หลายคนคงจะคุ้นตากันดีกับการแข่งรถยนต์ที่เรียกว่า NASCAR ผ่านทางสื่อภาพยนตร์ฮอลลีวูดหรือจากแอนิเมชั่นของ Pixar เรื่อง Cars ที่ตัวละครหลักเป็นรถแข่ง NASCAR ซึ่งมอเตอร์สปอร์ตชนิดนี้จะมีเอกลักษณ์ชัดเจนคือเป็นการแข่งในสนามปิดเป็นวงรีและมีอุบัติเหตุหนัก ๆ เกิดขึ้นบ่อยครั้ง จนหลายคนที่เห็นมีทั้งรู้สึกกลัวหรือรู้สึกน่าเบื่อเพราะรถแข่งวิ่งวนเป็นวงรีหลาย ๆ รอบมันจะสนุกได้อย่างไร แต่แท้จริงแล้วมันมีมากกว่านั้นครับ การแข่งขันแบบ NASCAR (National Association for Stock Car Auto Racing) เป็นกีฬามอเตอร์สปอร์ตจากสหรัฐอเมริกา เป็นอีกกีฬาที่ได้รับความนิยมเทียบเท่ากับอเมริกันฟุตบอล NFL หรือบาสเก็ตบอล NBA เลยทีเดียว ซึ่ง NASCAR จะมีจุดเด่นค่อนข้างหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น รถแข่งที่ใช้จะมีรูปลักษณ์เหมือนกับรถตามท้องถนนทั่วไป เพียงแต่เครื่องยนต์จะถูกปรับแต่งเพื่อการแข่ง ซึ่ง Spec รถจะเท่ากันทุกคัน ที่มารูปภาพ: Ryse Lawrence จาก Pixabay นั่นหมายความว่าการตัดสินแพ้ชนะไม่ได้อยู่ที่เครื่องยนต์แต่ไปอยู่ที่ฝีมือของนักขับที่อยู่หลังพวงมาลัยมากกว่า ส่วนการขับแข่งกันเป็นวงรีนั้นก็มีจุดประสงค์เพื่อวัดความอึดของนักแข่งกับความอดทนของรถ ว่าจะทำได้ดีแค่ไหนในสภาวะที่ต้องขับวนไปมาหลายรอบ (200 รอบ) แต่นั่นก็เป็นแค่ส่วนเล็ก ๆ เพราะถ้าหากลงลึกรายละเอียดการมันจะมีอะไรที่ลึกซึ้งกว่านั้นเยอะ การที่มีสนามเป็นวงรีแต่เป็นทางลาดเอียงจะมีผลเรื่องความเร็วไปด้วย หากวิ่งด้านในแม้สนามเส้นทางจะสั้นกว่าแต่จะทำความเร็วได้ช้า ในขณะที่หากอยู่วงนอกหรือชิดกับขอบกำแพง จะสามารถทำความเร็วได้ดีมากแต่ก็ต้องแลกด้วยระยะทางที่ยาวกว่า ลองสังเกตดูว่ารถแข่งที่วิ่งเร็ว ๆ จะอยู่วงนอกมากกว่าด้านใน ที่มารูปภาพ: skeeze จาก Pixabay อย่างที่บอกไปว่าเนื่องจากรถแข่งใช้ Spec รถเหมือนกันจึงต้องวัดฝีมือของคนขับล้วน ๆ บวกกับจำนวนรอบสนามที่มากกว่าร้อยรอบ ก็จะเป็นการวัดกึ๋นนักแข่งว่าจะสามารถจัดการบริหารน้ำมันเชื้อเพลิง ยางรถยนต์หรือสภาพเครื่องยนต์ได้ดีแค่ไหน นักแข่งที่ชำนาญจะไม่จำเป็นออกตัวแรงในช่วงต้นเกม จะทำความเร็วระดับปานกลาง แล้วค่อยอัดความเร็วเต็มที่ในช่วงปลายเกมในช่วงสิบรอบสุดท้าย ฉะนั้นแล้วความสนุกของ NASCAR จะมีอยู่ตลอดทุกช่วงครับ ในช่วงแรกเราจะได้เห็นการจัดการเชื้อเพลิง-ยางรถของนักแข่งได้เห็นแทคติกการวางแผนเช่น ถนอมรถโดยให้คู่แข่งแซงไปก่อน ส่วนช่วงกลางถึงปลายเกมเราจะได้เห็นความดุเดือดเอาอันดับอย่างขับเคี่ยว และเห็นการใช้เทคนิค Slipstream ใช้รถคันหน้าบังกระแสลมเพื่อดูดความเร็วรอจังหวะเร่งแซง ที่มารูปภาพ: skeeze จาก Pixabay รวมถึงเห็นความเป็นหนึ่งเดียวของทีมที่อยู่ใน Pit ด้วยว่าสามารถจัดการซ่อมแซมเติมน้ำมันรถได้เร็วแค่ไหน ซึ่งจุดนี้ก็เป็นจุดชี้ชะตาวัดผลแพ้ชนะได้เหมือนกัน หากฝีมือการขับไม่ดีมากแต่รู้จักใช้สมองวางแผนและมีทีมที่ดีคอยซัพพอร์ตได้เต็มที่ ก็สามารถไต่อันดับต้น ๆ ได้ไม่ยาก อีกเสน่ห์ของกีฬา NASCAR ที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ "อุบัติเหตุ" การเกิดอุบัติเหตุรถชนกันในสนามวงรี ถือว่าเป็นอะไรที่รุนแรงและตื่นตาตื่นใจไปในตัว การปะทะแต่ละครั้งอย่างน้อยจะต้องมีรถปลิวหรือชนกันวินาศสันตะโร เนื่องจากผู้เข้าแข่งมีถึง 50 คน อาจมีผู้บาดเจ็บไปจนถึงเสียชีวิต แม้ว่ามันจะดูโหดร้ายอันตรายมาก แต่เชื่อเถอะครับว่า NASCAR เวลาไม่มีอุบัติเหตุมันลดความตื่นเต้นไปมากทีเดียว ที่มารูปภาพ: David Mark จาก Pixabay สรุปแล้ว NASCAR ไม่ใช่แค่การวิ่งวนหลายรอบแล้วเข้าเส้นชัยเท่านั้น มันเป็นกีฬาที่อาศัยการวางแผนของนักขับและทีมแข่ง การรอจังหวะเร่งแซง บริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิงให้คุ้มค่าและการปะทะชนกันตามสไตล์อเมริกันชน หากจะดูแค่รถ NASCAR ก็ตอบโจทย์ให้ได้เพราะรถจะตกแต่งในลวดลายสวยงามจากแบรนด์เจ้าถิ่น Ford กับ Chevy ล่าสุดก็มีแบรนด์ Toyota จากญี่ปุ่นมาร่วมแจมด้วย อย่างไรก็ตาม NASCAR ณ ปัจจุบันก็ไม่ได้มีแค่ในสหรัฐอย่างเดียว แต่ยังมีรายการแข่งในยุโรปในรายการ NASCAR Whelen Euro Series ด้วย ถือว่าเป็นมอเตอร์สปอร์ตที่น่าสนใจอีกรูปแบบหนึ่ง โดยที่ไม่ได้จำกัดว่าสิ่งที่เกิดจากอเมริกาไม่จำเป็นต้องอยู่ในอเมริกาตลอดไป ส่วนในประเทศไทยอาจจะไม่ได้รับความนิยมนัก อย่างน้อยก็เป็นเรื่องที่ดีที่มีผู้คนเริ่มสนใจกันมากขึ้นครับ ที่มารูปภาพปก: skeeze จาก Pixabay