หลังจากที่ลีกฟุตบอลทั่วทั้งยุโรปและเกือบทั้งโลกต้องหยุดพักการแข่งขันไปนานกว่า 3 เดือน จากการโจมตีของเชื้อไวรัสโควิด-19 บางลีกตัดจบมอบแชมป์ให้กับผู้นำในตาราง เช่น ลีกเอิง ของฝรั่งเศส บางลีกตัดจบโดยให้ฤดูกาลที่ผ่านมาเป็นโมฆะ เช่น เอเรดิวิชี่ลีก ของฮอลแลนด์ แต่เมื่อ บุนเดสลีกา ลีกสูงสุดของเยอรมนีกลับมาทำการแข่งขันกันได้ ในรูปแบบ New Normal มีการเปลี่ยนแปลงกฎ กติกา ให้สอดคล้องและรองรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้บรรดาลีกชั้นนำอื่นๆ ในยุโรปก็ได้มีการประชุม ปรึกษาหารือกันในส่วนของผู้เกี่ยวข้อง และตัดสินใจที่จะกลับมาลงทำการแข่งขันในเกมที่เหลือของฤดูกาลให้เสร็จสิ้น ไม่ว่าจะเป็น ลา ลีกา สเปน หรือ กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี รวมทั้ง ลีกอันดับ 1 ของโลกอย่าง พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ในส่วนของ พรีเมียร์ลีก แม้ในประเทศอังกฤษ จะมีผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 สะสมเป็นอันดับต้นๆ ของโลก จนทำให้มีผู้ที่ไม่เห็นด้วย และโต้แย้งที่จะให้ฟุตบอลกลับมาทำการแข่งขันในช่วงเวลานี้ ซึ่งหากลองเปรียบเทียบทั้งข้อดีและข้อเสียของการกลับมาทำการแข่งขันกันอีกครั้งนั้น ก็เรียกได้ว่าความเห็นของทั้ง 2 ฝั่งมีน้ำหนักให้พิจารณามากไม่แพ้กันเลยทีเดียว อย่างผู้ที่ไม่เห็นด้วยก็ยกประเด็นว่า ทั้งๆ ที่หลายคน หลายภาคส่วนพยายามรณรงค์ในการเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล (Social Distancing) แล้วทำไมรัฐบาลอังกฤษถึงยังอนุญาตให้การแข่งฟุตบอลที่ต้องมีการปะทะกันระหว่างผู้เล่นกลับมาแข่งขันกันได้อีก แต่กับบางชนิดกีฬา เช่น เทนนิส หรือ รถแข่ง F1 ที่สามารถเว้นระยะและนักกีฬาไม่ต้องสัมผัสกัน เขายังยอมยกเลิกและเลื่อนการแข่งขันออกไปเลย หรือแม้แต่ที่ผู้จัดการแข่งขันจะยืนยันว่า เราจะเตะแบบสนามปิด ไม่มีผู้ชมเข้ามาในสนาม แต่จะสามารถห้ามแฟนบอลไม่ให้รวมตัวกันได้อย่างไร ยิ่งในกรณีที่ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี คิดจริงเหรอว่าจะขอความร่วมมือไม่ให้แฟนหงส์แดงที่คาดคะเนจำนวนทั้งหมดไม่ได้ ออกมาฉลองกันตามท้องถนนหรือหน้าสนามแอนฟิลด์ และถ้าเป็นเช่นนั้นย่อมส่งผลให้โอกาสของการแพร่กระจายเชื้อโควิด-19 มีเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย แล้วที่รัฐบาลและสาธารณสุขของอังกฤษทำมาไม่สูญเปล่าหรืออย่างไร ทีนี้ลองมาดูเหตุผลของฝั่งที่เห็นด้วยและยินดีที่ พรีเมียร์ลีก จะกลับมาลงสนามกันอีกครั้งบ้าง เหตุผลหลักที่สำคัญที่พรีเมียร์ลีกจะต้องกลับมาแข่งต่อให้จบฤดูกาลคือเรื่องของค่าลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดนั่นเอง พรีเมียร์ลีก เป็นลีกที่มีมูลค่าลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดสูงที่สุดในโลก ซึ่งหากแข่งไม่จบ ทั้ง Sky และ BT Sport ที่เป็นผู้ได้รับลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอดในอังกฤษ รวมถึงผู้ที่ซื้อลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอดจากทั่วโลก ยืนยันที่จะไม่จ่ายเงินที่เหลือให้กับพรีเมียร์ลีก เพราะในเมื่อสัญญาระบุว่าพวกเขาจะได้ถ่ายทอดสดทั้งหมด 380 นัด แต่เกมการแข่งขันยังเหลืออีกถึง 92 นัด นั่นเป็นเหตุให้พวกเขาไม่ยินยอมที่จะจ่ายเงินครบจำนวน และผลกระทบที่ตามมาก็จะตกกับสโมสรต่างๆ ในพรีเมียร์ลีกที่จะสูญเสียรายได้ทางนี้ไปนั่นเอง นั่นทำให้การประชุมของตัวแทนสโมสรในพรีเมียร์ลีกครั้งล่าสุด เมื่อ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา ทั้ง 20 สโมสรมีมติเห็นชอบในการโหวตให้พรีเมียร์ลีกกลับมาทำการแข่งขันอีกครั้ง