ในช่วงนี้หลายทีมในพรีเมียร์ลีกนั้นต้องเสียผู้เล่นทั้งตัวหลักและตัวสำรองไปให้กลับไปรับใช้ทีมชาติในการแข่งขันระดับทวีป 2 ทวีป โดยเป็นในรายการ Africa Cup of Nation 2023 และ Asian Cup 2023 ซึ่งทั้งสองรายการนี้ก็เริ่มฟาดแข้งกันไปเรียบร้อยแล้ว โดยหนึ่งในทีมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดทีมนึงก็คงหนีไม่พ้น "หงส์แดง" ลิเวอร์พูลที่เสียทั้งโมฮาเหม็ด ซาลาห์ให้กับทีมชาติอียิปต์และวาตารุ เอนโดกลับไปรับใช้ทีมชาติญี่ปุ่น มันค่อนข้างเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่ทั้งคู่นั้นคือกำลังหลักของทีมชุดปัจจุบัน ซาลาห์ก็ทำผลงานติดลมบนได้แบบต่อเนื่อง ยิ่งในรายของเอนโดยิ่งแล้วใหญ่ อุตส่าห์สามารถยึดตัวจริงในตำแหน่งกองกลางเบอร์ 6 ของทีมได้แล้วแท้ๆ ทำผลงานจนข้าไปนั่งในใจแฟนๆ ได้แล้วแท้ๆ แต่ก็ต้องกลับไปรับใช้ทีมชาติสำหรับบทความนี้ผมก็จะมาพูดถึงเอนโดนี่แหละครับว่าทำไมจากดีลที่ไม่ได้เป็นที่คาดหวังของแฟนบอล เพราะก็มาแบบเหนือความคาดหมายแฟนๆ เหมือนกัน เหตุผลอะไรที่ทำให้เอนโดถึงกลายมาเป็นตัวหลักของลิเวอร์พูลได้ (อ้างอิงข้อมูลจาก Opta Analyst)ต้องเท้าความกลับไปในตอนที่เกิด "ดีลดำดิน" ก่อนเลยครับ สำหรับดีลของวาตารุ เอนโดที่เป็นดีลที่ไม่มีใครคาดคิดว่าลิเวอร์พูลนั้นจะซื้อตัวเขามาจากสตุ๊ทการ์ท ทีมในเยอรมัน เพราะถึงแม้ว่าเขาจะเป็นกัปตันทีมรวมไปถึงกัปตันทีมชาติ แต่ต้องยอมรับว่าเขาไม่ใช่นักเตะที่ชื่อเสียงโด่งดังอะไรมากมาย แต่สุดท้ายลิเวอร์พูลนั้นปิดการซื้อขายเอนโดมาด้วยสนนราคาอยู่ที่ประมาณ 19 ล้านยูโร ถ้าหากอยากทำความรู้จักเอนโดให้มากกว่านี้ สามารถเข้าไปอ่านได้ใน "ทำความรู้จัก "วาตารุเอ็นโดะ" กองกลางเลือดซามูไรของลิเวอร์พูล" ที่ผมได้เคยเขียนไว้ครับณ ตอนนั้นมีคำถามมากมายว่าหมอนี่คือใครแล้วซื้อมาทำไม อายุก็ 30 แล้ว จะเอามาเป็นอะไหล่ก็ควรเอาที่ดีกว่านี้ แต่บางกระแสก็บอกว่าเอามาเป็นแบ็คอัพก็ไม่เสียหายอะไร นี่ระดับกัปตันทีมชาติญี่ปุ่นชุดฟุตบอลโลก 2023 ที่ชนะทั้งเยอรมันและสเปนเลยนะก็ต้องมีดีบ้างแหละ แถมยิ่งพอเอนโดนั้นได้เจอกับเยอร์เกน คล็อปป์ (รวมไปถึงบทสัมภาษณ์ของคล็อปป์) ก็ยิ่งทำให้มั่นใจว่านี่คือคนที่คล็อปป์ต้องการจริงๆ ไม่ใช่แค่ดีลฉาบฉวยหรือการซื้อแบบแพนิค เพราะแต่ละประโยคที่คล็อปป์คุยกับเอนโดนั้นเหมือนกับคนคลั่งรักคนนึงเลยดี ชมแล้วชมอีก อวยแล้วอวยอีก