หลังจากพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2022/2023 จบลงแล้ว เราได้บทสรุปของทั้งทีมที่เป็นแชมป์ลีกฤดูกาลนี้ ทีมที่ได้ไปเล่นฟุตบอลยุโรป และทีมที่ต้องตกชั้นไปอย่างน่าเสียดาย บทสรุปผลงานของทีม Big 6 ในฤดูกาลนี้เป็นอย่างไรบ้างนั้น มาดูกันครับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ : อันดับที่ 1(แชมป์พรีเมียร์ลีก)แม้ฤดูกาลนี้ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ในช่วงแรกจะดูสะดุดและดูมีปัญหาอยู่ก็ตาม แต่พอเครื่องติดเมื่อไหร่ก็ยากที่ใครจะหยุดยั้งได้ นอกจากว่าพวกเขาคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้แล้ว พวกเขายังอยูในเส้นทางลุ้นแชมป์อีก 2 ถ้วย นั่นก็คือ เอฟเอ คัพ และยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ลีก โดยเฉพาะยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ลีกที่พวกเขาสามารถหักปากกาเซียนด้วยการเอาชนะ เรอัล มาดริด เจ้าของแชมป์เมื่อฤดูกาลที่แล้วได้สำเร็จ หลังจากพวกเขาต้องอกหักมาหลายครั้ง นี่คือปีที่พวกเขาเข้าใกล้ได้อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งแฟนบอลต้องมาลุ้นกันต่อว่าพวกเขาจะสามารถคว้า 3 แชมป์ในฤดูกาลนี้ได้หรือไม่อาร์เซนอล : อันดับที่ 2 (รองจ่าฝูง)หลังจากที่หลงทิศหลงทางมาหลายปี มาในปีนี้ อาร์เซนอลภายใต้การคุมทีมของมิเกล อาร์เตต้าก็ได้สร้างเซอร์ไพรซ์ให้กับพรีเมียร์ลีก ด้วยการขยับขึ้นไปเป็นผู้ท้าชิงอีกทีมหนึ่งในการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก รวมไปถึงการได้ขึ้นไปยืนหยัดตำแหน่งจ่าฝูงได้นานกว่าครึ่งปี แม้จะมาแผ่วปลายในช่วงโค้งสุดท้ายก็ตาม แต่นี่ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นยุคใหม่ของอาร์เซนอลที่อาร์เตต้าได้ปลุกปั้นและเสริมทัพได้อย่างลงตัว การทำงานที่เข้าขากันมากขึ้นของทีมฟุตบอลและบอร์ดบริหาร นักเตะดาวรุ่งผสมผสานกับวัยเก๋าเกม ทำให้อาร์เซนอลปีนี้แข็งแกร่งทั่วทุกตำแหน่ง ซึ่งฤดูกาลหน้าพวกเขาจะได้กลับไปเล่นในยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ ลีกอีกครั้งแล้วหลังจากไม่ได้ไปมานานหลายปี พวกเขาจะได้เจอกับความท้าทายใหม่ๆที่พวกเขาจะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า ฤดูกาลหน้า พวกเขาไม่ได้มาเล่นๆ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : อันดับที่ 3(แชมป์คาราบาวคัพ)แม้ช่วงแรกของฤดูกาลจะเป็นเกมที่ไม่น่าจดจำอย่างมากของเหล่าสาวกแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่เอริค เทน ฮากและนักเตะในทีม ก็สามารถสร้างผลงานให้น่าจดจำได้ ด้วยการคว้าแชมป์คาราบาวคัพมาครองได้สำเร็จ ซึ่งพวกเขาก็ต้องลองผิดลองถูกกับแนวทางการทำทีมของเทน ฮากพอสมควรกว่าจะได้แผนการเล่นที่ดีที่สุดในใจของเทน ฮากและนักเตะก็ตอบสนองความไว้ใจของผู้จัดการทีมด้วยการไล่เก็บแต้มจากหลายๆทีมมาจนสามารถจบอันดับที่ 3 ได้สำเร็จ ทำให้ฤดูกาลหน้าพวกเขาจะได้ไปเล่นยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ ลีก แต่พวกเขาก็ยังมีลุ้นอีก 1 แชมป์ นั่นก็คือ เอฟเอ คัพที่ต้องไปเจอกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ในวันเสาร์ที่ 3 มิถุนายนที่จะถึงนี้ มาดูกันว่า แมนยูยุคนี้จะคว้าดับเบิ้ลแชมป์บอลถ้วยได้หรือไม่ลิเวอร์พูล : อันดับที่ 5 ปีนี้ดูจะผิดฟอร์มไปพอสมควรสำหรับ หงส์แดง ลิเวอร์พูลในยุคเจอร์เกน