บิ๊กแมทซ์ประจำสัปดาห์ที่ 4 ของพรีเมียร์ลีคคงหนีไม่พ้นแมทซ์นี้ ด้วยความที่เป็นทีมใหญ่กันทั้งคู่ศักดิ์ศรีคงไม่มีใครยอมใคร โดยเป็นฝั่งของอาเซน่อลที่ได้เปรียเสียงเชียร์เพราะได้เล่นในบ้าน แถมระยะหลังเอมิเรตส์สเตเดียมก็มีความเป็นนรกทีมเยือนอยู่ไม่น้อย แฟนบอลเหนียวแน่นระดับบ้าคลั่ง มีแพชชั่นการเชียร์กับทุกช็อต ดุดันในการเปล่งเสียงพอๆกับสไตล์การเล่นของทีม กูรูจากหลายสำนักเลยฟันธงไปแล้วว่าแมนยูไม่น่าจะรอดไปจากที่นี่ได้ ซึ่งจากรูปเกมที่ผมดูผมว่าก็มีเค้าอยู่ครับ พลพรรคเดอะกันส์เนอร์ใช้กลวิธีเพลสซึ่งบีบเข้าใส่ตั้งแต่เริ่มเกม โยนความกดดันไปให้ฝั่งแมนยูที่ป้อแป้จนงัวหัวไม่ขึ้น เปอร์เซ็นต์การครองบอลห่างกันเป็นกิโล ตัวเลขการสาดบอลยาวเด่นหลาอยู่ที่ฝั่งแมนยูแทบจะทั้งหมด พวกเขากลายเป็นทีมรองบ่อนอย่างชัดเจน และหวังพึ่งเพียงการโต้กลับคมๆ เป็นหมัดน็อคเพียงอย่างเดียวเท่านั้น อ่านมาถึงตรงนี้คุณผู้อ่านอาจจะมองว่าเป็นเกมวันเวย์ที่แสนจะน่าเบื่อใช่ไหมครับ? นี่คงจะเป็นเกมแนวบาร์ซ่ายุคต่างดาว หรือไม่ก็คงจะเป็นเกมแบบแมนซิตี้เวลาเล่นกับทีมกลางตารางทั่วไป ดูไปง่วงไปเหมือนทุกอย่างมันแบเบลออยู่ในมืออาเซนอลหมด แต่ไม่เลยครับ! เกมบิ๊กแมทซ์ก็คือเกมบิ๊กแมทซ์ ทุกอย่างมันเริ่มต้นขึ้นเมื่อถึงนาทีที่ 27 หลังจากที่ Marcus Rashford ตะบันลูกยิงสุดสวยผ่านมือ Aaron Ramsdale เข้าไปได้! และต่อจากนี้ไปคือสิ่งที่ผมเห็นจากเกมวันนี้ครับ มาครับ! เรามาคุยหลังเกมกันดีกว่า! 1. Kai Havertz ดูจะใช้เวลาปรับตัวนานเกินไปแล้วนะ!ถ้าจะมีใครสักคนที่เล่นได้น่าผิดหวังในทัพปืนใหญ่ ผมขอยกให้พี่ Kai Havertz แกเลย บทบาทการเล่นของแกก็น่าจะเป็นตำแหน่งเดียวกับตอนที่อยู่เชลซีไม่ใช่เหรอ คือเป็นตัวรุกที่อยู่ตรงกลางขยับเติมขึ้นไปยิงประตู ไปยืนค้ำข้างหน้าเป็นกองหน้าไปเลยก็ยังได้ แล้วทำไมผ่านไปป่านนี้ทุกอย่างถึงยังไม่กระเตื้องขึ้นเลย ผมดูถ่ายทอดแมทซ์นี้เป็นภาษาอังกษ และทั้งเกมผมแทบไม่ได้ยินผู้บรรยายเขาเรียกชื่อแกเลย จะมีช็อตที่เสียงดังหน่อยจนเกือบจะเป็นการตะโกน ก็เป็นตอนที่ฮาเวิร์ตแกยิงบอลวืดหน้าเขตโทษ! ระยะไม่ถึง 5 หลา จั่วลมอย่างหน้าตาเฉย! มิหนำซ้ำคนที่เข้ามาสะกัดกลับเป็น Lisandro Martínez ของแมนยู ที่แสดงสกิลจิ้มบอลระดับโลกออกมา บอลกลิ้งหลุนๆหลุดวิถีซ้ำของผู้เล่นอาเซนอลไปอย่างเฉียดฉิว Kai Havertz เลยโดนขโมยซีนไปเต็มๆ! 2. กราฟฟิคบอกว่าโดนพับสนามบุก แต่แมนยูดันพลิกขึ้นนำเฉย!