" แฟนบอลพากันเดินออกจากสนาม สีหน้าผิดหวังของกุนซือระดับตำนาน ความพ่ายแพ้ต่อคู่อริแบบย่อยยับ " ทั้งหมดคือเหตุการณ์น่าตกใจที่เกิดขึ้นหลังศึกแดงเดือดประจำฤดูกาล 2021-22 ที่ทัพหงส์แดงผู้อหังการบุกมาถล่มทัพปีศาจแดงแบบขาดลอย ถึง 0 - 5 ยิ่งเป็นการตอกย้ำภาพจำแสนเจ็บปวดที่แฟนบอลแมนยูรู้สึกมาตลอดตั้งแต่วันที่ " น้าลูกอม " เข้ามากุมบังเหียนทีม และในบทความนี้คือเรื่องราววิกฤติความตกต่ำของแมนยูในยุคสมัยของโซลชาร์ เสียงวิจารณ์หนาหูจากผลงานของสุดย่ำแย่ของ " The Special One " ที่สะสมต่อเนื่องทำให้แมนยูตัดสินใจเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในช่วงปลายปี 2018 โดยการแต่งตั้งโซลชาร์เข้ามาคุมทีมชั่วคราวภายใต้ประโยคสุดคลาสสิก " ปลุกปีศาจต้องใช้ปีศาจ " ที่ตามมาด้วยเสียงวิจารณ์ในแง่ลบต่อตัวน้าลูกอมที่ไม่มีประสบการณ์คุมทีมประสบความสำเร็จเลย เกิดเป็นคำถามชวนสงสัยว่าแมนยูกำลังจะเดินหน้าไปในทิศทางใดกันแน่ แต่เสียงวิจารณ์ทั้งหมดทุกทำลายจากฟอร์มสุดร้อนของแมนยูที่ชนะรวดต่อเนื่อง ทำให้แฟนบอลเริ่มมีความหวังกับโซลชาร์ที่ได้สร้างสถิติเป็นกุนซือแมนยูคนแรกที่ชนะเกมลีกห้านัดแรกที่คุมทีมนับตั้งแต่ปี 1946 ที่เคยทำไว้โดย " เซอร์แมตต์ บัสบี้ " แถมยังสามารถโกงความตายพลิกชนะเปแอสเชได้ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายของศึกยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกก็ยิ่งทำให้ดีเอ็นเอปีศาจเด่นชัดขึ้น ผลสรุปในครึ่งปีแรกโซลชาร์พาแมนยูขยับขึ้นมาจบอันดับหกได้ตั๋วไปเล่นบอลยุโรปถ้วยเล็ก ส่วนในถ้วยหูใหญ่พวกเขาจอดป้ายที่รอบแปดทีม จากภาพรวมผลงานที่ค่อนข้างดีจึงทำให้สโมสรตัดสินใจเซ็นสัญญายาว 3 ปีกับโซลชาร์ในฐานะกุนซือถาวรคนใหม่ ในฤดูกาลที่สองพวกเขามีนัดเปิดสนามที่สุดเหวี่ยงด้วยการถล่มเชลซีขาดลอย แต่ภาพรวมผลงานปีนี้กลับไม่สม่ำเสมอเก็บแต้มเป็นกอบเป็นกำเหมือนตอนแรก จนเริ่มเกิดเสียงวิจารณ์ถึงความเก่งของโซลชาร์จนเกิดเป็น " การวนลูปนรก " ที่ไม่แน่นอน แต่สุดท้ายพวกเขาก็ยังจบอันดับสามได้สิทธ์ไปเล่นถ้วยหูใหญ่ในฤดูกาลหน้า ส่วนบอลถ้วยสามรายการก็จอดป้ายที่รอบรองชนะเลิศทุกถ้วย ถึงจะมือเปล่าอีกปีแต่โซลชาร์ก็ยังได้อยู่ต่อไป ฤดูกาล 2020–21 เป็นปีที่เสียงวิจารณ์หนักข้อขึ้นจากปีที่แล้วเพราะฟอร์มช่วงเปิดตัวที่ย่ำแย่ แถมยังมีเกมที่แพ้คาบ้านขาดลอยต่อเสปอร์ถึง 1 - 6 ยิ่งทำให้แฟนบอลเริ่มหมดศรัทธาต่อตัวโซลชาร์แล้ว แต่ไม่น่าเชื่อว่าแมนยูจะเรียกฟอร์มในช่วง 