดอร์สันจะย้ายจากทีมไปไวขนาดนี้ ผมคิดไว้ว่าคงอีก 2-3 ปีแหละที่เฮนโด้จะแขวนสตั๊ดหรืออำลาทีม เพราะปีนี้แกก็อายุ 33 ปีแล้ว ภาพในหัวของผมคือไม่เลิกเล่นที่ลิเวอร์พูลก็คงย้ายกลับไปที่ซันเดอร์แลนด์และแขวนสตั๊ดกับทีมแมวดำ โดยระหว่าง 2-3 ปีที่คิดไว้นี้ก็คงลดบทบาทของตัวเองมาเป็นตัวสำรอง เป็นพี่เลี้ยงให้กับน้องๆ ภายในทีม เพราะเยอร์เกน คล็อปป์ก็เริ่มถ่ายเลือดใหม่แล้ว ดึงกองกลางกลุ่มใหม่เข้ามาแล้ว เฮนโด้คงอยู่ประคองน้องๆ เหมือนที่เจมส์ มิลเนอร์เคยทำในช่วงที่ผ่านมา แต่ภาพนั้นมันมาถึงเร็วกว่าที่คิดไว้อีก ภาพที่เฮนโด้ออกจากทีมไป มันมาไวเกินจะทำใจได้ถ้าหากว่าทำไมผมถึงอินกับเฮนโด้มากนัก ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน คงเพราะผูกพันแหละมั้ง เพราะตั้งแต่ผมเชียร์ลิเวอร์พูลมา กัปตันคนแรกที่ผมเห็นก็คือสตีเวน เจอร์ราร์ด คนที่สองก็คือกัปตันเฮนโด้นี่แหละที่รับช่วงต่อจากเจอร์ราร์ด ผมไม่เคยอยู่ในช่วงที่ทีมเปลี่ยนผ่านกัปตันแบบนี้มาก่อน อาจจะไม่ได้เหมือนแฟนแมนยู, เชลซี หรืออาร์เซนอลที่เปลี่ยนผ่านกัปตันมาหลายคนแล้ว และเรื่องราวของเฮนโด้นั้นมันทำให้ผมรักและศรัทธาในตัวกัปตันทีมคนนี้สุดๆ ไปเลย ไม่แพ้เจอร์ราร์ดเลยผมยังจำวันแรกที่เฮนโด้ย้ายเข้ามาได้เลย มันเกิดขึ้นในฤดูกาล 2011/2012 ที่เคนนี ดัลกลิชที่ ณ ตอนนั้นยังไม่ได้รับยศเซอร์ กลับมาคุมต่อจากรอย ฮอดจ์สันซึ่งถือว่าเป็นการกลับมาคุมทีมเป็นครั้งที่ 2 ของเซอร์เคนนี ตอนนั้นค่าตัวของเฮนโด้อยู่ที่ราวๆ "20 ล้านปอนด์" ค่าตัวระดับ 20 ล้านปอนด์ในยุคนั้นถือว่าเยอะมากครับและยิ่งกับเด็กดาวรุ่งที่โนเนมในตอนนั้นถือว่าแพงมากกกกก แถมซื้อมาจากทีมที่ไม่ใช่ทีมใหญ่อะไรด้วยอย่างซันเดอร์แลนด์ ไอ่เด็กนี่มันเป็นใครวะ ทำไมค่าตัวมันแพงจังวะกับไอ่เด็กอายุ 21 ขวบ ผลงานก็ยังไม่มีอะไรให้โดดเด่นเลย แต่มีเรื่องเล่าเรื่องนึงครับว่า เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่ในขณะนั้นยังคงคุมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดอยู่ก็ได้ให้ความสนใจในตัวเฮนโด้เหมือนกัน เนื่องจากผู้จัดการทีมของซันเดอร์แลนด์ในตอนนั้นก็คือ สตีฟ บรูซ อดีตลูกทีมของเซอร์อเล็กซ์เป็นคนแนะนำให้ท่านเซอร์ดึงตัวไป แต่ด้วยเหตุผลเรื่องของ "ท่าวิ่ง" ใช่ครับ อ่านไม่ผิดครับ เพราะท่าวิ่งของเฮนโด้ทำให้ป๋าเฟอร์กี้ไม่ดึงตัวไปร่วมทีมแมนยู เนื่องจากมีการวิเคราะห์กันว่าท่าวิ่งของเฮนโด้นั้นมันแปลกและเสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บได้ง่าย คิดภาพนั้นไม่ออกเหมือนกันนะกับภาพที่เฮนโด้ใส่เสื้อแมนยู คงแปลกตาดีเหมือนกันตัดภาพกลับมาที่เฮนโด้กับหงส์แดงครับ มันเหมือนบทละครเลยครับเพราะเกมแรกของเฮนโด้ที่เปิดตัวกับลิเวอร์พูล มันคือเกมที่พบทีมเก่าของเขาอย่างซันเดอร์แลนด์ และผลในวันนั้นจบด้วยการเสมอกัน 1-1 และแล้ววันที่เขารอคอยก็มาถึงครับ วันที่เขาสามารถยิงประตูแรกให้กับลิเวอร์พูลได้ ผมจำภาพนั้นได้ดี ภาพนั้นยังติดตาผมอยู่เลยเพราะผมได้รับชมเกมนั้นแบบสดๆ เกมในวันนั้นคือเกมที่ลิเวอร์พูลเปิดบ้านเจอกับโบลตัน วันเดอร์เรอร์ส เขารับบอลมาจากเดิร์ก เค้าท์ทางด้านฝั่งขวาของกรอบเขตโทษก่อนที่จะยิงไปติดกองหลังก่อน 1 จังหวะแต่บอลยังเด้งมาเข้าทาง ทีนี้เขายิงด้วยเท้าซ้ายเข้าประตูไปอย่างสวยงาม กลายเป็นประตูแรกของเขากับทีมโดยในฤดูกาลแรกของเขานั้นดัลกลิชมักจะจับเขาไปยืนในตำแหน่งปีกขวา แน่นอนครับไม่ใช่ตำแหน่งที่ถนัดของเฮนโด้แต่เขาก็ไม่เคยเอ่ยปากบ่น ก้มหน้าก้มตาเล่นต่อไปถึงแม้จะโดนเสียงก่นด่าจากแฟนบอลมากมายแค่ไหนก็ตาม และฤดูกาลแรกของเขากับลิเวอร์พูลก็ถือว่าไม่เลวครับ เพราะมีแชมป์ติดไม้ติดมือมาอยู่บ้าง นั่นก็คือก็แชมป์ลีกคัพที่ในตอนนั้นยังชื่อว่าคาร์ลิง คัพ แถมได้รองแชมป์เอฟเอ คัพ จบฤดูกาลด้วยผลงานลงเล่น 48 เกมในทุกรายการ ยิงได้ 2 ประตู แอสซิสต์ 4 (ความจริงภาพรวมฟอร์มการเล่นของทีมก็ไม่ได้ดีเด่เท่าไหร่หรอก เพียงแต่มีแชมป์ติดมือมาแค่นั้น)เข้าสู่ฤดูกาลที่สองกับทีม (2012/2013) ฤดูกาลนี้ทีมมีการเปลี่ยนแปลง เพราะเซอร์เคนนีได้ลาออกจากตำแหน่งอีกครั้งและผู้จัดการทีมคนใหม่ก็คือ เบรแดน ร็อดเจอร์ส กุนซือหนุ่มไฟแรงจาก "หงส์ขาว" สวอนซี ผมคิดว่าฤดูกาลนี้แหละที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวตำนานของเฮนโด้ เพราะผมเชื่อว่าแฟนลิเวอร์พูลน่าจะเคยได้ยินเรื่องราวนี้ครับ เรื่องราวที่ร็อดเจอร์สต้องการดึงตัวคลินท์ เดมพ์ซีย์ กองกลางของฟูแลมในตอนนั้นมาร่วมทีม โดยในรายละเอียดการซื้อขายนั้นทางลิเวอร์พูลนั้นจะใส่เฮนโด้ไปเป็นส่วนหนึ่งของดีลนี้ด้วย เรียกง่ายๆ ว่าจะเอาเฮนโด้ไปแลกกับเดมพ์ซีย์มา ในดีลนี้ทั้ง 3 ฝ่ายจาก 4 