จ่าฝูงพรีเมียร์ลีกยังฆ่าไม่ตาย แม้จะโดนนำไปถึงสองประตูก็ตาม แต่สุดท้ายด้วยพลังใจและทีเด็ดของนักเตะไอ้ปืนใหญ่ อาร์เซนอล ก็สามารถพลิกกลับมาเอาชนะบอร์นมัธได้สำเร็จ 3-2 โดยบอร์นมัธนำไปก่อนถึง 2 ลูก โดยประตูแรกเกิดขึ้นในช่วงนาทีแรกของครึ่งแรกจากจังหวะเขี่ยบอลเริ่มเล่น อาศัยจังหวะที่นักเตะอาร์เซนอลกำลังเซ็ตแนวรับของตัวเอง เปิดบอลไปถึงโดมินิค โซลันกี้แต่จับบอลไม่ทัน และเป็นฟิลลิป บิลลิ่งที่วิ่งมาโฉบยิงเข้าไป ส่วนประตูที่สองมาจากจังหวะเล่นลูกเตะมุมในช่วงครึ่งหลัง มาร์กอส เซเนสซี่ โหม่งเข้าไปอย่างสวยงาม ส่วนทางอาร์เซนอลก็ทำประตูคืนได้ในช่วงหลังจากเสียประตูไม่ถึง 5 นาที จากจังหวะลูกเตะมุมที่เคลียร์บอลไม่ขาดของเนโต้ บอลมาถึง เอมิล สมิธ โรว กระโดดโหม่งไปทางหน้าปากประตูและเป็นโทมัส ปาร์เตย์วิ่งเข้ามายิงอัดเต็มข้อชิ่งเข่าเนโต้เข้าประตูไปเรียบร้อย ส่วนประตูที่สองมาจากการประสานงานที่สวยงามของตัวสำรองในเกมนี้ จากจังหวะขลุกขลิกนอกเขตโทษ บอลไปถึงรีส เนลสัน เปิดบอลข้ามไปถึง เบน ไวท์ ชาร์จเต็มข้อ แม้เนโต้จะปัดบอลออกจากประตูได้ แต่บอลข้ามเส้นประตูเข้าไปแล้ว และสัญญาณโกลไลน์จากกรรมการก็คอนเฟิร์มว่า เป็นประตู ส่วนประตูสุดท้ายมาเกิดขึ้นในช่วงนาทีทดเจ็บ หลังจากที่อาร์เซนอลได้เล่นลูกเตะมุมเป็นจังหวะสุดท้ายในเกมนี้ จากจังหวะโหม่งเคลียร์ของนักเตะบอร์นมัธ บอลมาถึงรีส เนลสัน ได้พักบอลและง้างยิงด้วยซ้ายเต็มข้อ เข้าประตูไปอย่างชนิดที่เรียกว่า ลูกสวยงามประจำเกมก็ได้ และเป็นลูกสำคัญที่ทำให้อาร์เซนอล พลิกแซงบอร์นมัธได้สำเร็จ คว้า 3 คะแนนมาได้สำเร็จทำให้สถานการณ์อาร์เซนอลตอนนี้ยังคงได้เปรียบเหมือนเดิม หลังจากเก็บคะแนนเพิ่มเป็น 63 คะแนน ทำแต้มห่างจากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ที่อยู่อันดับ 2 เป็น 5 แต้มตามเดิม ส่วนทางบอร์นมัธยังคงต้องหนีตายต่อไปและสถานการณ์ยิ่งแย่เข้าไปอีกเพราะ เซาธ์แฮมป์ตัน สามารถเอาชนะคริสตัล พาเลซไปได้ 1-0 ทำให้ตอนนี้ทั้งสองทีมมีคะแนนเท่ากันแต่ลูกได้เสียของบอร์นมัธแย่กว่า ทำให้ต้องจมอยู่ท้ายตารางแทนเมื่อมองดูภาพรวมเกมในช่วง 60 นาทีแรกที่อาร์เซนอลเป็นฝ่ายเสียเปรียบเรื่องของจำนวนประตู แต่กลับกลายเป็นว่าอาร์เซนอลเป็นฝ่ายพับสนามบุกอยู่ฝ่ายเดียวเต็มๆ แต่ก็ไม่สามารถเจาะแนวรับที่ลงไปรับกันแทบจะทั้งทีมของบอร์นมัธไปได้เลย