2 ส่วน 4 ของฤดูกาลได้จนกลับมาได้ลุ้นแชมป์ช่วงสั้นๆ แถมยังมีเกมที่ไล่ถล่มคู่แข่งเกินครึ่งโหล่จากเกมโต้กลับสุดจัดจ้าน บทสรุปสุดท้ายโซลชาร์พาลูกทีมจบรองแชมป์คว้าอันดับ 2 แซงหน้าคู่อริอย่างลิเวอร์พูลได้สำเร็จ ถือเป็นพัฒนาการที่พาแฟนบอลกลับมามีความเชื่อมั่นอีกครั้ง ถึงแม้จะพลาดท่าตกรอบแบ่งกลุ่มฟุตบอลถ้วยหูใหญ่แบบน่าเจ็บใจก็ตาม แต่พวกเขาก็เล่นดีในถ้วยรองจนได้เข้าชิงกับบียาร์เรอัล ซึ่งมันคือถ้วยที่แฟนบอลหวังว่าโซลชาร์จะปลดล็อคฐานะ " กุนซือไร้ถ้วย " ได้เสียที แต่อย่างที่เราทราบกันดีว่าความฝันนั้นไม่เคยเกิดขึ้นเมื่อพวกเขาพ่ายในการดวลจุดโทษ เป็นอีกนึ่งปีที่แมนยูมือเปล่าแต่โซลชาร์ก็ยังได้อยู่ต่อไปพร้อมเสียงวิจารณ์ที่กลับมาโจมตีอีกครั้ง จนกระทั่งในฤดูกาลนี้ที่พวกเขาก็เปิดตัวได้อย่างสวยหรู แถมยังเสริมทัพในชนิดที่ว่าต้องการทวงบัลลังก์แชมป์ เริ่มตั้งแต่การคว้าตัวดาวรุ่งฟอร์มฮอต " จาดอน ซานโช " มาจากบุนเดสลีก้าพร้อมค่าตัวสุดโหดที่ 73 ล้านปอนด์ แถมยังกระชากตัว "ราฟาเอล วาราน" ปราการหลังระดับโลกจากราชันชุดขาวมาร่วมทีม แถมในช่วงโค้งสุดท้ายก็ยังคว้าตัวนักเตะที่เก่งที่สุดในโลกอย่าง " คริสเตียโน โรนัลโด้ " ให้กลับมาอยู่บ้านเก่าได้ก่อนตลาดปิดได้ยิ่งทำให้แฟนบอลเชื่อว่าทีมจะต่อยอดฟอร์มจากฤดูกาลที่แล้วได้ ทุกอย่างเหมือนจะดูแฮปปี้ไปหมด แต่ผลลัพธ์นับจากวันนั้นมาจนถึงตอนนี้ฟอร์มการเล่นของปีศาจแดงกลับไม่แรงอย่างที่คิด ซึ่งคนที่ได้รับผลกระทบหนังสุดก็คงหนีไม่พ้น " โอเล่ กุนนาร์ โซลชา " ที่แบกรับความกดดันจากเสียงวิจารณ์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอมาฤดูกาลนี้ยิ่งต้องแบกความคาดหวังเพิ่มอีกหลายเท่าตัว ไม่รู้เกิดจากสาเหตุอันใดถึงทำให้ฟอร์มของแมนยูยิ่งเล่นก็ยิ่งย่ำแย่ ความเข้าขาที่เคยมีในฤดูกาลที่แล้วหายไปหมด มักจะอาศัยความสามารถเฉพาะตัวของผู้เล่นเอาตัวรอดในเกมยากเป็นหลัก จึงทำให้ฟอร์มของทีมไม่สม่ำเสมอเมื่อเทียบกับกลุ่มทีมลุ้นแชมป์ด้วยกัน นัดที่ควรเก็บชัยชนะก็ไม่เขี้ยวพอทั้งในพรีเมียร์ลีก และยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกที่โซลชาถูกโจมตีเรื่องการตัดสินใจในสนามที่ไม่ว่าจะเป็นการพักตัวผู้เล่น หรือการเปลี่ยนตัวที่มันดูขัดกับสิ่งที่ควรเป็นมาก ผู้เล่นที่ฟอร์มกำลังมั่นใจอย่าง " เจสซี ลินการ์ด " ก็ไม่เคยให้โอกาสลงตัวจริงมากเท่าที่ควร ทำให้ผลงานหลังผ่านไป 9 นัด ทัพปีศาจแดงรั้งอยู่อันดับ 7 