พึ่งผ่านไปสดๆ ร้อนๆ เลยสำหรับเกมอำลาหรือเกมสุดท้ายของ "เยอร์เกน คล็อปป์" กับ "ลิเวอร์พูล" (@liverpoolfc) หลังจากที่เปิดบ้านแอนฟิลด์เอาชนะวูล์ฟแฮมป์ตันฯ ไปได้ 2-0 จากประตูของอเล็กซิส แม็คอัลลิสเตอร์และจาเรลล์ ควอนซาห์ ทำให้เกมสุดท้ายในฐานะผู้จัดการของคล็อปป์กับลิเวอร์พูลจบแบบ Happy Ending เพราะถึงแต่จะไม่ได้แชมป์พรีเมียร์ลีกหรือยูโรปา ลีก แต่อย่างน้อยก็ยังมีคาราบาว คัพติดไม้ติดมืออยู่ดี ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องที่ดีที่จบแบบมีแชมป์ติดมือ แต่อีกเสี้ยวความรู้สึกหนึ่งในใจ มันก็มีความกังวลว่าแล้วหลังจากนี้สโมสรจะเป็นอย่างไร อาเนอร์ สล็อตจะสามารถพาทีมไปได้ไกลแบบคล็อปป์หรือไม่ ในมวลความรู้สึกในความยินดีมันก็ยังมีความซึมๆ อึนๆ อยู่เหมือนกัน มีคนเสียน้ำตากับการลาสโมสรของคล็อปป์เหมือนกัน (ผมก็ด้วย)แต่ถ้าในเมื่อคล็อปป์ไม่อยากให้แฟนบอลเศร้าไป ผมก็จะไม่เศร้า ผมจึงได้ทำการรวบรวม 9 โมเมนต์ที่น่าจดจำที่จำไม่ลืมเลยตลอดระยะเวลา 9 ปีที่อยู่กับลิเวอร์พูลมา คัดมาเฉพาะจากความรู้สึกส่วนตัวที่คิดว่ามันมีความสำคัญต่อสโมสร (มโนเอาเองนี่แหละ55555555555555) โดยในบทความนี้จะเป็นเพียงพาร์ท 1 อยู่นะครับ ต้องขออนุญาตแบ่งพาร์ทจริงๆ เพราะเนื้อหาเยอะมากและเขียนออกมาตามความรู้สึกและความทรงจำเลย ในพาร์ทแรกนั้นจะมีโมเมนต์ไหนที่จำไม่ลืมบ้าง ไปดูกันเลยครับ(อ่านเพิ่มเติม: ทำความรู้จัก "อาร์เนอ สล็อต" (ว่าที่) ผู้จัดการทีมคนใหม่ลิเวอร์พูล)"Change from Doubter to Believer"หลังจากที่แยกทางกับเบรแดน ร็อดเจอร์ส ไม่กี่วันถัดมาในวันที่ 5 ตุลาคม 2015 ลิเวอร์พูลก็ได้ทำการประกาศแต่งตั้งเยอร์เกน คล็อปป์ (@kloppo) ที่เพิ่งว่างงานจากโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ได้ไม่นานเข้ามาเป็นผู้จัดการทีม ความจริงแล้วตำนานของคล็อปป์กับทีมก็เริ่มตั้งแต่วันที่ให้สัมภาษณ์เปิดตัวแล้วด้วยซ้ำ เพียงเพราะบทสัมภาษณ์ก็แสดงถึงความเป็นตัวเขาได้ทันที โดยจะมี 2 ประโยคที่มักจะถูกนำมารีรันเล่นซ้ำบ่อยๆประโยคแรกคือประโยคที่เขาพูดในการให้คำมั่นสัญญาว่าเขาจะพัฒนาทีมและคิดว่าเราคงได้แชมป์ภายใน 4 ปี และสุดท้ายเขาก็ทำได้จริงๆ เพราะในฤดูกาล 2018/2019 ให้หลังจากที่เขาเข้ามารับงานที่ลิเวอร์พูลเกือบ 4 ปี (คล็อปป์เข้ามาฤดูกาล 2015/2016) เขาก็สามารถพาทีมได้แชมป์แรกของสโมสรได้สำเร็จด้วยการคว้าแชมป์ยูฟา แชมเปียนส์ลีก สมัยที่ 6 ของทีมและเป็นการกลับมาคว้าแชมป์หูโตในรอบ 14 ปี และหลังจากนั้นก็คือตำนานและประวัติศาสตร์ครับ คล็อปป์พาทีมได้ครบทุกแชมป์เมเจอร์ที่ลงเล่น (ยกเว้นยูโรปา ลีก) ไล่ตั้งแต่ยูฟา แชมเปียนส์, ยูฟา ซูเปอร์คัพ, สโมสรโลก, พรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพและลีก คัพ (2 สมัย)และประโยคสุดคลาสสิคที่จะติดอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ของสโมสรไปตลอดกาลก็คือ "You have to change from a doubter to a believer." หรือ "เราต้องเปลี่ยนจากผู้ที่สงสัยให้มาเป็นผู้ที่เชื่อมั่น" ซึ่งผมคิดว่าจนถึงตอนนี้แล้ว จนถึงวันที่คล็อปป์ได้อำลาพวกเราไปแล้ว ผมคิดว่าคล็อปป์ได้เปลี่ยนเดอะ ค็อปทั่วโลกที่เคยสงสัยในทีมว่าจะประสบความสำเร็จได้อยู่หรือไม่ เคยหมดหวัง เคยสิ้นหวังกับทีมว่าคงไม่ได้แชมป์อะไรแล้วให้กลับมากลายเป็นแฟนบอลที่ดูบอลสนุกที่สุดทีมหนึ่ง ดูบอลแบบมีความสุขตลอดเวลาระยะเกือบ 10 ปี คล็อปป์เข้ามาเปลี่ยนจากคนที่เคยสงสัยในทีมให้กับมาเชื่อมั่นในสโมสร ในนักเตะ ในตัวทีมงานและในตัวของเขาเอง ให้กลับมาเชื่อมั่นทีมแบบเต็ม 100% ว่าพวกเขาเหล่านี้จะพาทีมประสบความสำเร็จได้จริงๆหรือนอกจากนี้ยังจะมีประโยคที่นิยามตัวเองว่าเขาไม่ใช่เดอะ สเปเชียล วันแบบโชเซ มูรินโญ แต่เขาคือ "The Normal One" คนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเอง ใช่ครับ คล็อปป์คือคนธรรมดาที่แสนพิเศษของแฟนบอลลิเวอร์พูลเลยเข้าชิงบอลถ้วย 2 รายการตั้งแต่ปีแรกสำหรับการเปลี่ยนโค้ชหรือผู้จัดการทีมกลางฤดูกาล ผมเชื่อว่าแฟนบอลส่วนใหญ่คงไม่ได้หวังอะไรไปมากกว่าการทำให้ทีมดีขึ้นและทำผลงานให้ดีที่สุด ดีกว่าช่วงที่ผลงานแย่ ที่เหลือก็คือกำไรแล้วซึ่งทีมอย่างลิเวอร์พูล เป้าหมายในทุกๆ ปีก่อนหน้านี้ก็คือติด 4 อันดับแรกได้ไปเล่นยูซีแอลก็เพียงพอแล้ว และอีกอย่างคงไม่ได้มีบ่อยครั้งนักที่เปลี่ยนโค้ชแล้วทีมจะสามารถเข้าไปเล่นนัดชิงบอลถ้วยและได้แชมป์แบบที่เชลซีเคยทำได้ในยุคของโรแบร์โต ดิ มัตเตโอหรือยุคของโธมัส ทูเคิลซึ่งคล็อปป์นั้นก็ทำเซอร์ไพรส์ให้แฟนบอลได้ตั้งแต่ฤดูกาลแรกของเขากับลิเวอร์พูลที่ยังไม่เต็มฤดูกาลดี