ฝ่ายนั้นโอเคหมดแล้วทั้งฟูแลม ลิเวอร์พูลและเดมพ์ซีย์นั้นพอใจกับดีลนะ เหลือเพียงแต่ฝ่ายที่ 4 นั่นก็คือเฮนโด้ที่จะยินยอมหรือไม่ พอเฮนโด้รู้เรื่องเขาถึงกับร้องไห้ออกมา เขาก็เข้าไปคุยกับร็อดเจอร์สและปฏิเสธการย้ายทีม ไม่ขอเป็นส่วนหนึ่งในดีลนี้ และจะขออยู่สู้ต่อที่ลิเวอร์พูล สุดท้ายดีลนี้ก็ล่มลง และในเมื่อนักเตะขอต่อสู้กับทีมต่อ ที่ผมบอกว่าฤดูกาลนี้เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นตำนานของเขากับลิเวอร์พูลนั้น เพราะผมคิดว่าถ้าวันนั้นเฮนโด้ยอมย้ายไปฟูแลม เราก็คงไม่ได้เห็นภาพที่เฮนโด้ชูถ้วยแชมป์ได้มากมายขนาดนี้ เฮนโด้และลิเวอร์พูลอาจจะไม่มีวันนี้เลยก็ได้ ขอบคุณหัวใจนักสู้ของเฮนโด้ในวันนั้นจริงๆจนเข้าฤดูกาลที่ 3 (2013/2014) เท่านั้นแหละ "ร่างทอง" ของจอร์แดน เฮนเดอร์สันก็ได้จุติ ในฤดูกาลนี้เขารับบทบาทในตำแหน่งกองกลาง Box to Box เป็นห้องเครื่องคนสำคัญของทีม เป็นกองกลางที่เป็นเหมือนผึ้งงานของทีมคอยวิ่งคอยไปร่วมเล่นเกมรุกและคอยวิ่งลงมาช่วยเหลือเกมรับอยู่ตลอด หลายๆ ยังคงจำได้ครับว่านี่คือฤดูกาลที่ลิเวอร์พูลเข้าใกล้เคียงการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมากที่สุดฤดูกาลหนึ่ง เนื่องจากฟอร์มที่โคตรสุดยอดของหลุยส์ ซัวเรสที่ปีนั้นระเบิดฟอร์มได้โหดเหี้ยม ยิงในพรีเมียร์ลีกไป 33 ประตู ทุกแสงสปอตไลท์ฉายไปที่ซัวเรสกันหมด แต่คนที่หลบอยู่ในเงามืด คนที่คอย "ปิดทองหลังพระ" ช่วยเหลือทีมอยู่ตลอด คนที่เป็นหนึ่งในฟันเฟืองที่สำคัญของทีมในฤดูกาลนั้นก็คือเฮนเดอร์สันนี่แหละครับ สิ่งหนึ่งที่พิสูจน์ได้ว่าเขาสำคัญกับทีมมากในฤดูกาลนั้นก็คือในช่วง 4 นัดสุดท้ายของเกมลีก เขาไม่ได้ลงเล่นให้กับทีมเพราะติดโทษแบนจากใบแดงที่ได้รับในเกมที่เปิดแอนฟิลด์ชนะแมนซิตี้ 3-2 โดยหนึ่งในเกมที่เขาพลาดการลงเล่นก็คือในเกมที่ถูกเชลซีบุกมาชนะถึงแอนฟิลด์ 0-2 พร้อมกับเหตุการณ์ในตำนานของเจอร์ราร์ด และอีกเกมสุดช็อคซึ่งก็คือเกมต่อมาที่ลิเวอร์พูลบุกไปนำคริสตัล พาเลซก่อนถึง 0-3 แต่จบเกมที่ผลเสมอ 3-3 พร้อมกับภาพที่ซัวเรสร้องไห้อย่างหนัก นั่นก็คือเกมที่เฮนโด้ไม่มีชื่อในทีมเหมือนกัน สุดท้ายลิเวอร์พูลก็โดนแมนซิตี้แซงเข้าป้ายคว้าแชมป์ไปในท้ายที่สุดหลายคนเชื่อว่าการขาดหายไปของเฮนโด้ในช่วงท้ายฤดูกาลนั้นมันส่งผลให้แดนกลางของลิเวอร์พูลนั้นไม่มีประสิทธิภาพเหมือนเดิม