อันนี้จะว่าเป็นความตลกร้ายก็ว่าได้ครับ ผมว่าแฟนแมนยูคงไม่ชอบข้อมูลกราฟฟิคที่ขึ้นข้างจออันนี้นัก เพราะมันได้แสดงตำแหน่งการจับบอลของผู้เล่นแมนยูทุกคนออกมา ผลคือทีมปีศาจแดงมีจุดสัมผัสบอลที่อยู่เกินครึ่งสนามไม่ถึงสิบจุด! พวกเขาเอาบอลข้ามไปบุกใส่อาร์เซนอลแทบไม่ได้! กลับกันดันกลายเป็นฝั่งแมนยูเองที่จับบอลอยู่แต่ในแดนตัวเองจนสนามหญ้าขึ้นฮีตแมพแดงเถือก! ผมดูไปก็อมยิ้มไปในฐานะกองแช่งคนหนึ่ง แต่แล้วเพียงพริบตาเดียวครับ Christian Eriksen ก็พาบอลควบทะยานฝ่าแนวกองกลาง ก่อนจะแทงบอลต่อให้กับ Marcus Rashford ผู้เป็นดั่งสามง่ามทองคำแห่งความหวัง อาวุธลับชนิดเดียวที่พอจะสร้างบาดแผลให้แก่ศัตรูได้ แล้วก็ตู้มมมม!!! ความรุนแรงมากกว่ารอยขีดข่วน เพราะมันทำให้พลพรรคปืนโตถึงกับหน้าอกเหวอะเป็นรูโบว๋ไปเลย เงียบกันทั้งสนามเงียบมาถึงผมที่อ้าปากค้างอยู่หน้าจอทีวีด้วย นี่มันฟุตบอลบ้าอะไรกันครับเนี่ยะ? เมื่อกี้ยังอ่อนปวกเปียกอยู่เลย?! 3. นำได้แค่นาทีเดียว อาร์เซนอลก็ตีเสมอได้!เอ้าทำไมเป็นงั้นล่ะ? นั่นน่ะสิครับคุณผู้อ่าน ผมว่าบางทีนี่อาจจะเป็นเพราะบารมีของเกมบิ๊กแมทซ์ก็เป็นได้ ต่างคนต่างไม่ยอมกันพอแมนยูขึ้นนำแล้วรักษาโมเมนต์ตัมไว้ไม่ได้ อาร์เซนอลที่มีเสียงเชียร์ในเอมิเรตส์หนุนหลังก็เลยคึก ทุกจังหวะที่มีการกระโจนเข้าบอลแฟนบอลจะเฮลั่น , ส่งบอลก็เฮ , สไลด์บอลได้ก็เฮ , คนไหนที่เลี้ยงบอลต่อได้พร้อมกับท่าทางพริ้วๆเก่งๆ เช่น Gabriel Martinelli ก็จะได้รับเสียงเฮนานกว่าปกติ ซึ่งก็เป็นเขาอีกนั่นแหละที่เป็นคน assist บอลให้ Martin Ødegaard กระทุ้งบอลจากนอกกรอบเขตโทษเข้าประตูไป ส่งผลให้อาร์เซนอลตีเสมอได้สำเร็จ 4. Kai Havertz ทำตัวเป็นประโยชน์ครั้งแรก!ถ้าเดวิด เบ็คแฮมคือนักฟุตบอลที่หล่อที่สุดในโลก นักเตะที่โชคดีที่สุดในโลกก็อาจจะเป็น Kai Havertz ก็ได้ ทั้งเกมแทบไม่ทำอะไร แต่ถ้าเรียกจุดโทษให้ทีมได้ก็ถือว่าโอเคใช่ไหมครับ? แล้วมุมที่แกถูกปะทะก็ดูดีอยู่ไม่น้อย มันคือการเข้าประกบแซนวิชของ Aaron Wan-Bissaka กับ Casemiro เลย กรรมการเป่าปี๊ดดด! ชี้นิ้วเสร็จสรรพ ไคล์ ฮาเวิร์ต ทำได้และเขากำลังจะนำโชคลาภมาสู่ทีม แต่เดชะบุญผมดันลืมไปครับคุณผู้อ่าน ว่ากรรมการแมทซ์นี้คือ "Anthony Taylor" ผู้ตัดสินหัวเหม่งผู้ฝากความผิดพลาดไว้มากมายบนสนามหญ้า เป่าห่วยขนาดไหนโดนมูริญโญ่ดักด่าหน้ารถบัสก็โดนมาแล้ว แล้วมันก็เกิดขึ้นอีกครั้งกับแมทซ์นี้ เมื่อเทรเลอร์ตัดสินใจยกเลิกการเป่าให้จุดโทษของตัวเอง หลังจากเช็คจอ VAR เสร็จ เป็นอันว่าไคล์ ฮาเวิร์ตของเราก็ต้องโดนปฏิเสธต่อไป 5. Alejandro Garnacho ต้องสำรองเท่านั้น รับรองเวิร์ค!