ในที่สุดก็ได้คู่ชิงเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับศึกคาราบาว คัพ ประจำฤดูกาล 2023/2024 หลังจากที่ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูลสามารถผ่านด่าน "เจ้าสัวน้อย" ฟูแลมเข้าไปชิงชนะเลิศกับ "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซีได้สำเร็จ โดยเกมนี้ลิเวอร์พูลบุกไปเสมอกับฟูแลม 1-1 ทำให้ผลสกอร์รวมสองนัด ลิเวอร์พูลเอาชนะไปได้ 3-2 ทำให้ได้เข้าไปรีแมตช์นัดชิงกับเชลซีในรายการนี้อีกครั้ง หลังจากที่ในฤดูกาล 2021/2022 ครั้งคู่เคยเจอกันมาแล้วในรอบชิงของบอลถ้วยในประเทศทั้งเอฟเอ คัพและคาราบาว คัพ โดยผลคือหงส์แดงสามารถซิวทั้งสองถ้วยไปครอง และในฤดูกาลนี้เกมนัดชิงก็จะจัดขึ้นที่สนามเวมบลีย์เหมือนเดิมโดยจะเตะกันในวันอาทิตย์ ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2024 เวลา 23:30 น. (ตามเวลาประเทศไทย)แต่ก่อนจะไปถึงเกมนัดชิง ผมได้รวบรวม 5 ประเด็นที่น่าสนใจหลังเกมรอบรองฯ เกมที่ 2 ที่ลิเวอร์พูลบุกไปเสมอกับฟูแลมแต่ก็เพียงพอต่อการเข้ารอบชิงฯ จะมีประเด็นใดบ้าง ไปดูกันเลยครับฟูแลมเครื่องร้อนช้าเกมนี้ลิเวอร์พูลเหมือนไม่ได้เจอกับฟูแลมแบบที่เคยได้เจอมาก่อนในช่วง 2 ฤดูกาลที่ผ่านมา เพราะก่อนหน้านี้ฟูแลมเหมือนเป็นอีกหนึ่งตัวแสบของลิเวอร์พูลที่กว่าจะชนะได้แต่ละครั้งมันไม่ง่ายเลย ตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้วที่เกมเปิดหัว ผลการแข่งขันจบที่ผลเสมอที่บ้านของฟูแลมหรือจะในฤดูกาลนี้ในเกมพรีเมียร์ลีกที่ฟูแลมสามารถบุกมายิงที่แอนฟิลด์ได้ถึง 3 ประตูและล่าสุดที่เจอกันในคาราบาว คัพ รอบรองชนะเลิศเกมแรกก็เป็นฟูแลมที่สามารถยิงขึ้นนำไปได้ก่อนแต่ในเกมนี้อาจจะคงเพราะด้วยความกดดันที่ตัวเองฝ่ายตามหลัง ทำให้เราได้เห็นฟูแลมในเวอร์ชันที่แตกต่างออกไป พวกเขาดูเล่นเก้ๆ กังๆ พยายามทำเกมบุกเท่าไหร่ก็เหมือนมันยังไม่เข้าล็อค จ่ายเกินบ้างจ่ายขาดบ้างจนดูแล้วมันเลยไม่ค่อยสร้างความอันตรายให้กับลิเวอร์พูลซักเท่าไหร่ บวกกับพวกเขาโดนยิงขึ้นนำอีก ยิ่งทำให้พวกเขาช็อตไปเลยในครึ่งแรก ก่อนที่ครึ่งหลังจากมายิงตีเสมอได้ในช่วงท้ายของเกม หลังจากนั้นเหมือนฟูแลมเพิ่งตื่น บุกเป็นพายุใส่ลิเวอร์พูลเลยทีเดียว แต่ยังดีที่ลูกทีมของเยอร์เกน คล็อปป์เอาตัวรอดออกมาได้ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าฟูแลมไม่ได้มีความกดดันในเรื่องของสกอร์ที่โดนนำและเร่งเครื่องตั้งแต่ต้นเกม เกมนี้จะจบอย่างไรหงส์แดงแรงตั้งแต่ต้นประเด็นแรกที่พูดถึงไปคือฟูแลมนั้นเครื่องร้อนช้าซึ่งมันเหมือนเป็น "โลกคู่ขนาน" กับลิเวอร์พูลที่ในเกมนี้ดันเครื่องติดเร็ว