หลายวันก่อน หลังจากกลับจากงานวิ่งที่เพชรบูรณ์ แฟนผมแชร์โพสต์ของคุณแซม หรือผู้ใช้ facebook ชื่อ "Sam's Story" เกี่ยวกับเรื่องราวน่ารัก ๆ ในระหว่างเขากับแฟนสาวในระหว่างเข้าร่วมกิจกรรมงานวิ่งงานหนึ่ง (แต่ไม่ใช่งานเดียวกับที่ผมกับแฟนเข้าร่วมนะครับ) แล้วคุณแซมไม่สามารถวิ่งได้เนื่องจากอาการป่วย จึงต้องเดินตลอดระยะทาง โดยแฟนสาวของเขาก็เดินเคียงข้างมาด้วยตลอดจนเข้าเส้นชัย แม้จะบ่นงอแงบ้างที่ต้องมาเดินแทนที่จะได้วิ่ง (ภาพจาก Facebook "Sam's Story") แฟนผมแชร์โพสต์แล้วก็เอ่ยขึ้นกับผมว่า เหตุการณ์นั้นของคุณแซมกับแฟนสาว ใกล้เคียงกับเหตุการณ์ที่เกิดกับเราสองคนในวานวิ่งที่ผ่านมาเลย แตกต่างกันตรงที่ เรื่องของเรานั้น ผมเป็นฝ่ายงอแง และตอนจบของเหตุการณ์ก็หักมุมอย่างคาดไม่ถึง ผมชั่งใจอยู่หลายวันว่าจะเขียนเรื่องนี้ดีหรือไม่ เพราะถึงแม้จะเป็นเรื่องราวน่ารัก ๆ แต่ก็เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้แฟนผมออกจะเขินอายด้วยทุกครั้งที่พูดถึง แต่คิดแล้ว เมื่อมันเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ และมีแง่คิดบางประการแฝงอยู่ จึงขอนำมาเล่าสู่กันฟัง แต่ก็ขออำพรางตัวตนของแฟนสาวผู้น่ารักของผมไว้หน่อย โดยไม่เอ่ยชื่อ และไม่เปิดเผยใบหน้าของเธอให้เห็นชัดละกันนะครับ เรื่องมันเกิดขึ้นเพราะพวกเรา (ผม แฟน และเพื่อน ๆ ของเธอ) ชวนกันสมัครเข้าร่วมงานวิ่งงานหนึ่งที่จังหวัดเพชรบูรณ์เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยสมัครวิ่งระยะทาง 10 กิโลเมตร (ภาพถ่ายจากกล้องของแฟนสาวผู้น่ารักของผมเอง ^^) แต่ช่วงก่อนถึงวันงาน ดูเหมือนว่าแฟนผมจะมีภารกิจการงานค่อนข้างยุ่ง จนทำให้เว้นว่างจากการฝึกซ้อมและพักผ่อนน้อย เมื่อถึงวันวิ่ง เธอจึงมีอาการเหนื่อยตั้งแต่กิโลเมตรแรกที่ออกวิ่ง จนต้องเปลี่ยนมาเดินแทน ทั้งที่ก่อนหน้านี้เธอก็วิ่งออกกำลังกายเป็นประจำ และร่วมงานวิ่งอยู่เสมอ ทำให้ผมออกจะแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็เปลี่ยนจากวิ่งมาเดินไปกับเธอด้วย แม้เธอจะไล่ให้ผมวิ่งนำหน้าไปก่อนก็ตาม ยอมรับว่าแอบรู้สึกขัดใจนิดหน่อยที่ต้องเดินทั้งที่ตั้งใจมาวิ่งเต็มที่ โดยเฉพาะตอนที่เห็นนักวิ่งคนอื่น ๆ แม้แต่เด็กและผุ้สูงวัย เดิน - วิ่งแซงหน้าไปหลายต่อหลายคน แต่หันไปมองเธอแล้วก็เข้าใจและเห็นใจว่าเธอคงไม่ไหวจริง แม้จะพยายามเปลี่ยนจากเดินกลับไปเป็นการวิ่งในหลาย ๆ ช่วง แต่ไม่นานก็ต้องเปลี่ยนมาเดินต่อไปอีก ผมเห็นว่าถ้าเป็นอย่างนั้นคงไม่น่าจะไปต่อในระยะทาง 10 กิโลเมตร จึงชวนเธอเปลี่ยนเส้นทางตรงจุดแยกของเส้นทางวิ่งทั้งสองระยะทาง โดยชวนให้เลี้ยวเข้าเส้นทางเดิน - วิ่ง 5 กิโลเมตร เพื่อพาเธอกลับไปยังจุดเริ่มต้นและพักผ่อนโดยไม่ต้องเข้าเส้นชัย เพราะดูแล้วแม้จะเข้าเส้นชัยก็คงไม่ได้รับเหรียญรางวัลที่ระลึก เนื่องจากงานวิ่งดังกล่าวซึ่งเป็นงานการกุศล