ภาพปกจากpixabay.com มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่นิยมการแข่งขันสูง การแข่งขันนั้นบางครั้งอาจมาในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งแข่งพละกำลังในการสงคราม แข่งความรู้ด้านตำรา หรือแข่งขันในลักษณะเกมกีฬา ซึ่งกีฬานี้มีมายาวนานมีการกำหนดกติกาอย่างชัดเจนจึงได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แม้แต่ในบทบาทของตัวละครในวรรณกรรมไทยหลายเรื่องก็มีการกล่าวถึงกีฬาไว้หลายชนิดด้วยกัน บทความนี้จึงนำเสนอกีฬาที่ปรากฏในวรรณกรรมไทยซึ่งมีดังนี้ กีฬาตีคลี การตีคลีนี้ปรากฏในเรื่องสังข์ทอง ตอนที่พระอินทร์แปลงกายลงมาแข่งตีคลีกับพระสังข์ กีฬาตีคลีในเรื่องนี้มีความพิเศษคือขี่ม้าตีคลี(เหาะตีในอากาศ) ภาพจากpixabay.com ในอดีตกีฬาตีคลีแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ คลีช้างที่ผู้เล่นต้องขี่ช้างตีคลี คลีม้าที่ผู้เล่นขี่ม้าตีคลี เดินตีคลีที่ผู้เล่นเดินตีคลี ซึ่งในปัจจุบันกีฬาตีคลีนี้นิยมแบบเดินตี โดยขุดหลุมไว้แล้วใช้ไม้ขอที่เป็นรูปตัว L ตีลูกให้ไปลงหลุมอีกฝ่าย บ้างก็ตีให้ไปชนกับเกราะไม้ของฝ่ายตรงข้าม กีฬาล่าสัตว์ กีฬาล่าสัตว์นี้เป็นกีฬาของชนชั้นปกครอง ดังจะเห็นได้จากวรรณกรรมเรื่องอิลราชคำฉันท์ที่ท้าวอิลราชเสด็จประพาสป่าล่าสัตว์จนพระองค์หลงเข้าไปในเขาไกรลาสที่พระอิศวรกับพระอุมาประทับอยู่จนถูกสาป ภาพจากpixabay.com กีฬาชนิดนี้ไม่มีรูปแบบหรือกติกาที่ชัดเจน คาดว่าจะเป็นลักษณะการล่าสัตว์โดยแข่งจำนวนสัตว์และขนาดของสัวต์ที่ล่าได้ ซึ่งผู้แข่งนั้นจะต้องเป็นกษัตริย์กับกษัตริย์หรือกษัตริย์กับนักรบ ปัจจุบันกีฬาชนิดนี้ไม่มีในประเทศไทย เนื่องจากการล่าสัตว์ป่าเป็นเรื่องผิดกฎหมาย น่ารังเกียจ จึงคงเหลือเพียงเรื่องเล่าผ่านหน้าหนังสือวรรณกรรมเท่านั้น กีฬาแข่งบั้งไฟ การแข่งบั้งไฟนั้นมีมาตั้งแต่อดีตในภาคอีสาน โดยจะเห็นได้จากวรรณกรรมเรื่องผาแดงนางไอ่อันเป็นที่มาของตำนานเมืองหนองหาน กีฬาแข่งบั้งไฟที่ปรากฏในวรรณกรรมเรื่องนี้มีเดิมพันเป็นรางวัลของผู้ชนะคือนางเอกของเรื่อง(นางไอ่) ซึ่งพญาขอมผู้เป็นพ่อของนางไอ่กำหนดให้แข่งกีฬานี้ขึ้นเพื่อต้องการหาคู่ครองให้นางไอ่ โดยมีกติกาว่าบั้งไฟใครขึ้นสูงที่สุดจะเป็นผู้ชนะ ภาพจากpixabay.com การวัดความสูงของบั้งไฟในอดีตขึงเชือกเอาไว้หลายระดับที่ด้านหน้าที่นั่งของคณะกรรมการ ภูมิปัญญาการวัดความสูงของบั้งไฟแบบนี้คล้ายกับการวัดความสูงด้วยมิติสามเหลี่ยมหรือตรีโกณมิติของคณิตศาสตร์นั่นเอง ในปัจจุบันนี้กีฬาแข่งบั้งไฟยังคงได้รับความนิยมในภาคอีสานอยู่เช่นเดิม กติกาก็เหมือนเดิมหากแต่มีการนำเอาเครื่องจับเวลามาใช้วัดระยะเวลาที่บั้งไฟขึ้นจากแท่นจุดจนถึงเวลาที่ตกลงสู่พื้นดิน กีฬาที่ปรากฏอยู่ในวรรณกรรมไทยเปรียบเหมือนแคปซูลแห่งกาลเวลาที่บันทึกเอาไว้ว่าคนในอดีตเล่นกีฬาอะไรบ้าง แต่ไม่ว่ายุคใดสมัยใดสิ่งสำคัญที่สุดของการเล่นกีฬาคือผู้เล่นต้องรู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย อันเป็นน้ำใจและจิตวิญญาณของนักกีฬาที่พึงมี