ติดตั้งแต่ต้นเกมจนสามารขึ้นนำได้ตั้งแต่นาทีที่ 11 เรียกได้ว่ามันเป็นภาพที่ไม่คุ้นเอาซะเลย เพราะในฤดูกาลนี้ผมเชื่อว่าแฟนๆ เดอะ ค็อปนั้นเห็นเหมือนกันหมดว่าลิเวอร์พูลเครื่องร้อนค่อนข้างช้า เครื่องจะมาติดในช่วงของครึ่งหลัง แถมหลายต่อหลายเกมที่โดนคู่แข่งยิงขึ้นนำไปก่อนตลอดก่อนที่จะกลับมาชนะได้อย่างที่บอกไปครับว่าเกมนี้ลิเวอร์พูลเครื่องแรงตั้งแต่เริ่มเกม ยิงนำได้ไวจนทำให้ฟูแลมยิ่งกดดันเข้าไปอีก แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ตลอดทั้งเกมตั้งแต่ต้นจนเข้าสู่ช่วงท้ายของเกมคือ "เพรสซิง" ในเกมนี้ลูกทีมของคล็อปป์นั้นวิ่งไล่เพรสตั้งแต่แดนบนเลย แต่ละคนวิ่งดีดเป็นม้าตั้งแต่ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์, หลุยส์ ดิอาซยันดาร์วิน นูนเญซ แต่ละคนไล่เพรสยันแบรนด์ เลโน ผู้รักษาประตูของฟูแลมเลย ทำให้ฟูแลมนั้นไม่สามารถเซ็ตเกมได้เลยจะบอกว่ามันเป็นภาพที่คุ้นเคยก็ได้ที่เห็นลิเวอร์พูลเล่น Counter Pressing แบบนี้ แต่เพรสซิงชนิดที่แบบตั้งแต่ต้นเกมยันช่วงท้ายของเกมแบบนี้ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก ปกติที่ผ่านมาจะเห็นแบบเพรสซิงเป็นช่วงๆ เพื่อถนอมแรงไว้ นานๆ ทีจะได้ Counter Pressing แบบนี้กราเฟนแบร์กใช้ได้เลยหลังจากที่โดนบ่นมาหลายเกมในช่วงหลัง ไม่ได้ดูหวือหวาแบบในช่วงแรก ในที่สุดอย่างน้อยวันนี้ไรอัน กราเฟนแบร์กนั้นคือหนึ่งในคนที่ต้องได้รับคำชมคนนึงเลย เพราะเป็นเกมที่โดดเด่นพอสมควร เขาทำได้ดีทั้งในเรื่องของเกมรุกและมีส่วนช่วยในเกมรับอยู่บ่อยครั้งในเกมนี้มีหลายจังหวะเหมือนกันที่ลิเวอร์พูลโดนฟูแลมนั้นเข้าบอลเร็ว เพรสซิงถึงตัวไวแต่กราเฟนแบร์กนั้นก็สามารถเอาตัวรอดได้เช่นกัน เขาพลิกบอลเพื่อหนีการเพรสซิงได้สวยๆ หลายครั้ง รวมไปถึงเขาใช้ทักษะในการพาบอลขึ้นหน้า นอกจากนี้เกมรับเขาก็ยังช่วยสกัดเกมรุกของฟูแลมได้ดีอีกด้วย แต่สิ่งหนึ่งที่เขายังต้องพัฒนาก็คือการเสียบอล ในเกมนี้เขาเสียบอลมากที่สุดในสนามเลยที่จำนวน 5 ครั้งด้วยกันซึ่งถ้าหากคุณจะเล่นในพรีเมียร์ลีกที่มีสปีดบอลเร็วมากๆ แป๊บๆ บอลสามารถย้ายจากประตูฝั่งหนึ่งไปอยู่อีกฝั่งได้ในเวลาไม่กี่วินาทีเลย คุณต้องลดจำนวนการเสียบอลที่เยอะขนาดนี้ ไม่เช่นนั้นการเสียบอลของคุณอาจจะทำให้ทีมเสียประตูได้ทันทีเลย แต่ก็เอาเถอะครับ เกณฑ์อายุของกราเฟนแบร์กยังเป็นดาวรุ่งอยู่ ผมเชื่อว่ายังสามารถพัฒนาได้อีก ปรับกันไปเรื่อยๆ และนี่คือสถิติของกราเฟนแบร์กในเกมที่พบกับฟูแลมครับสัมผัสบอล 60 ครั้งผ่านบอล 37 ครั้ง (แม่นยำ 89%)คีย์พาส 2 ครั้งแทคเกิล 4 ครั้ง (มากที่สุดอันดับ 2 ของทีม)ดักบอล 4 ครั้ง (มากสุดในทีม)เคลียร์บอล 2 ครั้งโกเมซแบ็คซ้ายร่างทองสำหรับผมถ้าหากจะถามหาแมน ออฟ เดอะ แมตช์ของเกมเมื่อคืน ผมจะยกให้กับ "โจ โกเมซ" ที่ในตอนนี้ต้องให้เครดิตในการอุดรอยรั่วในตำแหน่งแบ็คซ้ายกับโกเมซไปแบบ 100% เลย เพราะการขาดหายไปของแบ็คซ้ายทั้งตัวจริงและสำรองอย่างแอนดรูว์ โรเบิร์ตสันและคอสตัส ซิมิคาสนั้นทำให้โกเมซต้องโยกมาเล่นในตำแหน่งนี้ และถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นตำแหน่งที่ถนัดแต่โกเมซนั้นก็สามารถทำผลงานออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมในเกมนี้โกเมซเล่นซะนึกว่าเป็นแบ็คซ้ายอาชีพที่ถนัดขวา ความจริงก็เล่นดีมากมาหลายเกมแล้วแหละตั้งแต่โยกมาเล่นฝั่งนี้ แต่เกมนี้เขาโดดเด่นมากๆ สามารถรับมือกับเกมรุกของฟูแลมได้เป็นอย่างดีเลยโดยเฉพาะการรับมือกับบ๊อบบี เด คอร์โดวา-รีด ที่ในเกมนี้เล่นไม่ออกเลย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าที่เจอกันเขาคือหนึ่งในคนที่สามารถป่วนเกมรับของลิเวอร์พูลได้บ่อยครั้งมากๆ แต่เกมนี้ก็อย่างที่บอกไปครับว่าโกเมซร่างทองและเก็บตัวรุกทีมชาติจาเมกาเข้ากระเป๋าไปเลย และนี่คือสถิติของโกเมซในเกมที่ผ่านมาครับสัมผัสบอล 72 ครั้งผ่านบอล 45 ครั้ง (แม่นยำ 84%)ชนะการดวลกลางอากาศ 1 ครั้งแทคเกิล 1 ครั้งเคลียร์บอล 2 ครั้งบล็อคลูกยิง 2 ครั้ง (มากที่สุดในสนาม)โอกาสยิง 2 ครั้งแม็ค อัลลิสเตอร์สำคัญมากกกกกกค่าตัวเพียง "35 ล้านปอนด์" ที่ลิเวอร์พูลสอยอเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์มาจากไบรท์ตันฯ จนถึงตอนนี้ต้องบอกว่า "โคตรคุ้ม" ถูกแสนถูก เพราะตอนนี้แม็คก้าคือคนสำคัญของทีมไปเป็นที่เรียบร้อย เหมาะสมกับการได้สวม "เบอร์ 10" แบบไร้ข้อกังขาเลย สามารถเล่นได้ทั้งมิดฟิลด์เชิงรุกและเชิงรับ รับจบได้หมดภายในคนๆ เดียว เยอร์เกน คล็อปป์จะให้เล่นตัวบนหรือตำแหน่งเบอร์ 6 ก็เล่นได้หมดช่วงแรกๆ กังวลเหมือนกันว่าด้วยขนาดตัวที่เล็กขนาดนี้จะเป็นปัญหาในการเล่นตำแหน่งกลางรับหรือไม่ แต่สุดท้ายแล้วขนาดร่างกายไม่ได้เป็นปัญหาเลย เขานำสิ่งอื่นมาทดแทน เขาใช้ทักษะที่มีในการดักบอล พลิกบอล ช่วยเกมรับให้กับทีมได้เยอะมากๆ ในเกมวันนี้ก็เช่นกัน เขาต้องรับมือทั้งอันเดรียส เปเรรา, วิลเลียน รวมไปถึงเจา ปาลินญา แต่สุดท้ายแล้วแม็ค อัลลิสเตอร์ก็สามารถต่อสู้ได้ดีมากๆ ทำไมผมถึงบอกว่าแม็คก้าสำคัญมากน่ะหรอ? เพราะเห็นได้ชัดมากในตอนที่เขาโดนเปลี่ยนตัวออกไปในนาทีที่ 66 หลังจากนั้นลิเวอร์พูลก็เหมือนโดนขึงเกมบุกจากฟูแลมอยู่ฝ่ายเดียวเลย ลิเวอร์พูลนั้นไม่มีคนที่มาเบรกเกมรุกตรงกลางของฟูแลมได้เลย และหลังจากที่โดนเปลี่ยนตัวออกไป 10 นาที