ในค่ำคืนที่สนามซานติอาโก เบร์นาเบวสว่างวาบไปด้วยพลังของชัยชนะ “Real Madrid” กลับมาแสดงให้ทั้งโลกเห็นอีกครั้งว่าทำไมสโมสรนี้ถึงถูกขนานนามว่า “ราชันแห่งยุโรป” เกมถล่มบาเลนเซีย 4-0 ไม่ได้เป็นเพียงสามแต้มธรรมดาในตาราง แต่เป็นคืนที่ทุกองค์ประกอบของทีม รวมถึงความมั่นใจของนักเตะหลายคน กลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง บรรยากาศและจังหวะของเกม ตั้งแต่นาทีแรก “ราชันชุดขาว” เปิดเกมบุกใส่บาเลนเซียแบบไม่ให้ตั้งตัว การเคลื่อนที่ของแนวรุกทั้งสาม เอ็มบัปเป้, วินิซิอุส และเบลลิงแฮม สร้างแรงกดดันอย่างต่อเนื่อง เหมือนหมากรุกที่ถูกวางไว้ล่วงหน้าโดยซาบี อลอนโซ่ ที่ดูจะเข้าใจจังหวะการเล่นของคู่แข่งทุกมิติ ผมมองว่าเกมนี้ไม่ได้มีแค่สกอร์ที่สวย แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ “ท่าทีของทีม” หลังผ่านเกมใหญ่กับบาร์ซ่ามาไม่นาน การตอบสนองของนักเตะโดยเฉพาะวินิซิอุส ที่เพิ่งมีดราม่าหลังโดนเปลี่ยนตัวในคลาสสิโก กลับมาพร้อมท่าทีสงบนิ่ง และแม้จะพลาดจุดโทษ แต่การที่แฟนบอลปรบมือให้ก็สะท้อนว่า พวกเขาเลือกจะให้อภัยและให้โอกาส ซึ่งเป็นภาพที่อบอุ่นมากในค่ำคืนนั้น Mbappé – ผู้นำยุคใหม่ของ Real Madrid คีเลียน เอ็มบัปเป้ ดูเหมือนอยู่ในช่วงเวลาที่ทุกอย่างเข้าทาง เขาเพิ่งคว้ารางวัล “บู๊ตทองคำ” จากผลงานยิง 31 ประตูในฤดูกาลก่อน และยังเดินหน้าตอกย้ำความเป็นสุดยอดของตัวเองด้วยการกดอีกสองลูกในเกมนี้ สิ่งที่ผมชอบคือความเป็นผู้นำแบบสงบของเขา ไม่ต้องตะโกน ไม่ต้องโชว์เกินเหตุ แต่ทุกสัมผัสบอลเต็มไปด้วยอำนาจ เมื่อถึงจังหวะที่ได้จุดโทษลูกที่สอง เขากลับเลือก “ส่งต่อ” ให้เพื่อนร่วมทีมอย่างวินิซิอุส ทั้งที่ตัวเองมีโอกาสทำแฮตทริก นั่นแหละคือความต่างของผู้นำที่แท้จริง คนที่เข้าใจว่าเกมฟุตบอลไม่ได้มีแค่สกอร์ แต่มีเรื่องของใจร่วมอยู่ด้วย การเชื่อมเกมและพลังของมิดฟิลด์ จู๊ด เบลลิงแฮม ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของแดนกลาง Real Madrid การประสานงานของเขากับอาร์ด้า กูเลอร์ และชูอาเมนี่ ดูลงตัวมากขึ้นทุกสัปดาห์ โดยเฉพาะกูเลอร์ที่แอสซิสต์ให้เอ็มบัปเป้ไปแล้วถึงหกครั้งในฤดูกาลนี้ นั่นคือสัญญาณของ “เคมีฟุตบอล” ที่กำลังเติบโตแบบเงียบๆ ส่วนคาเซมิโรในอดีตเคยเป็นคนคุมจังหวะเกมแบบแข็งแรง