สำหรับการเข้าชิงรายการบอลถ้วย 2 รายการอย่างคาราบาว คัพและยูโรปา ลีก โดยในการคาราบาว คัพนั้นลิเวอร์พูลได้เข้าไปชิงชนะเลิศกับแมนเชสเตอร์ ซิตีในยุคของมานูเอล เปเยกรินี ส่วนในยูโรปา ลีกนั้นก็พาทีมเข้าไปพบกับ No.1 ของรายการนี้อย่างเซบียาในยุคของอูไน เอเมรี แต่สุดท้ายแล้วก็แพ้ไปทั้ง 2 รายการ โดยในคาราบาว คัพแพ้การดวลจุดโทษที่เจอทีเด็ดของวิลลี กาบาเยโร ส่วนยูโรปานั้นก็ไม่ต้องสืบอะไรมากครับ ตราบใดถ้าเซบียาเล่น พวกเขาจองถ้วยนี้อยู่แล้ว เพียงแต่น่าเสียดายที่ในเกมนี้อุตส่าห์ขึ้นนำได้ก่อนจากประตูไซด์ก้อยสุดสวยของดาเนียล สเตอร์ริดจ์ก่อนที่จะโดนยิงแซงในครึ่งหลังและแพ้ไป 1-3สุดท้ายถึงแม้ว่าจะกินแห้วไปทั้ง 2 รายการ แต่นั่นก็เห็นสัญญาณที่ดี ที่บ่งบอกว่าทีมมีพัฒนาการที่ดีขึ้น จากที่ต้องดิ้นรนเมื่อช่วงต้นฤดูกาลที่ต้องลุ้นไปฟุตบอลยุโรปอย่างหนักซึ่งสุดท้ายก็ไม่ได้โควต้าไปเล่นฟุตบอลยุโรปในฤดูกาลถัดไป (2016/2017) ก็จริง เพราะจบอันดับที่ 8 แต่การได้เข้าชิงฟุตบอลถ้วยถึง 2 รายการตั้งแต่ฤดูกาลแรกก็ถือว่าเป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายแล้วพอสมควร แถมในยูโรปา ลีกก็มีเกมสุดตื่นเต้นที่พลิกกลับมาเอาชนะดอร์ทมุนด์ได้ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วยจากประตูชัยของเดยัน ลอฟเรนสร้างทีมใหม่ สร้าง 3 ประสาน SMFซิกเนเจอร์ของลิเวอร์พูลที่เป็นมาเสมอไม่ว่ายุคไหน คือพวกเขาจะมีแนวรุกหรือคู่หูถล่มประตูที่ยอดเยี่ยมตลอดเวลาไม่ว่าทีมจะตกต่ำแค่ไหน เอาแค่ปี 2000 เป็นต้นมาก็หลายคู่แล้ว โอเวนกับเฮสกีย์ในยุคของเชราร์ อุลลิเยร์, เจอร์ราร์ดกับตอร์เรสในยุคของราฟาเอล เบนิเตซและซัวเรสกับสเตอร์ริดจ์ในยุคของเบรแดน ร็อดเจอร์ส พอมาในยุคของคล็อปป์ เขาก็ได้สร้างแนวรุกที่ยอดเยี่ยมเหมือนกัน แต่ในยุคของคล็อปป์ เขาไม่ได้สร้างแค่ 2 คนหรือสร้างแบบเป็นคู่ แต่เขาสร้างแผงเกมรุกที่เป็น 3 ประสานไปเลยคงเป็นเพราะรูปแบบการเล่นในยุคปัจจุบันที่ส่วนใหญ่จะนิยมเป็นระบบ 4-3-3 ที่ใช้ปีก 2 ข้างและหน้าตัวเป้า 1 คนในการยิงประตู ซึ่งคล็อปป์นั้นค่อยๆ นำวัตถุดิบที่หลงเหลือมาจากบีร็อดมาปรับปรุง ตัดแต่งในแบบต่างๆ โดยเขานั้นจับโรแบร์โต เฟอร์มิโน (@roberto_firmino) ที่บีร็อดเซ็นมาจากฮอฟเฟนไฮม์เพื่อมาเป็นกองหน้ายิงประตูให้กับทีมกลายมาเป็นกองหน้าที่ไม่ใช่กองหน้า