การวิ่งขึ้นวิ่งลงอย่างกะม้าดีดของเขานั้นหายไปในช่วงท้ายของซีซัน คนที่มาทดแทนอย่างโจ อัลเลนก็ไม่สามารถทดแทนได้ และถ้าหากเฮนโด้ไม่โดนแบน ลิเวอร์พูลก็อาจจะได้แชมป์พรีเมียร์ลีกไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้วก็ได้เข้าสู่ฤดูกาลถัดมา (2014/2015) ฤดูกาลนี้คืออีกหนึ่งฤดูกาลที่น่าจดจำที่สุดฤดูกาลหนึ่งในชีวิตการค้าแข้งของเฮนโด้เลย ผมเชื่ออย่างนั้นนะ เพราะการจากไปของแดเนียล แอ็กเกอร์ รองกัปตันคนก่อนได้อำลาทีมกลับไปค้าแข้งกับทีมในบ้านเกิด คนที่ขึ้นมารับตำแหน่ง "รองกัปตัน" ต่อจากแอ็กเกอร์ก็คือเฮนโด้ ถึงแม้ผมจะบอกว่าฤดูกาลนี้น่าจะเป็นหนึ่งในฤดูกาลที่น่าจดจำของเขา สำหรับการขึ้นมาเป็นผู้นำของทีมรองจากเจอร์ราร์ด แต่มันก็มาพร้อมกับข้อครหา คำเหยียดหยาม การสบประมาทต่างๆ นานาว่าทีมคุณสมบัติเพียงพอหรือที่จะขึ้นมาเป็นผู้นำของทีม และมันยิ่งถาโถมใส่เขาหนักขึ้นไปอีกเมื่อเจอร์ราร์ดออกมาประกาศว่าฤดูกาลนี้จะเป็นฤดูกาลสุดท้ายของเขากับลิเวอร์พูล เขาจะย้ายไปค้าแข้งต่อที่แอลเอ กาแล็กซีที่เมเจอร์ลีก ซอคเกอร์ นั่นเท่ากับว่ากัปตันคนต่อไปของลิเวอร์พูล กัปตันที่จะรับช่วงต่อจากเจอร์ราร์ด โคตรกัปตัน ผู้ที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของทีม ผู้ที่เป็นเหมือนดั่งทรัพย์สมบัติอันล้ำค่าของทีมคือไอ่เด็กที่อายุเพิ่งพ้นเกณฑ์ดาวรุ่ง (24 ปี) ไอ่เด็กนี่มันยังไม่ดีพอกับการเป็นกัปตันทีม, ให้คนอื่นเป็นยังซะดีกว่า ฯลฯ เสียงบ่นต่างๆ มากมายเมื่อรู้ว่าเขาเป็นรองกัปตันและในฤดูกาลหน้าเขาจะเป็นกัปตันทีมคนใหม่ แต่สิ่งที่เฮนโด้ทำเหมือนเดิมนั่นก็คือการก้มหน้าก้มตาทำผลงานของตัวเองให้ดีที่สุดครับ รับฟังเสียงวิจารณ์แต่ไม่ตอบโต้ด้วยคำพูด แต่เป็นผลงานและความทุ่มเทต่างหากที่เขาใช้ในการตอบโต้ และเกมแรกที่เขาได้เดินนำลูกทีมลงสนามในฐานะกัปตันทีมก็คือเกมลีกที่พบกับสโต๊ก ซิตี้ โดยในเกมนี้เจอร์ราร์ดเป็นสำรอง และสุดท้ายฤดูกาลนั้นก็จบลงด้วยความล้มเหลวและไม่ได้โควต้าไปเล่น UCLพอเข้ามาสู่ฤดูกาลใหม่ (2015/2016) ฤดูกาลแรกที่เฮนโด้จะเป็นกัปตันทีมอย่างเต็มตัวก็มาถึง แต่อย่างที่ทุกคนทราบดีครับว่าร็อดเจอร์นั้นถูกปลดจากผลงานที่ย่ำแย่ และคนที่เข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมต่อจากบีร็อดก็คือเยอร์เกน