ไม่น่าเชื่อว่าภายในชั่วข้ามคืนจะเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเมื่อ " นิวคาสเซิล " ได้กลายเป็นสโมสรฟุตบอลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกชนิดทิ้งห่างอันดับสองแบบขาดลอย ซึ่งถ้าหากพูดถึงทูนอามีแฟนบอลยุคใหม่อาจไม่เข้าใจว่าทำไมหลายคนจึงตื่นเต้นกับการเทคโอเวอร์ของกลุ่มทุ่น " PIF " ของเจ้าชายชัลมานจากซาอุดีอาระเบียวัย 36 ปี นั้นเป็นเพราะว่าในอดีตนิวคาสเซิลเคยเป็นทีมยักษ์ใหญ่ระดับลุ้นแชมป์มาก่อน เคยคว้าแชมป์ลีกทั้งหมด 4 สมัย และบอลถ้วยอีกหลายรายการช่วงก่อนยุค 2000 มีผู้เล่นสตาร์ดังพร้อมประวัติศาสตร์สโมสรที่ยาวนานกว่า 129 ปี แต่ในยุคหลังทีมประสบปัญหาหลายอย่าง โดยเฉพาะการบริการทีมของเจ้าของคนก่อน " ไมค์ แอชลีย์ " ที่เขามาเทคโอเวอร์ทีมเมื่อปี 2007 ซึ่งเป็นเจ้าของที่แฟนบอลต่างไม่ค่อยจะชื่นชอบเท่าไหรนัก ทำให้ต้องกระเด็นตกชั้นและวนเวียนขึ้นมาพรีเมียร์ลีกเป็นภาพคุ้นตา จนกระทั่งในปีนี้การเทคโอเวอร์ครั้งใหญ่ก็ดำเนินการลุล่วง แต่ท่ามกลางความยินดีของแฟนบอลนิวคาสเซิลที่หวังเห็นทีมกลับมาครองแชมป์อีกครั้ง อารมณ์ของเหล่านักเตะ ทีมงาน และเฮดโค๊ชกำลังขาดความมั่นคงอย่างหนัก เพราะขนาดพวกเราที่เแฟนบอลยังมองออกว่าจะเกิดการ " โละ " ของเก่าหลายตำแหน่งแน่นอน เพราะงบประมาณที่มากขึ้นย่อมเกิดการเพิ่มขีดความสามารถของบุคลากรให้ดีกว่าการเป็นทีมกลางตาราง ซึ่งผมมองว่าในความเป็นจริงการจะพัฒนาทีมแบบก้าวกระโดดนั้นทำได้ยากมาก หากเราเปรียบเทียบกันในยุคที่เชลซีและแมนเชสเตอร์ ซิตี้เริ่มตั้งไข่ขึ้นมายิ่งใหญ่มีปัจจัยหลายอย่างที่พัฒนาทีมง่ายกว่านิวคาสเซิลตอนนี้ โดยเรื่องหลักคือกฎการเงิน "Financial Fair Play" ที่ไม่สามารถทุ่มงบมหาศาลในตลาดรอบเดียวได้เหมือนอดีต แถมศักยภาพของทีมคู่แข่งในลีกก็ดูสูงกว่าสมัยก่อนมาก โดยเฉพาะการชิงตำแหน่ง Top 4 ที่หลายทีมขึ้นมามีลุ้นแย่งกันจนนัดสุดท้าย เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญอาจเริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงตลาดหน้าหนาวนี้ บอร์ดบริหารชุดใหม่อาจมีการเซ็นผู้เล่นแววดีมีชื่อเข้ามาสัก 2 - 3 ราย เพื่อมาทำเป้าหมายหลักคือการหนีทีตกชั้นไปก่อน เพื่อที่ในช่วงตลาดซัมเมอร์รอบหน้าจะต่อยอดได้ง่ายขึ้นเพื่อลุ้นทำอันดับไปเล่นฟุตบอลยุโรปสักรายการ เพื่อดึงดูดนักเตะให้เข้ามาร่วมทีมมากขึ้น โดยจุดเปลี่ยนสำคัญที่นิวคาสเซิลควรทำให้ได้ภายใน 2-3 ปีนี้คือการติด TOP 4 คว้าตั๋วขึ้นไปเล่น " ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก " ให้ได้ เพราะนอกจากการพิสูจน์ว่าทีมแข็งแกร่งจริง ยังเป็นการดึงดูดเหล่านักเตะได้ดีขึ้น ช่วยให้การเจรจาโน้มน้าวใจผู้เล่นระดับโลกได้ง่าย ซึ่งมั่นจะเป็นการต่อยอดความสำเร็จที่ดีต่อไปอย่างยั่งยืนเหมือนกับโมเดลตัวอย่างที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้เคยทำได้ผลมาก่อน แต่ถ้าหาก 3 - 4 ปียังวนเวียนอยู่กับอันดับกลางตารางไม่ขยับก้าวหน้ามากขึ้น ความเข้มข้นและความมั่นใจจะลดหายไปคล้ายกับกรณีของ "เอฟเวอร์ตัน" ที่ได้ " ฟาฮัด โมชีรี " เข้ามาเทคโอเวอร์เมื่อฤดูกาล 2016 โดยหวังจะยกระดับทีมให้แกร่งลุ้นแชมป์ภายใน 3 ปี แต่สุดท้ายเอฟเวอร์ตันก็ไม่สามารถทำตามโมเดลได้ เพราะพวกเขาไม่เคยผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลยุโรปเลยแม้แต่รายการเดียว เพราะฉะนั้นแนวโน้มที่นิวคาสเซิลจะกลายเป็นยักษ์ตัวใหม่แห่งเกาะอังกฤษมีโอกาสเกิดขึ้นสูงมากๆ แต่จะต้องใช้เวลาสักระยะเพื่อพัฒนาทีมอย่างยั่งยืน แต่ในขณะเดียวกันก็อาจกลายเป็นแบบเอฟเวอร์ตันได้เหมือนกัน แต่อย่างไรก็ตามพวกเราที่เป็นแฟนบอลก็ได้รับกำไรเต็มๆ เพราะพรีเมียร์ลีกจะมีการขับเคี้ยวที่สนุกมากขึ้น ** Ref Picture ภาพหน้าปก : จาก Newcastle United ภาพประกอบ 1 , 2 , 3 , 4 จาก Newcastle United อัปเดตบทความกีฬาสนุก ๆ อีกมากมายไปกับเรา โหลดเลยที่ App TrueID ฟรี !