และโปรแกรมการแข่งขันก็ได้ถูกกำหนดขึ้นใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นกัน โดยเกมคู่แรกจะเป็นนัดตกค้างระหว่าง แอสตัน วิลล่า พบกับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ในคืนวันที่ 17 มิถุนายน เวลาเที่ยงคืนตามเวลาประเทศไทย และต่อด้วย แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พบกับ อาร์เซน่อล ในเวลา 02.15 น. วันเดียวกัน อีกเหตุผลที่น่าสนใจสำหรับฝั่งที่เห็นด้วยคือ ฟุตบอลอังกฤษมันเป็นมากกว่าเกมกีฬา แต่มันคือวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของชาวอังกฤษ ดั่งวลีที่ว่า “When Saturday Comes” หรือ “เมื่อวันเสาร์มาเยือน” ผู้คนต่างพาคนรัก พาครอบครัว เพื่อนฝูงเดินเข้าไปชมฟุตบอลในสนาม เป็นเรื่องจริงว่าวิกฤตการณ์ของไวรัสโควิด-19 มันทำให้ประเทศอังกฤษพบกับปัญหาที่หนักหน่วง แต่ในเมื่อชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป ฟุตบอลจึงเป็นเครื่องมือที่สำคัญ เป็นสิ่งเยียวยาจิตใจและทำให้ผู้คนกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง และในเมื่อยังไม่มียาหรือวัคซีนในการรักษาโรค โควิด-19 อาจจะยังอยู่กับโลกไปอีกหลายปี หากยกเลิกการแข่งขันไปในปีนี้ ก็ไม่มีอะไรยืนยันว่าในปีหน้าจะกลับมาแข่งขันกันได้แบบปกติ ดังนั้นควรจะเริ่มกลับมาแข่งกันตั้งแต่ตอนนี้แบบที่อยู่ในการควบคุมน่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่า ซึ่งในช่วงที่การแข่งขันยังไม่กลับมา ทางพรีเมียร์ลีกเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ เพราะในเมื่อสามารถเรียกร้องให้กลับมาแข่งขันกันจนสำเร็จแล้ว ก็จำเป็นต้องกำหนดมาตรการในการป้องกันเชื้อไวรัสระหว่างการแข่งขันด้วยเช่นกัน มีการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ในผู้เกี่ยวข้องกับ 20 ทีมในพรีเมียร์ลีกจำนวนถึง 4 ครั้ง ซึ่ง 3 ครั้งแรกจำนวนผู้ติดเชื้อมีอยู่ถึง 12 คน แต่ในการตรวจครั้งที่ 4 จากจำนวนผู้ทดสอบ 1,130 คน ไม่พบผู้ติดเชื้อไวรัสแม้แต่คนเดียว นั่นพอจะทำให้ผู้เกี่ยวข้องเบาใจลงได้ไม่น้อยว่าการกลับมาแข่งขันในครั้งนี้ปลอดภัยจากเชื้อดังกล่าวแล้ว ในส่วนของการแข่งขัน ทางผู้จัดได้ทำการกระจายโปรแกรมในรูปแบบใหม่ จากเดิมที่จะเตะกันในช่วงวีกเอนด์ (ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ จันทร์) ก็เพิ่มโปรแกมในส่วนของมิดวีกเข้ามา (อังคาร พุธ พฤหัสบดี) นั่นทำให้เราจะได้ดูเกมการฟาดแข้งของเหล่าผู้เล่นที่คิดถึงกันเกือบทุกวัน และต่อเนื่องทุกคู่ จนกระทั่งก่อนถึงนัดสุดท้ายของฤดูกาลเลยทีเดียว นั่นคือการช่วงชิงความสนใจของแฟนบอลกลับมาจาก บุนเดสลีกา ที่ในขณะนี้เป็นเพียงลีกใหญ่ลีกเดียวที่ลงทำการแข่งขัน แม้ในส่วนของการแย่งแชมป์นั้นจะไม่มีอะไรให้ลุ้นแล้ว เมื่อ ลิเวอร์พูล จ่าฝูงทำคะแนนทิ้งห่าง แมนฯ ซิตี้ ไปถึง 25 คะแนน และต้องการอีกเพียง 6 คะแนนเพื่อคว้าแชมป์ไปครอง แต่ในส่วนของการลุ้นพื้นที่ฟุตบอลยุโรป และการหนีตกชั้น ยังน่าสนใจอยู่มาก รวมทั้งการลุ้นดาวซัลโว อันดับแอสซิสต์ และคลีนชีท ก็ทำให้พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้ ยังคงมีอะไรให้แฟนบอลติดตามอยู่ไม่น้อยทีเดียว และสำหรับแฟนบอลชาวไทยก็สามารถรับชมพรีเมียร์ลีกใน 92 นัดที่เหลือแบบถูกลิขสิทธิ์ได้ที่ true visions ผ่านทางช่อง true premier football HD และทางแอปพลิเคชั่น trueID รวมถึงกล่อง trueID TV ได้อีกด้วย ขอขอบคุณ เครดิตภาพปกจาก : sport.trueid.net เครดิตภาพจาก sport.trueid.net : ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 / ภาพที่ 5 / ภาพที่ 6 / ภาพที่ 7