อวยไม่หยุดจริงๆซึ่งจนถึงตอนนี้ก็เริ่มเข้าใจแล้วเหมือนกันว่าทำไมคล็อปป์ถึงอยากได้นักได้หนา13 วัน เป็นตัวจริง 5 เกมสถิตินี้คือการที่ลิเวอร์พูลมีเกมแข่งขัน 5 เกมภายใน 13 วันในช่วงเดือนธันวาคม 2023 ที่ผ่านมาและเอนโดนั้นได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริง "ทุกเกม" ทำให้เอนโดกลายเป็นนักเตะ Outfield (ไม่ใช่ผู้รักษาประตู) คนแรกในรอบ 17 ปีที่ได้ลงเล่นครบทั้ง 5 เกมในรอบ 13 วันนับตั้งแต่มกราคม 2006 ที่มีสตีฟ ฟินแนน, เจมี คาร์ราเกอร์, สตีเวน เจอร์ราร์ด, แฮร์รี คีเวลล์และปีเตอร์ เคราช์ทำไว้ได้ ไม่ใช่ใครก็ได้ที่ได้รับความไว้วางใจให้ลงเล่นครบทุกนัดขนาดนี้ ต้องสำคัญมากจริงๆ ถึงจะได้ลงเล่นมากขนาดนี้ยิ่งในยุคของเยอร์เกน คล็อปป์แแล้วการที่คุณได้ลงเล่นต่อเนื่อง คุณต้องพิสูจน์ว่าตัวเองมีฝีเท้าที่ดีพอแล้วถึงได้ลงเยอะขนาดนี้ ยิ่งกับคล็อปป์แล้วชอบจับนักเตะพลิกแพลงตำแหน่งตลอด จับจอร์แดน เฮนเดอร์สันไปเล่นเบอร์ 6 ก็เคยมาแล้ว เคอร์ติส โจนส์ก็เคยลองเล่นแบ็คขวาหรือในช่วงพรีซีซันก็จับไปเล่นเบอร์ 6 เช่นกัน นักเตะหลายๆ คนเคยผ่านมือคล็อปป์ในการเล่นกองกลางตัวรับหรือเบอร์ 6 มาแล้วทั้งนั้น เช่น ธิอาโก อัลคานทารา, อดัม ลัลลานา, เจมส์ มิลเนอร์ หรือแม้กระทั่งอเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลนแย่งบอลกลับมาครองได้อย่างยอดเยี่ยมอย่างที่ทราบกันครับว่าคนเอเชียอย่างเราๆ นั้นเวลาเล่นกีฬาที่ต้องมีการปะทะ ส่วนใหญ่นั้นมักจะเสียเปรียบในเรื่องของรูปร่าง เพราะไม่ตัวใหญ่เท่า ไม่ตัวสูงเท่าพวกฝรั่งมังค่าหรือคนแอฟริกา แต่สุดท้ายแล้วสัดส่วนของร่างกายนั้นก็ไม่มีผลกับเอนโดครับ เพราะถึงแม้ตัวจะเล็กกว่าแถมยังต้องเล่นตำแหน่งเกมรับซะเป็นส่วนใหญ่ แต่เอนโดนั้นกลับมีสถิติการแย่งบอลกลับมาครองนั้นอยู่ที่ 42 ครั้ง (เฉพาะพรีเมียร์ลีก) ซึ่งถ้าหากเฉลี่ยออกมาแล้วเขาลงเล่นในพรีเมียร์ลีกไปแล้ว 15 เกมในแต่ละเกมเขาจะสามารถแย่งบอลกลับมาครองได้ 2.8 ครั้ง ตีกลมๆ คือหนึ่งเกมเขาสามารถจะแย่งบอลกลับมาครองนั้นได้ที่ 3 ครั้งผลงานของเอนโดแบบนี้ยิ่งตอกย้ำว่าคนตัวเล็ก คนเอเชียอย่างไทยเราก็สามารถเล่นกองกลางตัวรับได้เช่นกันผ่านบอลแม่นยำระดับ 90%ยิ่งเล่นยิ่งดีจริงๆ สำหรับเอนโด เพราะเหมือนตอนนี้เขาเริ่มปรับตัวเข้ากับฟุตบอลอังกฤษได้แล้ว แถมมีหลายๆ เกมที่ลงมาแล้วโดดเด่นมากๆ เช่น เกมที่ลงมาเป็นตัวสำรองในเกมที่พลิกชนะฟูแลม 4-3 เขาเป็นคนยิงประตูตีเสมอ 3-3 ให้กับทีม