เป็นกองหน้าตัวหลอกหรือ False 9 ทำให้ Role การเล่นนี้เริ่มเป็นที่รู้จักของแฟนบอล หลังจากที่ก่อนหน้านี้จะเป็นที่รู้จักกันในตำแหน่ง "หน้าต่ำ" แต่ดูเหมือนว่าคนที่เหลือนั้นจะไม่ได้เป็นผู้เล่นที่เป็นสเปคในใจของคล็อปป์ เพราะเขาก็เริ่มที่จะทำการปล่อยผู้เล่นบางคนออกไป และดึงผู้เล่นใหม่ๆ เข้ามาซาดิโอ มาเน (@sadiomaneofficiel) ปีกชาวเซเนกัลจากเซาแธมป์ตัน คือริมเส้นคนแรกๆ ของทีมที่คล็อปป์ดึงเข้ามา มาเนย้ายมาในฤดูกาล 2016/2017 ด้วยค่าตัว 34 ล้านปอนด์ และเพียงพรีเมียร์ลีกเกมแรกที่เขาลงให้ลิเวอร์พูล เขาก็แสดงพิษสงของตัวเองให้เห็นแล้วว่าทำไมคล็อปป์ถึงต้องดึงตัวเขามาร่วมทีม เพราะเขาโชว์สปีดความเร็ว โซโลและเผาเกมรับฝั่งขวาของอาร์เซนอลและตัดเข้าในไปยิงประตูอย่างสวยงาม ก่อนที่ภาพการดีใจที่คลาสสิคอีกภาพหนึ่งของสโมสรก็คือหลังจากที่มาเนยิงประตูนั้นเสร็จ เขาก็รีบวิ่งมาที่ข้างสนามเพื่อมาดีใจกับกับคล็อปป์ และจบด้วยการขึ้นขี่หลังคล็อปป์ เป็นภาพที่คลาสสิคจริงๆ ซึ่งจบฤดูกาลนั้นมาเนคือคนสำคัญของทีมและสามารถพาทีมกลับไปเล่นยูฟา แชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2017/2018 ได้สำเร็จด้วยผลงาน 13 ประตู 7 แอสซิสต์จากการลงเล่น 29 เกมในฤดูกาลถัดมา (2017/2018) ลิเวอร์พูลได้ทำเซอร์ไพรส์ในตลาดซื้อขายโดยการดึงโมฮาเหม็ด ซาลาห์ (@mosalah) ปีกขวาชาวอียิปต์จากโรมามาร่วมทีมด้วยค่าตัวที่รวมแอดออนแล้วจบที่ 43 ล้านปอนด์ ที่บอกว่าเซอร์ไพรส์ก็เพราะว่าซาลาห์นั้นเคยย้ายมาเล่นในพรีเมียร์ลีกกับเชลซีแล้วแต่ก็ล้มเหลวและถูกปล่อยให้ฟิออเรนตินายืมตัว ก่อนที่จะขายขาดให้กับโรมา ซึ่งผลงานกับเชลซีของซาลาห์เรียกว่า "ล้มเหลว" เลยก็ว่าได้ แต่ในช่วงที่เขาย้ายมานั้นก็ถือว่าเข้าใจได้ที่ล้มเหลว เพราะย้ายจากบาเซิลมาอยู่กับสิงห์บลูก็ถือว่ายังเป็นดาวรุ่งอยู่เลย แถมยังมีรายงานตามมาทีหลังว่าซาลาห์คือ "แผนสำรอง" ไม่ได้เป็นตัวเลือกแรกในการซื้อปีกขวา เพราะตัวเลือกแรกคือยูเลียน บลันดท์ ดาวรุ่งของดอร์ทมุนด์ แต่สุดท้ายตามผลงานประจักษ์เลยครับ (ขออนุญาตไม่ลงรายละเอียดนะครับ เพราะเยอะเกินกว่าจะลงได้จริงๆ5555555555555555)คล็อปป์ค่อยๆ ขัดเกลา เติมแต่ง ปรุงปรุงให้ทั้ง 3 คนเล่นด้วยกันอย่างลงตัวและกลมกล่อม