ลิเวอร์พูลก็เสียประตูจากการยิงของอิสซา ดิย็อปแต่สุดท้ายแล้วผมก็ยังอยากเห็นแม็ค อัลลิสเตอร์เล่นในตำแหน่งกองกลางเชิงรุกมากกว่าที่ต้องถอยมาเล่นกลางรับ อยากเห็นสามประสานกองกลางเซ็ตใหม่ "แม็คก้า-เอนโด-โซโบ" ลงสนามด้วยกันแบบจริงๆ จังๆ ซักที อยากให้แม็คก้าทำเกมรุกร่วมกับโซโบจริงๆ เพราะลูกจ่ายของแม็คก้านั้นอันตรายมากๆ และนี่คือสถิติของอเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ในเกมเมื่อคืนครับสัมผัสบอล 58 ครั้งผ่านบอล 40 ครั้ง (แม่นยำ 80%)แทคเกิล 5 ครั้ง (มากที่สุดในทีม)ดักบอล 1 ครั้งเคลียร์บอล 1 ครั้งสถิติที่น่าสนใจหลังในฤดูกาลนี้หากรวมทุกรายการที่ลงเล่น ลิเวอร์พูลนั้นมีการเปลี่ยนผู้เล่น 11 ตัวจริงไปแล้วทั้งหมด 191 ครั้ง (ตำแหน่ง) ซึ่งมากกว่าทุกทีมในพรีเมียร์ลีกถึง 56 ครั้งลิเวอร์พูลสามารถผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศของคาราบาว คัพ (ลีก คัพ) ได้ถึง 14 ครั้ง (รวมฤดูกาลนี้) มากกว่าอันดับ 2 อย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดและเชลซีที่ทำไว้ 10 ครั้งนี่คือการเข้าชิงคาราบาว คัพเป็นครั้งที่ 3 แล้วภายใต้การคุมทีมของเยอร์เกน คล็อปป์ซึ่งมีเพียง "ปู่บ๊อบ" บ๊อบ เพสลีย์ โคตรกุนซือของทีมที่ทำได้มากกว่า โดยเคยทำไว้ 4 ครั้งคาราบาว คัพฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูลยิงประตูคู่แข่งไปแล้ว 13 ประตู ถือเป็นครั้งที่ 5 แล้วที่พวกเขาสามารถยิงประตูได้อย่างน้อย 13 ประตู ซึ่ง 4 ครั้งก่อนหน้านี้ลิเวอร์พูลสามารถเป็นแชมป์ได้ทั้งหมดในฤดูกาล 1994/1995 (16 ประตู), 2000/2001 (20 ประตู), 2002/2003 (13 ประตู) และ 2011/2012 (14 ประตู)จาเรลล์ ควอนซาห์ทำแอสซิสต์ในคาราบาว คัพฤดูกาลนี้ไปแล้ว 3 ครั้ง ทำให้ไม่มีใครที่ทำแอสซิสต์เยอะเท่าควอนซาห์แล้วในตอนนี้นัดชิงคาราบาว คัพที่จะถึงนี้เป็นการพบกันของลิเวอร์พูลและเชลซีในการชิงชนะเลิศฟุตบอลในประเทศ (เอฟเอ คัพและลีก คัพ) เป็นครั้งที่ 5 ในรอบสองทศวรรษหรือ 20 ปี ก่อนหน้านี้จะมีเอฟเอ คัพในฤดูกาล 2011/2012 และ 2021/2022 ส่วนในลีก คัพจะเป็นในฤดูกาล 2004/2005, 2021/2022 และในฤดูกาลนี้ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจากOfficial X ของ OptaJoe และ SquawkaOfficial Facebook ของลิเวอร์พูลและคาราบาว คัพOfficial Instagram ของอเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ (@alemacallister)ภาพปก 1, ภาพปก 2, ภาพปก 3, ภาพประกอบ 1, ภาพประกอบ 2, ภาพประกอบ 3, ภาพประกอบ 4 และภาพประกอบ 5 เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายบน App TrueID โหลดเลย ฟรี !