คล็อปป์ในช่วงแรกที่คล็อปป์สร้างทีม คล็อปป์นั้นวางให้เฮนโด้คือมิดฟิลด์เบอร์ 6 หรือกองกลางตัวรับของทีมหรือกองกลางที่คุมจังหวะของทีม โดยการเล่นตำแหน่งนี้ทำให้เสียงก่นด่ากลับมาหาเฮนเดอร์สันอีกครั้ง เพราะภาพที่เห็นคือเขาแทบไม่ทำอะไรเลยนอกจากส่งบอล แปะบอลไปมาให้เพื่อนร่วมทีม จนได้รับฉายาว่า "อาแปะ" แต่หารู้ไม่ว่าการเล่นในตำแหน่งนี้ หน้าที่นี้ Role นี้ไม่ได้เล่นกันง่ายๆ การที่จะต้องคุมจังหวะของทีมไม่ให้เร็วเกินไป ช้าเกินไปไม่ใช่ใครที่จะทำได้ และเป็นอีกครั้งที่เฮนโด้ไม่ตอบโต้เสียงวิจารณ์ ก้มหน้าทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป และแล้วในวันที่การมาของ "ฟาบินโญ" ในฤดูกาล 2018/2019 มันทำให้คล็อปป์ได้ค้นพบตำแหน่งที่ลงตัวของเฮนโด้ นั่นก็คือกองกลางฝั่งขวา ซึ่ง Role ที่เล่นก็คือ Role ที่เคยเป็นร่างทองในฤดูกาล 2013/2014 และแทบจะอุดปาก กลบเสียงวิจารณ์ต่างๆ ได้ไปทั้งหมด เพราะเฮนโด้ไม่ต้องลงไปเล่นในตำแหน่งกองกลางตัวรับอีกแล้ว มีฟาบินโญมาทำหน้าที่แทนแล้ว หน้าที่ของเขาคือการเป็นตัวเชื่อมเกมด้านขวา ทำงานร่วมกับเทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาโนลด์และโมฮัมเหม็ด ซาลาห์ เขาจะขึ้นไปคนเชื่อมเกม เชื่อมการต่อบอลของเทรนต์และบังโม และจะวิ่งลงมาคอยซ้อนตำแหน่งในเกมรับของเทรนต์เวลาที่เขาหลุดตำแหน่ง มันเป็นส่วนผสมที่ลงตัวมากๆ จนคล็อปป์ถึงขั้นต้องออกมาขอโทษว่าตลอดหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมาเขาจับเฮนโด้เล่นผิดตำแหน่งมาตลอด หนึ่งภาพที่ผมจำได้ว่าเฮนโด้นั้นแบกรับความกดดันมาตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาก็คือ เกมที่ลิเวอร์พูลบุกไปเยือนเซาแธมป์ตัน ในชุดเยือนสีม่วง ผมยังจำได้ติดตา เกมนั้นเฮนโด้โดนดรอปเป็นสำรองและเริ่มเกมมาได้ไม่นานเจ้าบ้านก็ขึ้นนำไปก่อนจากเชน ลอง ก่อนจะตีเสมอได้จากนาบี เกอิตา ในครึ่งหลังคล็อปป์แก้เกมโดยการส่งเฮนโด้ลงมาเล่นแทนเทรนต์ และภาพที่ผมบอกว่าผมจำได้ติดตาก็คือภาพที่เขายิงประตูปิดกล่องให้ทีมชนะ 1-3 การดีใจของเขาคือการเงยหน้าขึ้นฟ้าและตะโกนแหกปาก ราวกับการตะโกนเพื่อปลดปล่อยความกดดันทั้งหมดที่สะสมมาและหนึ่งในเกมที่ผมเชื่อว่าเดอะ ค็อปทุกคนจะไม่มีวันลืมเลยก็คือเกม UCL ที่ลิเวอร์พูลพลิกนรกจากการแพ้ 0-3 ต่อ "เจ้าบุญทุ่ม" บาร์เซโลนาในเกมแรก