โดยคล็อปป์วางให้เฟอร์มิโนนั้นคือจุดเริ่มต้นของเกมรับ คือการไล่เพรสซิงแดนบนจากสไตล์การเล่นแบบ Gegen Pressing และอีกบทบาทก็คือการเป็นคนที่คอยสนับสนุนให้ปีกทั้ง 2 ข้างถล่มประตู ดึงตัวประกบจากคู่แข่งและเปิดพื้นที่ให้ทั้งมาเนและซาลาห์ยิงประตู แถมนอกจากนี้ยังมีฟิลิเป คูตินโญที่คอยทำเกม ปั้นเกมรุกและมีทีเด็ดลูกยิงไกลเป็นอีกหนึ่งอาวุธทำให้ ณ ช่วงเริ่มต้นของฤดูกาล 2017/2018 ลิเวอร์พูลกลายเป็นหนึ่งในทีมที่มีเกมรุกที่น่ากลัวที่หนึ่งในพรีเมียร์ลีกเลยก็ว่าได้ แต่สุดท้ายแล้วก็เกิดที่เป็นเหมือนฟ้าผ่ากลางใจของแฟนๆ ลิเวอร์พูล......ซื้อฟาน ไดจก์และเข้าชิง UCL ครั้งแรกเหตุการณ์ฟ้าผ่ากลางใจเดอะ ค็อปที่ผมบอกไปในข้อที่แล้วก็คือการที่ฟิลิเป คูตินโญนั้นมีข่าวว่าบาร์เซโลนา เจ้าบุญทุ่มจากสเปนนั้นต้องการตัวเขาและเขาก็อยากย้ายไปอยู่กับบาร์ซาเช่นกัน จนสุดท้ายการย้ายทีมก็เกิดขึ้น ลิเวอร์พูลได้เงินระดับมหาศาล 142 ล้านปอนด์ มันเป็นค่าตัวที่มหาศาลมากกกกกก เพราะในตอนนั้นทำให้คูตินโญกลายเป็นนักเตะที่มีค่าตัวแพงที่สุดอันดับ 2 รองจากเนย์มาร์ค่าตัวระดับนี้ลิเวอร์พูลสามารถที่หาตัวรุกคนใหม่ที่มีความสามารถใกล้เคียงกับคูตินโญได้เลย แต่ไม่เลยสิ่งที่ลิเวอร์พูลและคล็อปป์ทำก็คือ การนำเงินระดับ 140 ล้านปอนด์นั้นมาเล่นแร่แปรธาตุมาเป็นผู้เล่นระดับคีย์แมนที่สร้างประวัติศาสตร์ให้กับทีมได้อีก 2 คน"เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ก" (@virgilvandijk) คือคนแรกที่ลิเวอร์พูลนำเงินค่าตัวของคูตี้มาไปสอยมาจากเซาแธมป์ตัน (อีกแล้ว) ด้วยค่าตัวระดับที่ทำให้เขากลายเป็นกองหลังที่แพงที่สุดในโลกที่ 75 ล้านปอนด์ ค่าตัวระดับนี้ก็ย่อมมากับเสียงวิจารณ์ต่างๆ นานาว่ากองหลังบ้าอะไรถึงแพงขนาดนี้ มีเงินอย่างเดียวไม่ได้ต้อง....ด้วย แต่สุดท้ายแล้วยังไงล่ะครับ? ก็อย่างที่เห็นในทุกวันนี้แหละครับว่าฟาน ไดจ์กกลบเสียงวิจารณ์เรื่องค่าตัวของตัวเองด้วยผลงาน และถ้าจะบอกว่าฟาน ไดจ์กคือจุดเริ่มต้นของความแข็งแกร่งลิเวอร์พูลก็ไม่ผิดนัก เพราะจากในอดีต จุดอ่อนของลิเวอร์พูลคือเกมรับที่ไม่ว่าเกมรุกจะยิงมากเท่าไหร่ เกมรับก็พร้อมเสียมากเท่านั้น แต่การมาของฟาน ไดจ์กมันทำให้ทุกอย่างแทบจะจบสิ้น 100% เพราะเขากลายมาเป็นผู้นำในเกมรับ ขันเกมรับของหงส์แดงให้แข็งแกร่งยิ่งกว่ากำแพงเหล็ก แถมมีทีเด็ดจากการวางบอลยาวและขึ้นมาโหม่งทำประตู เกมแรกของฟาน ไดจ์กกับลิเวอร์พูลเขาก็สามารถทำประตูได้เลย โดยเป็นในเกมเอฟเอ คัพที่ลิเวอร์พูลเปิดแอนฟิลด์เอาเฉือนชนะเอฟเวอร์ตัน เพื่อนรักเพื่อนร้ายประจำเมืองไปได้ 2-1และสุดท้ายฟาน ไดจ์กก็คือคนสำคัญที่ช่วยให้ลิเวอร์พูลนั้นทะลุเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศยูฟา แชมเปียนส์ลีกได้ในฤดูกาล 2017/2018 เป็นการเข้าชิงรายการนี้เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี หลังจากที่เคยเข้าชิงก่อนหน้านั้นในปี 2007 กับเอซี มิลานก่อนที่จะผิดหวังแพ้ปีศาจแดงดำไป 2-1 ในครั้งนี้ลิเวอร์พูลต้องเข้าไปชิงกับเรอัล มาดริดที่เป็นเจ้าของแชมป์มากที่สุดในรายการ แถมเป็นการเข้าชิง 3 สมัยติดต่อกันของราชันชุดขาวด้วย และอย่างที่ทราบกันครับว่าเกมนี้ลิเวอร์พูลก็แพ้ต่อมาดริดไป 1-3 และทำให้เรอัล มาดริดคว้าแชมป์ยูซีแอลได้แบบ 3 สมัยติดต่อกัน และกลายเป็นครั้งที่ 3 แล้วที่คล็อปป์และลูกทีมต้องผิดหวังในเกมชิงชนะเลิศ(อ่านเพิ่มเติม: "มีเงินอย่างเดียวไม่ได้ ต้อง....ด้วย" ย้อนรอยภารกิจล่าตัวเวอร์จิล ฟานไดค์)ปาฏิหาริย์ที่แอนฟิลด์และแชมป์แรกตามที่สัญญาลิเวอร์พูลเริ่มฤดูกาล 2018/2019 ด้วยเสริมทัพนักเตะอย่างหนัก โดยนำเงินอีกส่วนหนึ่งจากค่าตัวของคูตินโญไปคว้าตัวอลิซอน เบ็คเกอร์ (@alissonbecker) นายทวารทีมชาติบราซิลมาจากโรมาด้วยค่าตัวผู้รักษาประตูที่แพงที่สุดในโลก 65 ล้านปอนด์ (ภายหลังโดนเกปา อาร์ริซาบาลากาทำลาย) ตามด้วยฟาบินโญ (@fabinho) กองกลางตัวรับจากโมนาโก 39.3 ล้านปอนด์, เซอร์ดาน ชากิรี (@shaqirixherdan) ตัวรุกจากสโต๊ก ซิตี 13.5 ล้านปอนด์ และนาบี เกอิตา (@keitanabydeco) ที่เซ็นล่วงหน้าตั้งแต่ยังไม่จบฤดูกาลก่อนจากไลป์ซิก 52 ล้านปอนด์ ซึ่งดูเหมือนกันการเซ็นสัญญาในซัมเมอร์นี้จะทำให้ทีมของเยอร์เกน คล็อปป์นั้นสมบูรณ์แบบและลงตัวเป็นอย่างที่สุดแบบ 100% เพราะการมาของอลิซอนและฟาบินโญคือการอุดรอยรั่วและขันเกมรับให้แน่นขึ้นไปอีก ฟาบินโญคือคนที่คอยสกัด ปัดป้อง ชะลอเกมรุกของคู่แข่งก่อนที่จะหลุดไปถึงกองหลังที่มีฟาน