เป็นหนึ่งในประเด็นของแมนยูที่สาวกปีศาจแดงสนใจอย่างมากกับการขายสโมสรให้กับกลุ่มทุนที่พร้อมจะมารัยช่วงต่อจากตระกูลเกลเซอร์ ล่าสุดมีการประกาศออกมาว่าจะขยายเวลาพิจารณาการขายออกไปถึงเดือนมิถุนายน แม้ว่าตอนนี้มีกลุ่มทุนที่พร้อมจะอ้าแขนรับช่วงต่อ รวมถึงพร้อมที่จะทุ่มเต็มที่เพื่อสโมสร แต่จนแล้วจนรอดก็มียังดึงเชงเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการของผู้เป็นเจ้าของสโมสรว่าแล้วก็จะขอย้อนรอยความเป็นมาและการแบ่งผันปันส่วนของสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดกันสักหน่อย ว่ามีใครถือหุ้นอะไรเท่าไหร่ เพราะเชื่อว่าหลังจากที่สาวกปีศาจแดงรู้เรื่องนี้เพิ่มขึ้น ก็น่าจะพอมองภาพออกว่าทำไมตระกูลเกลเซอร์ ถึงได้ขายสโมสรแห่งนี้ยากเย็นนักหนา รวมถึงโอกาสที่ในฤดูกาลหน้าจะได้เห็นโฉมหน้าผู้เป็นเจ้าของสโมสรใหม่หรือไม่อย่างไรครั้งแรกที่ตระกูลเกลเซอร์ได้ก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เกิดขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม 2003 โดยได้เข้าซื้อหุ้น 2.9% คิดเป็นเงิน 9 ล้านปอนด์ ต่อมาในช่วงสิ้นปี 2003 ได้มีการเพิ่มหุ้นเป็น 15% ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเงามืดเริ่มกลืนกินสโมสรเข้าไปมากขึ้น เพราะในเดือนตุลาคม 2004 ตระกูลเกลเซอร์ได้มีหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 30% นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้นต่อมาในปีเดือนพฤษภาคม 2005 ตระกูลเกลเซอร์ได้เจรจาขอซื้อหุ้มจาก จอห์น แม็กเนียร์ และ เจพี แม็คมานัส ซึ่งมีหุ้นอยู่ในมือ 28.7% นั่นหมายความว่าในช่วงเวลาเพียงสองปีตระกูลเกลเซอร์ได้เข้ายึดแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไปแล้วกว่า 50% หลังจากได้ถือหุ้นเกินครึ่งในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ตระกูลเกลเซอร์ก็ได้ไล่ซื้อหุ้นที่เหลือมาไว้ในครอบครอง จนท้ายที่สุดก็กลายเป็นผู้ถือหุ้นเพียงรายเดียวจนถึงตอนนี้ สรุปค่าใช้จ่ายในการเข้ายึดกิจการครั้งนี้อยู่ที่เกือบ 800 ล้านปอนด์สหลังจากที่ มัลคอล์ม เกลเซอร์ เจ้าของทีมได้เสียชีวิตเมื่อปี 2014 หุ้นทั้งหมดได้ถูกแบ่งให้กับลูก ๆ ทั้งหกคน ประกอบไปด้วย อัฟราม, โจเอล, เควิน, ไบรอัน, ดาร์ซี และเอ็ดเวิร์ดส์ โดยแต่ละคนถือหุ้นเท่ากันในสัดส่วนร้อยละ 90 มาถึงตรงนี้หลายคนคงจะเริ่มสงสัยแล้วทำไมสาวกปีศาจแดงเริ่มชิงชัยตระกูลเกลเซอร์ ทั้งที่การซื้อขายต่าง ๆ ของสโมสรนั้นก็ถูกต้องไม่มีอะไรที่จะต้องเคลือบแครงสงสัยแต่อย่างใดสาเหตุแห่งความไม่พอใจของสาวปกปีศาจแดงเริมเกิดขึ้นในปี 2005 เพราะหลังจากที่ได้ครอบครองสโมสรแบบเต็มรูปแบบโดยไม่มีอะไรขวางกัน ตระกูลเกลเซอร์ก็เริ่มที่จะหารายได้จากเม็ดเงินที่ลงทุนไปคืนมาบ้างเพราะในระหว่างปี 2012-2022 มีการกล่าวหาว่าครอบครัวนี้ยังจ่ายเงินปันผลให้ตัวเองถึง 133 ล้านปอนด์ ซึ่งมากกว่าเจ้าของทีมในพรีเมียร์ลีกในช่วงเวลาดังกล่าวแล้วสาเหตุอะไรที่ทำตระกูลเกลเซอร์ถึงได้ขายแมนยูยากเย็นแสนเข็ญ ทั้งที่ตอนนี้มีคนพร้อมที่จะจบอยู่ที่ 4 พันล้านปอร์น เหตุผลก็ง่าย ๆ ก็เพราะอยากได้ 6 พันล้านปอร์น ซึ่งจะกลายเป็นตัวเลขที่ลงตัวที่สุดกับผู้สืบทอดทั้ง 6 คนนั่นเอง นี่คือสิ่งที่เหมือนเป็นดั่งปัญหาที่สาวกปีศาจแดงอาจจะไม่ได้เห็นเจ้าของทีมคนใหม่ในเร็ววันนี้แน่นอนคำถามคือแล้วใครจะยอมจบที่ 6 พันล้านปอร์น หากพูดถึงในแง่ของการลงทุแล้วละก็คงไม่มีใครที่จะยอมจ่ายขนาดนั้น เพราะเอาตรง ๆ การลงทุนกับสโมสรกีฬาที่มากมายขนาดนี้ถือว่าเป็นเวินมหาศาล ในแง่ของนักลงทุนเมื่อเอาเงินมาซื้อต่อจะต้องเหลือเงินส่วนหนึ่งเพื่อปรับปรุงกิจการไม่ใช่เอาเงินทั้งก้อนมาซื้อแล้วไม่มีเงินไปทำให้กิจการที่ซื้อดีขึ้นและสร้างเม็ดเงินกลับมา หากซื้อแล้วไม่ปรับปรุงให้ทำเม็ดเงินก็เท่ากับซื้อกิจการที่ไม่มีผลตอบแทน แล้วจะลงทุนเพื่ออะไรจริงไหมละ ?นั่นคือคำตอบทั้งหมดที่ว่าทำไมแมนยูสโมสรที่ทั่วโลกรู้จักและมีฐานแฟนบอลติดท๊อปไฟล์ของโลก ถึงได้ขายออกยากเย็นแสนเข็ญภายใต้ผู้เป็นเจ้าของทีมที่ชื่อตระกูลเกลเซอร์ ซึ่งสาวกปีศาจแดงเองก็คงต้องเชิดหน้าสู่ต่อไปกับอนาคตที่รอความหวัง ความสำเร็จ กับยุคใหม่ของผู้จัดการทีมคนใหม่ที่ไม่รู้ว่าจะมาช้าหรือเร็วกันแน่ข่าวที่เกี่ยวข้องปัญหาแดนกลาง "แมนยู" ที่ เอริค เทนฮาก ต้องหาทางออกลิเวอร์พูล vs แมนยู กับ 5 เหุตผลง่าย ๆ ปีศาจแดงจะย้ำชัยแดงเดือดที่แอนฟิลด์ทำไม "แมนยู" ต้องการตัว เฟเดริโก้ คิเอซ่า เพื่อแก้ปัญหาทัพปีศาจวิเคราะห์แผน แมนยู เหตุใดถึงกล้าใช้แผนที่เสี่ยงขนาดนี้?แมนยู ดับ แมนซิตี้ 5 เรื่องที่อยากบอกหลังบิ๊กแมตซ์พรีเมียร์ลีกเครดิตภาพปก twitter.com/ManUtd :: ภาพปกเครดิตภาพประกอบ twitter.com/ManUtd :: ภาพที่1 , ภาพที่ 2 , ภาพที่ 3 , ภาพที่ 4 , ภาพที่ 5 , ภาพที่ 6 , ภาพที่ 7 , ภาพที่ 8ส่องนักบอลตัวเต็ง ดูสดระเบิดแมทช์สุดมันส์บน App TrueID โหลดฟรี !