กลับมาชนะเจ้าบุญทุ่ม ณ แอนฟิลด์ได้ 4-0 และภาพหลังจากที่จบเกมนั่นคือภาพที่กัปตันเฮนโด้นั้นล้มตัวลงไปนอนอยู่ที่ริมเส้นฝั่งซ้ายของสนาม ราวกับว่าร่างกายของเขานั้นไม่เหลือพลังงานใดๆ อีกแล้ว เขาทุ่มเทและใส่สุดพลังในเกมนี้ไปหมดแล้ว และมีเรื่องเล่าออกมาอีกว่าความจริงในเกมนี้เขาก็ไม่ได้ฟิตสมบูรณ์ 100% เขาต้องฉีดยาเพื่อที่จะลงเล่น ในช่วงพักครึ่งเขาต้องฉีดระงับความเจ็บปวดและลงเล่นต่อในครึ่งหลังจนจบเกม สุดท้ายลิเวอร์พูลก็ทะลุเข้าไปสู่รอบชิงชนะเลิศ UCL ได้อีกครั้ง เป็นฤดูกาลที่ 2 ติดต่อกันที่เข้าชิงในรายการถ้วยหูโตนี้ หลังจากฤดูกาลก่อนหน้าผิดหวังที่แพ้ต่อเรอัล มาดริดแต่ฤดูกาลนี้ไม่เป็นเหมือนฤดูกาลที่แล้วครับ ครั้งนี้เรา "สมหวัง" ครับ ลิเวอร์พูลสมหวังและเฮนโด้ก็สมหวังเช่นกัน ลิเวอร์พูลชนะสเปอร์สไป 2-0 และภาพสุดคลาสสิคคือภาพขณะที่ทุกคนกำลังเฉลิมฉลองกับความสำเร็จ จอร์แดน เฮนเดอร์สันเดินไปข้างสนามเพื่อสวมกอดกับคุณพ่อของเขาพร้อมกับหลั่งน้ำตาลูกผู้ชายออกมา และอีกภาพในวันนั้นที่ถือว่าเป็นภาพที่คลาสสิคสุดๆ อีกภาพคือ ภาพที่กัปตันเฮนโด้ถือถ้วยหูโตเข้าหาลูกทีมพร้อมกับ "ท่าซอยเท้า" และก็หันหน้าออกมาพร้อมกับชูถ้วยแชมป์เหนือศีรษะของเขา นั่นคือ "แชมป์แรก" ในฐานะ "กัปตันลิเวอร์พูล" ผมยอมรับตรงๆ ว่าผมโคตรไม่ชินและไม่ชอบกับท่าชูถ้วยของเฮนโด้เลยตอนนั้น มันแปลก ปกติจะเห็นแค่ยืนและกระโดดชูถ้วยอยู่กับที่ มันดูไม่คลาสสิคเอาซะเลย แต่หลังจากนั้นผมก็ชินกับมันครับ เพราะมันคือเรื่องราวของตำนานทั้งสิ้นเลยครับ ความสำเร็จหลั่งไหลเข้ามาสู่ทีมในทุกรายการที่ลงแข่งขันและหนึ่งในความสำเร็จที่มีความหมายมากต่อลิเวอร์พูล ความสำเร็จที่แม้กระทั่งสตีเวน เจอร์ราร์ด กัปตันผู้ที่เป็นที่รักคนก่อนหน้าเฮนโด้ก็ไม่ได้สัมผัส นั่นคือแชมป์พรีเมียร์ลีกครับ เฮนเดอร์สันคือกัปตันผู้ที่ชูถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีก แชมป์ลีกสูงสุดที่สโมสรและแฟนบอลรอมาอย่างยาวนาน 30 ปี เขาคือกัปตันคนแรกครับที่ได้ชูถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีกครับ จากคนที่โดนด่า โดนสบประมาทต่างๆ นานา เขาอดทน ต่อสู้ มองข้ามเสียงวิจารณ์เหล่านั้น พัฒนา ปรับปรุงตัวเองจนในที่สุดจากคนที่โดนดูถูก