ของตาราง โดยมีแต้มตามหลังจ่าฝูงถึง 8 แต้ม แถมแมนยูก็กำลังอยู่ในช่วงโปรแกรมหนักที่จะเจอทีมระดับ TOP 6 แบบต่อเนื่องไม่ได้หยุดพักทำให้แฟนบอลพากันเป็นห่วงว่าอันดับของทีมจะร่วงลงไปไกลกว่านี้จนกลับมายาก อย่างที่ผมบอกไปในตอนต้นว่ากระแสความไม่พอใจของแฟนบอลมันมาถึงจุดแตกหักเมื่อพวกเข้าเปิดบ้านแพ้ทีมคู่อริตลอดกาลแบบไร้ทางสู้เหมือนบอลคนละระดับ ทั้งที่ในค่ำคืนบอลยุโรปช่วงกลางสัปดาห์เพิ่งจะโกงความตายกลับมาชนะได้ แถมความเป็นจริงตัวผู้เล่นในมือแมนยูไม่ได้ดูเป็นรองลิเวอร์พูลมากขนาดนั้น เพราะเป้าหมายของแมนยูในฤดูกาลนี้ไม่ใช่การลุ้นตำแหน่งท็อปโฟร์อีกต่อไป แต่พวกเขาต้องมองไปถึงการท้าชิงแชมป์ " พรีเมียร์ลีก " ที่พวกเขาห่างหายความสำเร็จมานานเกือบสิบปี แต่ทว่าตอนนี้เกมลีกผ่านไปเพียง 9 นัดแต่ดูเหมือนว่าเส้นทางแชมป์ของแมนยูจะเลือนลางไปอย่างรวดเร็ว ส่วนการจะหวังคว้าแชมป์รายการอื่นมาติดไม้ติดมือก็ดูยากเช่นกัน ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาบอร์ดบริการยังไว้ใจโซลชาด้วยปัจจัยหลายอย่าง และการหาตัวแทนที่โปรไฟล์ดีตอนนี้ก็มีตัวเลือกไม่มากนัก แต่สุดท้ายผมมองว่าในยามที่สปิริตของทีมกำลังติดลบ รูปแบบการเล่นไม่สร้างสรรค์ ความไม่เชื่อมั่นในตัวเจ้านายจนนักเตะบางรายเริ่มแสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจ ซึ่งปัญหาทั้งหมดเหล่านี้ยิ่งปล่อยไว้นานจะยิ่งเป็นผลเสียของทีม ถ้าจะให้พูดกันตามตรงว่าปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ด้วยคำว่า " เปลี่ยนแปลง " คำสั้นๆ เพียงคำเดียวจะช่วยให้สถานการณ์ของแมนยูดีขึ้นอย่างแน่นอนภายใต้การคุมทีมของกุนซือประสบการณ์สูงที่จะเข้ามาใหม่ เพราะฉะนั้นในช่วงหนึ่งเดือนต่อจากนี้ที่แมนยูกำลังเจอศึกหนักรอบด้าน เรามารอดูกันดีกว่าครับว่าพวกเขาจะเปลี่ยนกุนซือกันวันไหนเพราะบางที " การปลุกปีศาจ " ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ปีศาจเสมอไป *** บทความน่าสนใจจาก Taleman - ความกดดันที่โรนัลโด้มอบให้นายใหญ่แห่งถิ่น " แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด " - 3 ปัจจัยที่ส่งผลให้หงส์แดง " Liverpool " พลาดแชมป์ฤดูกาล 2021-2022 - ส่องความโหด "โมฮาเหม็ด ซาลาห์ " เทพเจ้าลูกหนังแห่งอียิปต์ ความหวังของทัพลิเวอร์พูล ** Ref Picture ภาพหน้าปก จาก Manchester United ภาพประกอบ 1 ( Video Press Conference ) , 4 จาก manutd.com / 2 , 3 , 5 , 6 จาก Manchester United