ไดจ์กคอยคุมอยู่และต่อให้หลุดไปจนถึงมีโอกาสยิงก็ยังมีอลินซอนที่โชว์ซูเปอร์เซฟช่วยทีมไว้หลายครั้งในฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลกลายมาเป็นคู่แข่งแย่งแชมป์พรีเมียร์ลีกของแมนเชสเตอร์ ซิตีของเป๊ป กวาร์ดิโอลาอย่างเต็มตัว ทั้งสองทีมฟาดฟันกันในพรีเมียร์ได้อย่างสุดยอด จน แข่งขันกันยันเกมสุดท้าย มันเป็นฤดูกาลที่สุดยอดมากๆ ของทั้งสองทีม (สำหรับผมยกให้ฤดูกาลและทีมชุดนี้ของลิเวอร์พูลเป็นชุดที่ดีที่สุดนับตั้งแต่หมดยุค 2008/2009 มาเลยทีเดียว) ในพรีเมียร์ลีกต้องแข่งกันยันนัดสุดท้าย ก่อนที่แมนซิตี้จะใช้ความเก๋าเกมที่มากกว่าในช่วงท้ายเข้าป้ายคว้าแชมป์ได้โดยเฉือนลิเวอร์พูลไปเพียง 1 แต้ม ส่วนลิเวอร์พูลก็ทำสถิติที่ไม่ค่อยอยากจดจำซักเท่าไหร่ เพราะพวกเขากลายเป็นรองแชมป์พรีเมียร์ลีกที่แต้มเยอะที่สุด 97 คะแนน เรียกได้ว่าเป็นรองแชมป์ พระรองที่ดีที่สุด แต่ก็นั่นแหละครับเป็นแค่พระรอง คนจดจำแค่นั้น ไม่ได้จดจำในฐานะแชมป์พรีเมียร์ลีกถึงแม้ว่าในลีกจะต้องพบกับความผิดหวัง แต่ในเวทียุโรปนั้นกลับตรงกันข้าม แต่ก็เรียกได้ว่ามันส์หยดไม่แพ้กันเหมือนกัน เพราะลิเวอร์พูลนั้นเจองานหินตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม เพราะอยู่กลุ่มที่เรียกว่า "Group of Death" ก็ว่าได้ เพราะอยู่ร่วมกับนาโปลี, เรด สตาร์ เบลเกรดและปารีส แซงต์ แชร์กแมงต์ ซึ่งสุดท้ายพวกเขาก็ต้องมาลุ้นเข้ารอบยันเกมสุดท้ายทั้งๆ ที่เกมแรกของรอบแบ่งกลุ่มนั้นเอาชนะเปเอสเชมาได้ 3-2 หลังจากนั้นพวกเขาก็กรุยทางมาเรื่อยๆ ซึ่งก็มีเกมที่สามารถบุกไปชนะบาเยิร์น มิวนิกได้ด้วย จนความพีคที่สุดในฤดูกาลนี้ก็มาถึงในเกมรอบรองชนะเลิศ พวกเขาต้องโคจรมาพบกับบาร์เซโลนา โดยเกมแรกพวกเขาต้องไปเยือนคัมป์ นู ในเกมนี้มันไม่ได้ราบลื่นใดๆ เลย เพราะเกมนี้ลิเวอร์พูลไม่มีกองหน้าตัวเป้าอย่างเฟอร์มิโนลงสนาม ทำให้คล็อปป์ต้องจับจอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุมมาเล่นในตำแหน่ง False 9 แทน และสุดท้ายก็จบลงด้วยการบุกไปแพ้บาร์ซาถึง 3-0 แถมเจอฟรีคิกสุดมหัศจรรย์จากลิโอเนล เมสซีอีก ซึ่งใครๆ ก็คิดว่าเกมมันคงจบแล้ว เพราะไม่มีทีมไหนที่หลังจากจบเกมแรกที่แพ้ 3 ประตูแล้วพลิกกลับมาเข้ารอบได้เลยในเกมที่สอง แถมนั่นคือบาร์ซาที่มีทั้งหลุยส์ ซัวเรสและเมสซีอีกมาในเกมที่สองที่แอนฟิลด์ ลิเวอร์พูลก็ต้องพบกับข่าวร้ายตั้งแต่เกมลีกสุดสัปดาห์ที่พบกับนิวคาสเซิล