แม้จะมีจังหวะจังๆจากทั้งมาร์ติน โอเดการ์ด กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ หรือแม้กระทั่งจากสมิธ โรว แต่สุดท้ายก็ยังไม่เฉียบคมพอที่จะเปลี่ยนเป็นประตูได้ อีกทั้งจังหวะที่เสีย เลอันโดร ทรอสซาร์จากอาการบาดเจ็บแล้วต้องเปลี่ยนตัวทันที ทำให้เกมรุกของอาร์เซนอลดูจะไม่เข้าที่เข้าทาง เพราะสมิธ โรว ไม่ได้เล่นสไตล์เดียวกับทรอสซาร์ แถมการปิดตายบูกาโย่ ซาก้าในการบุกฝั่งขวา ทำให้เกมรุกอาร์เซนอลดูตื้อๆตันๆไปพักหนึ่งเลยทีเดียวแต่ตัวแปรสำคัญที่ทำให้อาร์เซนอลกลับมาในเกมนี้คือจังหวะที่สมิธ โรว สามารถโหม่งชงมาให้ปาร์เตย์ชาร์จเต็มข้อเข้าประตูนั่นเอง ซึ่งโชคดีที่สมิธ โรวอยู่ตรงที่บอลโดนเคลียร์ตกลงมาทางเขาพอดี และรีส เนลสัน ที่ถูกเปลี่ยนลงมาแทนสมิธ โรว และอีกไม่กี่นาทีต่อมาเขาก็สามารถใช้ความสดของตัวเองที่เป็นข้อได้เปรียบ จัดการเปิดบอลข้ามไปถึง เบน ไวท์มาชาร์จเต็มข้อได้ และในท้ายเกม เขาก็สร้างประตูที่ตอกย้ำความโหดของเขาในฐานะโจ๊กเกอร์ของทีม ที่ยิงซัดเต็มข้อเข้าประตูไปเต็มๆ ในเกมนี้ยิ่งตอกย้ำความสุดยอดของทั้งร่างกายและจิตใจของนักเตะอาร์เซนอลในสนามที่ยังคงใจสู้และพร้อมล่าชัยชนะให้กับทีมและแฟนบอลในสนาม ส่วนมิเกล อาร์เตต้าก็ต้องชื่นชมเรื่องของการปลุกใจลูกทีมและการแก้ไขสถานการณ์เกมรุกของทีมที่ตื้อๆตันๆมาตลอดในช่วง 60 นาทีแรก ทั้งการเปลี่ยนโทมิยาสุเป็นเบน ไวท์ และเปลี่ยนสมิธ โรว เป็นเนลสัน ซึ่งการเปลี่ยนตัวนั้นก็ส่งผลได้อย่างแรง เพราะทั้งสองคนคือส่วนสำคัญของชัยชนะในเกมนี้หรือนี่คือ DNA ของทีมที่มีโอกาสเป็นแชมป์ ที่หลายๆเกมที่คาดว่าจะแพ้หรือเสมอ มักจะสามารถพลิกกลับมาชนะได้แบบสะใจแฟนบอลแบบนี้โดยนัดถัดไปของอาร์เซนอลจะเป็นเกมยูโรป้า ลีกที่ต้องออกไปเยือนสปอร์ติ้ง ลิสบอน และในลีกจะต้องออกไปเยือนฟูแล่ม ส่วนทางบอร์นมัธเปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของลิเวอร์พูลขอขอบคุณภาพประกอบบทความภาพที่ 1 จาก Twitter AFC Bournemouthภาพที่ 2 จาก Twitter Arsenalภาพที่ 3 จาก Twitter Arsenalภาพที่ 4 จาก Twitter Arsenalภาพที่ 5 จาก Twitter Arsenalภาพที่ 6 จาก Twitter Arsenalภาพปกประกอบบทความ จาก Twitter ArsenalCommunity ฟุตบอล ถกประเด็นร้อนฟุตบอลทุกลีก ใครตัวเต็ง ใครฟอร์มตก ต้องเคลียร์