ขอข้ามฝั่งไปพูดถึงแมนยูสักหน่อย ผมว่าเจ้าหนู Garnacho ผู้นี้เป็นอะไรที่เหมาะกับการเป็นตัวสำรองเปลี่ยนเกมมาก เขาไม่จำเป็นต้องใช้ตัวเลขนาทีที่มากมายในสนาม ขอแค่มีพื้นที่ด้านหลังไลน์ให้วิ่งเยอะๆ มีสามเสาไฟกับมอเตอร์ไซต์คันหนึ่งก็ตามเจ้าหนูผมทองคนนี้ไม่ทัน การเล่นลูกฉาบฉวย การเคาะบอลสั้นสลับยาวอย่างมีคลาสระหว่างมิดฟิลด์คู่อย่าง Christian Eriksen กับ Bruno Fernandes ทำให้ Garnacho ได้ใช้ท่าถนัด แล้วก็ไม่ทำให้ผิดหวังแต่อย่างใด บอลซุกก้นตาข่ายผ่านมือแรมส์เดลเข้าไปอย่างสวยงาม ผมว่าถ้าได้ลงเป็นตัวจริง Garnacho จะทำแบบนี้ไม่ได้แน่ คู่แข่งจะดูออกและเขาจะโดนประกบจนเล่นไม่ได้ การส่งเขาลงมาพลิกเกมจึงเป็นไพ่ตายทีใช้ได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียนิดเดียวแค่ลูกนี้โดน VAR จับล้ำหน้า! ไม่งั้นจะเป็นลูกเคาท์เตอร์ที่สวยงามลูกหนึ่งเลย คือทั้งสวยและมีความหมาย เพราะโดนยิงในนาที 89 ยังไงอาร์เซนอลก็ไม่มีทางกลับมาได้แน่ สรุปสุดท้ายเราต่างรู้ผลการแข่งขันแล้วว่าบอลแมทซ์นี้จบยังไง สำหรับผมนี่คือบิ๊กแมทซ์ที่พลิกไปพลิกมาที่สุดแมทซ์หนึ่ง และอาร์เซนอลเหมาะสมแล้วที่จะได้สามแต้ม พวกเขาเล่นได้เหนือกว่าทุกอย่าง ถ้าได้แค่แต้มเดียวผมยังรู้สึกเสียดายแทนเลย ส่วนแมนยูเองก็เกือบจะทำได้ ผู้บรรยายภาษาอังกฤษยังถึงกับใช้คำว่า "steal" ที่แปลว่า "ขโมย" ตอนที่ Garnacho ยิงบอลเข้าไปซุกก้นตาข่ายได้ตอนนาทีที่ 89 แมนยูเกือบทำได้แล้วจริงๆ ถ้าเทียบกับตัวผู้เล่นที่ไม่พร้อมและมีตัวบาดเจ็บเยอะ การที่รูปเกมถูกกดอยู่ตลอดเวลา และรอโต้กลับจึงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายจนต้องมาต่อว่ากันแต่อย่างใด แล้วคุณผู้อ่านล่ะครับคิดเห็นอย่างไรกับแมทซ์สุดมันส์นี้บ้าง อย่าลืมคอมเมนท์มาให้อ่านบ้างนะครับ.. เครดิตรูปภาพภาพหน้าปก (1) : FB : Arsenal ภาพหน้าปก (2) : FB : Arsenal ภาพที่ 1 : FB : Arsenal ภาพที่ 2 : FB : Arsenal ภาพที่ 3 : FB : Arsenal ภาพที่ 4 : FB : Arsenal ภาพที่ 5 : FB : Arsenal ภาพที่ 6 : FB : Arsenal ภาพที่ 7 : FB : Arsenal