เพราะซาลาห์นั้นได้รับบาดเจ็บกระทบกระเทือนที่ศีรษะจนต้องพลาดการลงสนามในเกมเลกที่ 2 แถมเฟอร์มิโนก็ยังไม่หายจากอาการบาดเจ็บ สุดท้าย 11 ผู้เล่นตัวจริงของลิเวอร์พูลก็ไม่ได้ชุดฟูลทีมซึ่งประกอบไปด้วย อลิซอน, เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โฌเอล มาติป, ฟาน ไดจ์ก, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน, ฟาบินโญ, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, เจมส์ มิลเนอร์, มาเน, ชากิรีและดิว็อก โอริกี แต่ก่อนเกมก็มีภาพของซาลาห์ที่ใส่เสื้อยืดให้กำลังใจเพื่อนร่วมทีมและแฟนบอล โดยเสื้อยืดนั้นตรงหน้าอกสกรีนข้อความว่า "Never Give Up" ซึ่งมีความหมายคือ "ไม่มีวันยอมแพ้"และอย่างที่ทุกคนทราบครับ "ปาฏิหาริย์" นั้นเกิดขึ้นที่แอนฟิลด์จริงๆ ลิเวอร์พูลที่ตามหลังบาร์เซโลนา 0-3 ในเกมแรก พวกเขาพลิกนรก ฟื้นจากความตายกลับมาแซงเอาชนะได้ในเกมที่ 2 ไป 4-0 พร้อมด้วยโมเมนต์น่าจดจำมากมาย ทั้ง 2 ประตูจากไวจ์นัลดุมและลูกเตะมุมเร็วของเทรนท์ให้โอริกีจนกลายเป็นประตูชัย 4-0 พาทีมเข้าชิง และสุดท้ายพวกเขาก็สามารถเข้าไปเอาชนะท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ได้ในเกมนัดชิง 2-0 จากประตูของซาลาห์และโอริกี กลายเป็นการเปิดหน้าประวัติศาสตร์ เป็นแชมป์แรกของคล็อปป์กับลิเวอร์พูลอย่างยิ่งใหญ่ หลังจากนั้นแชมป์ก็ไหลมาเทมาจนครบทุกแชมป์(ไฮไลท์เกมนัดชิงชนะเลิศยูฟา แชมเปียนส์ลีก 2018/2019) และนั่นก็เป็น 5 โมเมนต์แรกที่น่าจดจำตลอดระยะเวลา 9 ปีของเยอร์เกน คล็อปป์กับลิเวอร์พูล ส่วนในพาร์ทที่ 2 หรือ 4 โมเมนต์สุดท้ายนั้นจะมีอะไรบ้าง รอติดตามอ่านในพาร์ทที่ 2 หรือพาร์ทจบได้เลยครับบทความที่เกี่ยวข้อง"อเล็กซิส แม็คอัลลิสเตอร์" กลางแชมป์โลกที่เข้ามาเปลี่ยนลิเวอร์พูลทำความรู้จัก "ริชาร์ด ฮิวจ์ส" จากบอร์นมัธสู่ (ว่าที่) ผู้อำนวยการกีฬาลิเวอร์พูลเจาะสถิติ 1,000 ประตู!!! "หงส์แดง" ลิเวอร์พูลยุคเยอร์เกน คล็อปป์ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจากOfficial Facebook, Instagram และ X ของลิเวอร์พูล (@liverpoolfc), พรีเมียร์ลีกและเวอร์จิล ฟาน ไดจ์ก (@virgilvandijk)ภาพปก 1, ภาพปก 2, ภาพปก 3, ภาพประกอบ 1, ภาพประกอบ 2, ภาพประกอบ 3, ภาพประกอบ 4 และภาพประกอบ 5