แต่ตอนนี้บทบาทนั้นถูกแทนด้วยคู่ของชูอาเมนี่-คามาวินก้า ที่เน้นการเคลื่อนบอลเร็วและการเชื่อมแนวรับกับแนวรุกอย่างสมดุล ผมว่ามันทำให้เรอัลยุคนี้ดู “เบาแต่แรง” คือไม่ต้องเน้นชน แต่ใช้จังหวะและความแม่นแทน ความลึกของทีมและบทบาทของดาวรุ่ง สิ่งหนึ่งที่ผมต้องพูดถึงคือการส่ง “เอนดริก” ลงสนามในช่วงท้ายเกม ซึ่งเป็นนาทีแรกของเขาในฤดูกาลนี้ มันสะท้อนว่าซาบี อลอนโซ่กำลังสร้างทีมแบบมีระบบระยะยาว ไม่เร่งใช้ดาวรุ่งโดยไร้จังหวะ แต่เลือกเวลาที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งผลลัพธ์ก็ออกมาดี ทีมได้ปิดเกมอย่างเหนือชั้นโดยไม่ต้องเร่งเครื่อง นอกจากนี้ อัลบาโร่ การ์เรราส ที่ยิงประตูสุดสวยในนาที 82 ยังตอกย้ำว่ากลุ่มดาวรุ่งของเรอัลชุดนี้ไม่ได้มีแค่ “อนาคต” แต่เริ่มจะกลายเป็น “ปัจจุบัน” แล้วด้วย มุมมองส่วนตัวของผมต่อ Real Madrid ชุดนี้ ผมเห็น Real Madrid ฤดูกาลนี้แตกต่างจากยุคก่อนตรงที่ “ความยืดหยุ่น” ทีมไม่ได้พึ่งใครคนเดียว แม้เอ็มบัปเป้จะเป็นจุดศูนย์กลาง แต่ทุกคนรอบข้างมีบทบาทชัดเจน และที่สำคัญคือทีมนี้เล่นเพื่อกันและกัน สิ่งที่ทำให้พวกเขาน่ากลัวไม่ใช่แค่ความสามารถรายบุคคล แต่คือการที่ “ทุกคนยอมรับในระบบ” ไม่มีใครอยู่เหนือทีม แม้แต่ซูเปอร์สตาร์อย่างวินิซิอุสหรือเอ็มบัปเป้ก็ต้องเล่นตามแท็กติก ไม่ใช่แท็กติกเล่นตามพวกเขา บทสรุปหลังเกม ชัยชนะ 4-0 เหนือบาเลนเซียอาจดูธรรมดาสำหรับทีมอย่าง Real Madrid แต่ถ้าใครได้ดูเกมจริงจะรู้ว่า นี่คือการประกาศความพร้อมของทีมที่กำลังเดินหน้าสู่ความสมบูรณ์แบบ ทั้งในเรื่องแท็กติก จิตใจ และแรงสนับสนุนจากแฟนๆ ด้วยฟอร์มแบบนี้ ผมไม่แปลกใจเลยที่เรอัลจะมีแต้มนำบาร์ซ่า 8 คะแนนในตอนนี้ และดูไม่มีทีท่าว่าจะชะลอความแรงลง Real Madrid ตอนนี้ไม่ได้แค่เป็นทีมที่ดีที่สุดในสเปน แต่กำลังกลายเป็น “ทีมที่พร้อมที่สุดในยุโรป” อีกครั้ง รูปภาพปก 1 มาจาก Real Madrid C.F. :|: รูปภาพปกที่ 1 รูปภาพประกอบ 1 มาจาก Real Madrid C.F. :|: รูปภาพประกอบที่ 1 รูปภาพประกอบ 2 มาจาก Real Madrid C.F. :|: รูปภาพประกอบที่ 2 รูปภาพประกอบ 3 มาจาก Real Madrid C.F. :|: รูปภาพประกอบที่ 3 รูปภาพประกอบ 4 มาจาก Real Madrid C.F. :|: รูปภาพประกอบที่ 4 ส่องนักบอลตัวเต็ง ดูสดระเบิดแมทช์สุดมันส์บน App TrueID โหลดฟรี !