คล็อปป์ที่เกิดปัญหาทั้งนักเตะตัวหลักบาดเจ็บ การเสริมทัพที่ไม่ค่อยจะลงตัว รวมไปถึงปัญหานักเตะฟอร์มตกจนทำให้ทีมเสียแต้มไปในหลายๆนัด หากมองถึงความอดทนของคล็อปป์ที่ต้องถูกก่นด่าจากทั้งสื่อและแฟนบอลที่ผลงานของทีมนั้นดูไม่กระเตื้องขึ้นเลยแม้จะเอ่ยปากสัญญามากแค่ไหน แต่อย่างน้อย ปีนี้พวกเขาก็ยังจบอันดับที่ 5 ได้สำเร็จหลังจากก่อนหน้านี้หล่นไปอยู่กลางตาราง ด้วยความสุดยอดของเหล่าผู้เล่นลิเวอร์พูลในช่วงโค้งสุดท้ายที่ตอบสนองความหวังของเหล่าแฟนบอลและผู้จัดการทีมได้อย่างดีเยี่ยม แม้จะมีนักเตะบางคนที่ต้องอำลาทีมไปหลังจากนี้ แต่พวกเขาก็จะถูกจดจำในฐานะผู้เล่นคนสำคัญของลิเวอร์พูลที่ยืนหยัดสู้ต่อจนถึงนัดสุดท้ายไม่หนีหายไปไหนสเปอร์ส : อันดับที่ 8แม้ช่วงต้นฤดูกาลจะดูฟอร์มคงเส้นคงวาเหมือนเคยสำหรับสเปอร์สในมือของอันโตนิโอ คอนเต้ แต่ทุกอย่างก็เริ่มแย่ลง เมื่อฟอร์มนักเตะในทีมเริ่มตก แถมด้วยนักเตะตัวหลักบางคนบาดเจ็บ แถมด้วยการที่คอนเต้พูดตำหนิออกสื่อว่าเล่นเหยาะแหยะ ไม่มีความใจสู้ เล่นไปวันๆ ก็เลยโดนไล่ออกจากผู้จัดการทีมทันที แม้จะตั้งคริสเตียน สเตลินี่ ขึ้นมาเป็นผู้จัดการทีมชั่วคราวก็ตามก็ยังไม่กระเตื้องขึ้น จนต้องปลดอีกคนหนึ่ง แล้วดัน ไรอัน เมสันขึ้นมาคุมทีมชั่วคราวอีกคนหนึ่ง แต่สุดท้ายแล้วก็ไปไม่ถึงฝั่งฝัน ต้องจบลงที่อันดับ 8 และไม่ได้ไปเล่นฟุตบอลยุโรปเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา นี่คือปัญหาที่ทีมจะต้องแก้ไข ทั้งในเรื่องของการต่อสัญญา แฮร์รี่ เคนที่มีข่าวว่าอยากย้ายทีม การหาผู้จัดการทีมก่อนที่จะต้องไปเตะปรีซีซั่น การหาผู้อำนวยการฝ่ายกีฬาที่จะมาทำงานร่วมกับทีมฟุตบอลในการเจรจากับบอร์ดบริหารเกี่ยวกับการซื้อขายนักเตะ และเรื่องอื่นๆ หากไม่ยอมหาให้เสร็จในเร็วๆนี้ ฤดูกาลหน้าอาจกลายเป็นทีมกลางตารางไปโดยสมบูรณ์แบบเชลซี : อันดับที่ 12นี่เป็นฤดูกาลที่น่าผิดหวังที่สุดแล้วของสิงโตน้ำเงินคราม เชลซี ที่หลังจากกลุ่มทุนใหม่นำโดยท็อดด์ โบห์ลีย์ เข้ามาเทคโอเวอร์ทีม แม้ในช่วงเริ่มต้นนั้น ทีมจะเสริมทัพนักเตะเข้ามาเป็นจำนวนมากก็ตาม แต่ฟอร์มกลับไม่เป็นไปตามที่คาดหวังกัน แถมด้วยการปลดโทมัส ทูเคิ่ลแล้วไปดึงตัว แกรห์ม พอตเตอร์จากไบรตันมาคุมทีมก็ยิ่งไปกันใหญ่อีก แถมการเสริมทัพในตลาดหน้าหนาวก็ทุ่มทุนสร้างและไม่เป็นไปตามที่คาดหวังอีกตามเคย ยกเว้น เอ็นโซ่ เฟอร์นันเดสคนเดียวที่ดูจะโอเคที่สุด สุดท้าย ผลงานทีมที่ไม่กระเตื้องและมีแต่จะดิ่งลงเหว ทีมก็ต้องปลดพอตเตอร์แล้วต้องจำใจไปดึงแฟรงค์ แลมพาร์ดกลับมาคุมทีมชั่วคราว แต่ก็ไปไม่ถึงฝั่งฝันอยู่ดี ด้วยฟอร์มที่เข็นไม่ขึ้นและพยายามประคองทีมมากเกินไป ทำให้ฤดูกาลนี้ต้องจบลงด้วยการจบอันดับที่ 12 โดยหลังจากนี้ภายใต้ผู้จัดการทีมคนใหม่อย่าง เมาริซิโอ ปอเช็ตติโน่ การผ่าตัดทีมครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน และฤดูกาลหน้า เชลซีอาจจะกลับมาอย่างเกรียงไกรและสมศักดิ์ศรีอีกครั้งในยุคปอเช็ตติโน่ขอขอบคุณภาพประกอบบทความภาพที่ 1 จาก Facebook Premier Leagueภาพที่ 2 จาก Facebook Manchester Cityภาพที่ 3 จาก Facebook Arsenal ภาพที่ 4 จาก Facebook Carabao Cupภาพที่ 5 จาก Facebook Liverpool FCภาพที่ 6 จาก Facebook Tottenham Hotspurภาพที่ 7 จาก Facebook Chelsea Football Clubภาพปกบทความ จาก Facebook Premier LeagueCommunity คอบอล ถกประเด็นร้อนฟุตบอลทุกลีก ใครตัวเต็ง ใครฟอร์มตก ต้องเคลียร์