ผู้จัดงานได้จัดทำเหรียญรางวัลที่ระลึกไว้เพียง 400 เหรียญสำหรับนักวิ่งที่เข้าเส้นชัย 400 ลำดับแรก โดยกระจายไปตามลำดับในแต่ละกลุ่มอายุ แต่เธอก็ยืนยันว่าจะเดิน - วิ่งต่อไปตามเส้นทางให้ครบระยะทาง 10 กิโลเมตรตามที่สมัครไว้เพื่อให้ถึงเส้นชัยโดยสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นลำดับที่เท่าไรก็ตาม จากความรู้สึกขัดใจในตอนแรก เมื่อเห็นความมุ่งมั่นตั้งใจแม้ร่างกายจะไม่พร้อมของเธอ ทำให้ความรู้สึกเปลี่ยนมาเป็นความเอ็นดูและชื่นชม เราเดินคุยกันไปตามเส้นทาง 10 โลเมตร ราวกับกำลังพากันเดินเที่ยวชมธรรมชาติและบรรยากาศสองข้างทาง ในขณะที่นักเดิน - วิ่ง คนอื่น ๆ ทยอยเดิน - วิ่งแซงหน้าและหายลับไปจากสายตา จนได้ยินเสียงไซเรนอยู่ด้านหลัง เมื่อหันไปมอง ก็พบรถพยาบาล และรถของเจ้าหน้าที่อาสาสมัครกู้ภัยที่ขับตามมาคอยดูแลนักวิ่ง ซึ่งตอนนั้นว่าคาดว่าคงเหลือเราเป็นคู่สุดท้าย ถือว่าเป็นประสบการณ์ครั้งแรกตั้งแต่ร่วมงานวิ่งมาเลยทีเดียว เจ้าหน้าที่ในรถตู้พยาบาลที่ขับชะลอตามหลังมา ร้องถามเป็นระยะ ๆ ว่าต้องการจะขึ้นรถกลับไปยังจุดเริ่มต้นหรือไม่ เธอหันไปปฏิเสธพร้อมรอยยิ้ม เจ้าหน้าที่ยิ้มตอบอย่างเข้าใจ และรถไซเรนนั้นก็ยังคงขับชะลอตามเราทั้งคู่ต่อไป ส่วนเธอก็ยังคงเดินสลับวิ่ง โดยได้รับเสียงเชียร์ของคนที่ขับรถผ่าน และผู้ที่ออกกำลังกายยามเช้าอยู่ในสวนสาธารณะข้างทางที่เราผ่าน (ภาพจากกล้องของนักเขียนหน้าตาดีคนนี้เอง ><) เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมงสี่สิบนาที เราก็พากันเข้าใกล้ถึงเส้นชัย ณ จุดเริ่มต้นบริเวณหน้าศาลากลางจังหวัด และวิ่งเข้าเส้นชัยอย่างสวยๆ ด้วยความยินดีที่มาถึงได้ โดยไม่ได้คิดถึงลำดับที่และระยะเวลา (ภาพจากกล้องของนักเขียนหน้าตาดีคนนี้เอง ><) แต่แล้วเมื่อแฟนผมวิ่งผ่านเส้นชัยเข้าไป และกำลังจะเดินออกมา เจ้าหน้าที่ ณ เส้นชัยได้เรียกเธอไว้ ส่งป้ายคล้องคอระบุว่า เธอติดอันดับการวิ่งเข้าเส้นชัยยี่สิบห้าคนแรกของกลุ่มอายุ โดยเธอวิ่งเข้าเส้นชัยเป็นลำดับที่สิบ และได้ขึ้นรับมอบเหรียญรางวัลที่ระลึกจากท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัดบนเวที ซึ่งผมแอบได้ยินท่านถามเจ้าหน้าที่ผู้ถือพานเหรียญรางวัลว่า "ยังมีคนที่จะขึ้นรับเหรียญรางวัลอีกเยอะมั้ย" และเจ้าหน้าที่ตอบว่า "น่าจะหมดแล้วหล่ะค่ะท่าน" (ภาพจากกล้องของนักเขียนหน้าตาดีคนนี้เอง ><) เมื่อลงมาด้านล่าง เธอชูเหรียญนั้นขึ้นอวดและยิ้มอย่างขบขัน ระคนกับความภาคภูมิใจแบบงง ๆ ไม่ต่างจากผมที่อดขำไม่ได้ และผมเชื่อว่า เหรียญรางวัลนั้นคงเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจที่ตราตรึงอยู่ในความทรงจำ ทั้งเธอ ผม และแม้แต่พี่ ๆ เจ้าหน้าที่คนขับรถไซเรน... (ภาพถ่ายจากกล้องของแฟนสาวผู้น่ารักของผมเอง ^^) ภาพปกข้อความ จากกล้องของผู้เขียนเอง แต่งภาพเพิ่มเติมเพื่อความสวยงาม