แต่อีกหนึ่งเกมที่เขาโดดเด่นไม่แพ้กันก็คือเกมที่เพิ่งเอาชนะนิวคาสเซิลไป 4-2 เมื่อวันขึ้นปีใหม่ 1 มกราคม 2024ในเกมนี้เอนโดนั้นมีโอกาสผ่านบอลทั้งหมด 69 ครั้งซึ่งเอนโดผ่านบอลสำเร็จ 63 ครั้ง ความแม่นยำอยู่ที่ 91% ซึ่งกลายเป็นนักเตะที่ผ่านบอลมากที่สุดในสนามของฝั่งลิเวอร์พูลถึงแม้จะเล่นในเกมนั้นเพียง 75 นาที นอกจากนี้เอนโดยังผ่านบอลในแดนของนิวคาสเซิลถึง 37 ครั้ง และทำสถิติดักบอลได้ 3 ครั้งโดยเป็นรองเพียงเทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ที่ทำไว้ 4 ครั้งกองกลางที่มีส่วนร่วมเกมรุกมากที่สุดอันดับ 5ถึงแม้ว่าตำแหน่งที่เล่นจะเป็นตำแหน่งกองกลางตัวรับ หน้าที่ส่วนใหญ่และหน้าที่หลักๆ คือเกมรับ แต่ด้วยความที่เล่นให้กับทีมใหญ่อย่างลิเวอร์พูลแถมเน้นเกมรุกเป็นหลัก มันจึงทำให้เอนโดก็ต้องปรับตัวให้ตัวเองมีส่วนร่วมกับเกมรุกด้วยเช่นกันและในบรรดากองกลางของลิเวอร์พูลที่ได้ลงเล่นในพรีเมียร์ลีกอย่างน้อย 180 นาที เอนโดคืออันดับ 5 ของกองกลางที่มีส่วนร่วมกับเกมรุกมากที่สุดเป็นรองเพียง ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ (7.9 ครั้ง/เกม), โดมินิก โซโบซไล (6.7), เคอร์ติส โจนส์ (5.9) และไรอัน กราเฟนแบร์ก (5) ส่วนเอนโดนั้นอยู่ที่ 4.8 ครั้งต่อเกม แบ่งเป็นยิง 0.8 ครั้งต่อเกม, สร้างสรรค์โอกาส 0.6 ครั้งต่อเกม และสร้างจังหวะการยิง 3.3 ครั้งต่อเกมจากทั้งหมดการลงเล่น 700 นาที สูงกว่าอเล็กซิส แม็คอัลลิสเตอร์ที่ทำไว้ 4.7 ครั้งต่อเกมสถิติเหนือกว่าฟาบินโญด้วยการที่ต้องมาเป็นเหมือนตัวแทนของฟาบินโญที่ย้ายออกไปอยู่อัล-อิตติฮัดในซาอุดิ โปรลีก นั่นเท่ากับว่าเอนโดนั้นต้องรับหน้าที่และภาระหนักอึ้งพอสมควร เพราะผลงานที่ฟาบินโญนั้นทำไว้เรียกได้ว่าเขาคือคีย์แมนอีกคนที่พาให้ลิเวอร์พูลประสบความสำเร็จ เพราะฟาบินโญนั้นสามารถเล่นได้ทั้งเกมรับและเกมรุกและมีลูกทีเด็ดในการตักบอลข้ามแนวรับคู่แข่งและเมื่อเทียบสถิติของเอนโดและฟาบินโญในฤดูกาลที่แล้วที่เป็นฤดูกาลสุดท้ายกับทีม ต้องบอกว่าเอนโดนั้นทำได้ดีกว่าพอสมควร แทคเกิล 2.22 ต่อ 2.19, การดักบอล 1.5 ต่อ 1.25, แย่งบอลกลับมาครอง 6.8 ต่อ 5.9, แย่งบอลในพื้นที่สุดท้าย 0.92 ต่อ 0.71 และผ่านบอล 64.4 ต่อ 60.3 โดยเป็นสถิติค่าเฉลี่ยต่อเกมและรวมทุกรายการที่ลงเล่นแต่ก็ต้องยอมรับว่าในช่วงหลังนั้นฟาบินโญมีฟอร์มการเล่นที่ตกลงไป