เขากลายมาเป็นกัปตันที่ชูถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จครับhttps://www.instagram.com/p/CvKzxm5ostb/จนในที่สุดวันที่ผมไม่อยากให้มาถึงมันก็มาครับ เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (26 กรกฎาคม) เฮนโด้ได้โพสต์อำลา โดยเป็นคลิปวิดีโอที่รวมภาพตลอด 12 ปีที่อยู่กับทีมมา ภาพที่เขาเดินในสนามแอนฟิลด์ที่ว่างเปล่า พร้อมกับแคปชันของคลิปนี้ "มันยากเหลือเกินที่จะอธิบายช่วงเวลา 12 ปีที่ผ่านมาเป็นคำพูดและมันยากยิ่งกว่าในการที่จะบอกลา ผมจะเป็นลิเวอร์พูลจนวันตาย คุณจะไม่มีวันเดินอย่างเดียวดาย" พร้อมกับความในใจต่างๆ ที่เฮนโด้ได้พูดในคลิปนั้นและในช่วงเย็นของวันเมื่อวาน (27 กรกฎาคม) สโมสรลิเวอร์พูลก็ได้ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการในการอำลาทีมของเฮนเดอร์สัน พร้อมกับโพสต์คลิปของเยอร์เกน คล็อปป์และเพื่อนร่วมทีมที่พูดถึงกัปตันอันเป็นที่รักของเขา พร้อมกับสถิติต่างๆ มากมายของเฮนเดอร์สันตลอดระยะเวลา 12 ปีกับทีม492 เกม33 ประตู58 แอสซิสต์8 ถ้วยแชมป์ความสำเร็จ (ยูฟา แชมเปียนส์ลีก, พรีเมียร์ลีก, แชมป์สโมสรโลก, ยูฟา ซูเปอร์คัพ, เอฟเอ คัพ, คอมมูนิตี ชิลด์อย่างละ 1 สมัย และลีกคัพ 2 สมัย)เฮนเดอร์สันไม่ใช่นักเตะที่มีพรสวรรค์ที่สูงที่สุดของทีม ไม่ใช่นักเตะที่เก่งที่สุดของทีม ไม่ใช่คนวิ่งเร็วที่สุดในทีม ไม่ใช่คนที่ยิงคมที่สุดในทีม ไม่ใช่คนที่จ่ายบอลได้ดีที่สุดในทีม เขาอาจจะไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างหรือสมบัติของทีม แต่เขาคือคนที่รักลิเวอร์พูลที่สุดคนหนึ่ง เขาคือคนที่ทุ่มเทที่สุดคนหนึ่ง เขาคือหนึ่งในกัปตันทีมที่ดีที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของทีม เฮนโด้อยู่กับลิเวอร์พูลมาอย่างยาวนานที่สุดในบรรดานักเตะที่มีอยู่ เขาผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านช่วงเวลาที่แย่ที่สุดของทีมและช่วงเวลาที่ดีที่สุดร่วมกับทีมเฮนโด้อาจจะไม่ใช่ลูกหม้อ เด็กปั้นจากอคาเดมีของสโมสรอย่างร็อบบี ฟาวเลอร์, ไมเคิล โอเวน, เจมี คาร์ราเกอร์, สตีเวน เจอร์ราร์ด หรืออย่างเทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาโนลด์ แต่เฮนโด้นั้นรักและทุ่มเทให้กับทีมไม่ได้ต่างจากพวกเขาเหล่านั้นเลย เขาทุ่มเทเต็มร้อย เกินร้อยทุกครั้งที่ลงสวมเสื้อสีแดงเพลิงลงสนามให้กับลิเวอร์พูลเฮนโด้ "ไม่เคย" ออกมาตอบโต้แฟนบอลที่ก่นด่า บ่น พ่นคำวจารณ์ พ่นคำหยาบใส่เขา เขาโดนค่อนขอดมาตลอดว่ายังไงก็ไม่ขึ้นไปเทียบเจอร์ราร์ดได้หรอก ยังไงก็อยู่ใต้ร่มเงาของเจอร์ราร์ด เขามีแต่ก้มหน้าทำหน้าที่ของตัวเอง ใช้ผลงาน ใช้ความทุ่มเทพิสูจน์ว่าเขาคู่ควรกับการเป็นนักเตะและกัปตันทีมของลิเวอร์พูล ตลอดระยะเวลา 12 ปีนั้นเขาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาคู่ควรกับทุกสิ่งที่เขาได้รับในช่วงที่ผ่านมา และเขาไม่ต้องอยู่ใต้ร่มเงาของเจอร์ราร์ดและของใครอีกแล้ว เขาขีดเขียนเรื่องราวระดับตำนานของเขาด้วยตัวของเขาเอง ด้วยความทุ่มเทของเขาเองแล้วถ้าหากผมได้เจอกับเฮนโด้ตัวเป็นๆ ผมก็คงพูดได้เพียงแค่คำว่า "ขอบคุณ"ขอบคุณที่ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้กับทีมขอบคุณที่ในวันนั้นไม่ยอมย้ายไปฟูแลมและอยู่ต่อสู้ในทีมต่อขอบคุณที่เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับน้องๆ และเพื่อนร่วมทีมขอบคุณที่ไม่ทิ้งทีมไปไหนในยามที่ทีมตกต่ำขอบคุณสำหรับท่าซอยเท้าที่จะเป็นท่าชูถ้วยที่ถูกจดจำไปอีกนานแสนนานบทความนี้ผมไม่รู้ว่าผมพิมพ์ตกหล่นในส่วนไหนไปบ้าง เพราะแทบจะ 100% มีไม่ถึง 2% เลยด้วยซ้ำมั้งที่ต้องไปเปิดค้นข้อมูลของบทความนี้ผมล้วนแล้วแต่พิมพ์ออกมาจากความทรงจำทั้งหมดของผมที่มีต่อกัปตันเฮนโด้ มันเป็นความทรงจำที่ผสมกับความรู้สึกของผมทั้งหมดที่ผมจดจำได้กับกัปตันคนนี้ ผมก็ไม่รู้ว่าจะพิมพ์อะไรต่อแล้วเหมือนกัน คงมีตกหล่นไปเยอะพอสมควรแน่ๆ ผมคิดว่าผมยังมีอีกหลายๆ อย่างที่อยากพูดถึงกัปตันคนนี้ ถ้าวันไหนมีเวลามากกว่านี้ผมก็อยากเขียนถึงกัปตันอันที่เป็นรักคนนี้เหมือนกันนะสุดท้ายนี้นอกจากคำขอบคุณแล้วก็คงต้องเป็นคำอวยพรขอให้โชคดีกับเส้นทางใหม่ที่เลือกเดินนะครับกัปตัน คุณจะเป็นกัปตันในใจผมและแฟนๆ ลิเวอร์พูลไปตลอดกาล โชคดีครับกัปตันจอร์แดน เฮนเดอร์สันขอบคุณภาพประกอบจากOfficial Instagram ของลิเวอร์พูลOfficial Instagram ของจอร์แดน เฮนเดอร์สัน (@jordanhenderson)ภาพประกอบ 1, ภาพประกอบ 2, ภาพประกอบ 3, ภาพประกอบ 4, ภาพประกอบ 5, ภาพประกอบ 6, ภาพประกอบ 7, ภาพประกอบ 8, ภาพประกอบ 9, ภาพประกอบ 10 และภาพประกอบ 11ภาพปก 1, ภาพปก 2 และภาพปก 3Community ฟุตบอล ถกประเด็นร้อนฟุตบอลทุกลีก ใครตัวเต็ง ใครฟอร์มตก ต้องเคลียร์