แถมในฤดูกาลที่แล้วลิเวอร์พูลนั้นก็มีปัญหาในเรื่องแดนกลางที่กรำศึกหนักมาตลอดหลายฤดูกาลโดยแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย บวกกับฟาบินโญคือกลางรับคนเดียวของทีม ไม่แปลกที่ร่างกายจะถดถอยกว่าเพื่อนคนอื่นๆ ประสิทธิภาพจึงตกลงไปตามสภาพร่างกาย ในส่วนนี้ก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับฟาบินโญด้วยเช่นกัน เพราะตอนที่เขาท็อปฟอร์ม เขาก็เป็นกองกลางตัวรับที่ไม่เป็นสองรองใครเหมือนกันแต่ส่วนตัวแล้วผมเป็นคนที่ชอบกองกลางตัวรับประเภทแบบเอนโดนี่แหละ แต่ไม่ได้ไม่ชอบแบบฟาบินโญนะครับ เพียงแต่ชอบสไตล์แบบเอนโดที่เข้าบอลแบบไม่กลัวเจ็บ บวกเป็นบวก กล้าเข้าสกัดแม้ว่าตัวเองจะมีใบเหลืองติดตัวอยู่แล้ว กล้าบวกทุกคนไม่ว่าคู่ต่อสู้ของคุณจะเป็นใคร เพราะนับตั้งแต่หมดยุคที่มีฮาเวียร์ มาสเคราโนไป ลิเวอร์พูลก็ไม่มีกลางรับแบบนั้นอีกเลยซึ่งผมชอบมากๆมีกับไม่มีเอนโดช่างต่างกันเหลือเกินเมื่อไม่นานมานี้มีสถิติออกมาสำหรับการลงเล่นของเอนโดเปรียบเทียบกับเกมที่ไม่มีเอนโดในสนาม หลังจากผ่านเกมพรีเมียร์ลีกไป 20 เกม เอนโดลงสนามให้กับลิเวอร์พูล 15 เกม อีก 5 เกมเล่นโดยไม่มีเอนโดโดยเกมที่ไม่มีเอนโดนั้นคือเกมแรกที่พบกับเชลซี, เยือนวูล์ฟฯ, ไบรท์ตันและลูตัน ทาวน์และเหย้าเอฟเวอร์ตัน ที่เหลือนั้นลงเล่นทุกเกมโดย 15 เกมที่เอนโดลงเล่น เขาช่วยให้ทีมเก็บชัยชนะ 11 เกม เสมอ 3 แพ้ 1 ทีมสามารถทำประตูได้ 34 ลูก (เฉลี่ยเกมละ 2.3 ประตู) เสีย 13 ประตู (เฉลี่ยเกมละ 0.9 ประตู) Win Rate อยู่ที่ 73.3% เก็บแต้มเฉลี่ยต่อเกม 2.4 คะแนนส่วน 5 เกมที่ไม่มีเอนโดนั้น ผลคือชนะเพียง 2 เกม เสมอ 3 เกม ไม่แพ้ใคร แถมเสียประตู 5 ประตู (เฉลี่ยเกมละ 1 ประตู) แต่จำนวนประตูที่ทีมยิงได้ก็ลงเกือบ 4 เท่า เพราะทีมยิงได้เพียง 9 ประตู (เฉลี่ยเกมละ 1.8 ประตู) Win Rate ก็ลดฮวบเหมือนกันโดยอยู่ที่ 40% และเก็บแต้มได้เพียง 1.8 ต่อเกมแสดงให้เห็นว่าเอนโดนั้นมีความสำคัญกับทีมเป็นอย่างมากตัวเล็กแต่แย่งโหม่งเก่งมากถึงแม้ตัวจะเล็กเมื่อเทียบกับการต้องเล่นในฟุตบอลยุโรป แต่มีสถิตินึงที่ค่อนข้างสวนทางกับขนาดตัวของเขา เพราะเอนโดขึ้นชื่อเรื่องการเล่นลูกกลางอากาศตั้งแต่อยู่ในบุนเดสลีกากับสตุ๊ทการ์ท เพราะไม่มีกองกลางคนไหนในบุนเดสลีกานั้นมีสถิติชนะการดวลลูกกลางอากาศไปมากกว่าเอนโดแล้ว เอนโดทำไว้ 219 ครั้ง เฉลี่ยแล้วเขาชนะ 2.2 ครั้งจากทั้งหมด 3.7 ต่อเกมและมันต่อเนื่องมาถึงช่วงเวลานี้ที่เขาย้ายมาเล่นในพรีเมียร์ลีก เพราะไม่มีกองกลางลิเวอร์พูลคนไหนที่ชนะการดวลลูกลางอากาศไปมากกว่าเอนโดอีกแล้ว เอนโดทำไว้ 1.9 ครั้งต่อเกม (จากทั้งหมด 3.6 ครั้งต่อเกม) แถมเขาเป็น 1 ใน 8 กองกลางพรีเมียร์ลีกที่ลงเล่นอย่างน้อย 500 นาทีที่มีสถิติการเล่นลูกกลางอากาศยอดเยี่ยมขนาดนี้และก่อนจากกันไปสำหรับบทความนี้ ผมก็ขออนุญาตหยิบบทสัมภาษณ์ที่คล็อปป์เคยพูดถึงเอนโดในวันที่เอนโดย้ายมาอยู่กับลิเวอร์พูล เพราะนานๆ ทีจะเห็นคล็อปป์ชมใครออกหน้าออกหน้าขนาดนี้ เหมือนคนคลั่งรักจริงๆนักข่าว (ถาม): รู้สึกอย่างไรกับการเซ็นเอนโดะ และเอนโดะจะมอบอะไรให้กับทีมบ้างคล็อปป์ (ตอบ): ผมแฮปปี้มากๆ วาตารุเป็นนักเตะที่ยอดเยี่ยม เขาเป็นทั้งกัปตันของสตุ๊ทการ์ทและทีมชาติญี่ปุ่น พูดภาษาอังกฤษก็ได้ เป็นผู้ชายที่ยอดยเยี่ยมอีก, แฟมิลีแมนด้วย รวมไปถึงการเป็นเครื่องจักรในสนามและทัศนคติที่สุดยอด ผมมีความสุขมากจริงๆนั่นแหละครับ บทสัมภาษณ์ของคล็อปป์ในวันเปิดตัวเอนโด คลั่งรักมั้ยล่ะครับ5555555555555555 แถมการไปเอเชียน คัพครั้งนี้คล็อปป์ให้สัมภาษณ์เชิงอยากให้เอนโดกลับมาเร็วๆ ด้วย ซึ่งผลงานเกมแรกที่ทีมชาติญี่ปุ่นพบกับทีมชาติเวียดนาม เอนโดก็สามารถพาลูกทีมชนะไปได้ 4-2 แถมเจ้าตัวทำแอสซิสต์ให้ทาคุมิ มินามิโนะยิงประตูอีกด้วย ถือว่าเป็น "ลิเวอร์พูลคอนเนทชัน" ก็แล้วกัน แต่ดูจากตัวเต็งแล้ว ถ้าไม่มีอะไรพลิกล็อค ญี่ปุ่นก็คงเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศ เพราะทัพซามูไรนั้นเป็นเต็ง 1 ของรายการนี้เลยและผลงานที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้ก็ส่งผลให้แฟนๆ เดอะ ค็อปโหวตให้เอนโดเป็นนักเตะยอดเยี่ยมของสโมสรประจำเดือนธันวาคม 2023 ที่ผ่านมาบทความที่เกี่ยวข้องทำความรู้จัก "วาตารุเอ็นโดะ" กองกลางเลือดซามูไรของลิเวอร์พูลตัดเกรด 20 นักเตะลิเวอร์พูลหลังผ่านไปครึ่งซีซั่นสุดหล่อคนนี้เป็นของคุณนะ!!! 10 นักเตะ "สุดหล่อ" ของลิเวอร์พูลเทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ยังสำคัญกับลิเวอร์พูลหรือไม่ ?ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจากOpta AnalystOfficial Facebook ของลิเวอร์พูลOfficial Instagram ของวาตารุ เอนโด (@endowataru)ภาพปก 1, ภาพปก 2, ภาพปก 3, ภาพประกอบ 1, ภาพประกอบ 2, ภาพประกอบ 3, ภาพประกอบ 4, ภาพประกอบ 5, ภาพประกอบ 6, ภาพประกอบ 7 และภาพประกอบ 8 เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !