หลังจากที่การเข้ามาซื้อหุ้นสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจำนวน 25% ของกลุ่ม INEOS ที่นำโดย "เซอร์จิม แรตคลิฟฟ์" และจนถึง ณ ปัจจุบันนี้ที่ผมกำลังเขียนบทความนี้อยู่ ทางพรีเมียร์ลีกก็ได้อนุมัติการซื้อหุ้นในครั้งนี้ รวมไปถึงทางสมาคมฟุตบอลอังกฤษหรือเอฟเอก็มีรายงานว่าอนุมัติแล้วเช่นกัน เท่ากับว่าทางเซอร์จิมและทีมงานก็ลุยงานได้เลยหลังจากนี้ เพื่อกอบกู้ซากที่เหล่าปลิง "ตระกูลเกลเซอร์" ทำลายและสูบเลือดไว้ และที่เป็นข่าวแรงที่สุดในช่วงนี้ก็คงหนีไม่พ้นการหา "ผู้อำนาวยการกีฬา" คนใหม่ของสโมสรหลังจากที่จอห์น เมอร์ทัฟยังมีอนาคตที่ลูกผีลูกคนอยู่ แถมก็เพิ่งออกมาแฉความเละเทะหลังบ้านของแมนยู และคนที่มาแรงและเป็นเต็ง 1 ที่จะเข้ามารับหน้าที่ต่อก็คือ "แดน แอชเวิร์ธ" ที่ในตอนนี้ยังเป็นผู้อำนวยการกีฬาของคู่แข่งร่วมลีกอย่าง "สาลิกาดง" นิวคาสเซิล แต่ทางแอชเวิร์ธก็ได้ทำการแจ้งกับนิวคาสเซิลแล้วว่าทางแมนยูนั้นได้ติดต่อทาบทามตัวเขาและสำหรับบทความนี้ผมก็จะพาคุณผู้อ่านทุกท่านไปทำความรู้จักกับแดน แอชเวิร์ธ ตัวเต็งอันดับ 1 ผอ.กีฬาคนใหม่ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดและผลงานที่ผ่านมาแบบคร่าวๆ ย่อๆ ของแอชเวิร์ธว่ามีอะไรบ้าง ทำไมแมนยูถึงต้องการตัวขนาดนี้แดน แอชเวิร์ธนั้นเกิดวันที่ 6 มีนาคม 1971 เขาเคยเป็นนักเตะเยาวชนของนอริช ซิตี เคยค้าแข้งกับทีมนอกลีกอย่างอีสบอร์น ทาวน์และทีมสุดท้ายที่เขาอยู่ด้วยก็คือวิสเบช ทาวน์ในปี 2000 และหลังจากนั้นเขาก็ผันตัวมาทำงานเป็นเบื้องหลังซึ่งทีมแรกที่ให้โอกาสแอชเวิร์ธก็คือปีเตอร์โบโรห์ โดยให้เป็นผู้อำนวยการอคาเดมีด้วยสัญญาระยะสั้นเพียง 1 ปีและหลังจากนั้นเขาก็ได้ย้ายไปเริ่มงานเบื้องหลังแบบจริงๆ จังๆ ด้วยบทบาทของผู้อำนวยการด้านการพัฒนาเยาวชนให้กับแคมบริดจ์ ยูไนเต็ด โดยแอชเวิร์ธอยู่กับแคมบริดจ์ถึง 3 ปี ในปี 2004 เขาจะถูกเวสต์บรอมวิช อัลเบียนดึงตัวไปและที่แห่งนี้นี่แหละครับที่ทำให้แอชเวิร์ธเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาที่เวสต์บรอม ตำแหน่งแรกที่แอชเวิร์ธได้รับมอบหมายก็คือผู้ช่วยผู้จัดการทีมอคาเดมี หลังจากที่อยู่ในตำแหน่งนี้ได้ 3 ปีครึ่ง แอชเวิร์ธก็ได้รับการเลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นผู้อำนวยการกีฬาและเทคนิคของทีมในปี 2007 ช่วงเวลานี้แหละครับที่ทำให้แอชเวิร์ธเริ่มถูกจับตามากขึ้นและในที่สุดงานระดับทีมชาติก็มาถึงหลังจากที่เป็นผอ.กีฬาให้กับเวสต์บรอม 5 ปีครึ่ง ปี 2013 สมาคมฟุตบอลอังกฤษก็ได้ทาบทามให้แอชเวิร์ธนั้นไปรับตำแหน่งของ Director of Elite Development ที่เหมือนเข้ามาเป็นคนวางรากฐานและสร้าง DNA ให้ทีมชาติอังกฤษในทุกชุด (รวมทีมชาติของผู้หญิงด้วย) โปรเจคต์นี้ถูกเรียกว่า "England DNA" แอชเวิร์ธได้รับความเคารพและยกย่องจากคนในวงการฟุตบอลอังกฤษเป็นอย่างมาก โคตรผลงานและประสบการณ์ที่ผ่านมาและหลังจากทีมทำงานร่วมกับทีมชาติอังกฤษมาอย่างยาวนาน หลังที่จากจบฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย แอชเวิร์ธก็ได้ลาออกจากตำแหน่งที่ได้บอกไปครับ พร้อมกับผลงานของทีมชาติอังกฤษที่ดีที่สุดในทัวร์นาเมนต์ระดับเมเจอร์ในรอบ 22 ปีและเข้ารับงานในสโมสรไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบียนต่อในตำแหน่งของผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคการมาอยู่ที่ไบรท์ตันยิ่งเสริมชื่อเสียงของแอชเวิร์ธมากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะการที่โทนี บลูม เจ้าของไบรท์ตันฯ ดึงตัวแอชเวิร์ธมาทำงานให้ มันเหมือนเป็นการสร้างไบรท์ตันฯ ที่เราเห็นในทุกวันนี้ กลายเป็นหนึ่งในทีมที่บริหารได้ยอดเยี่ยมและหลังจากนั้น 3 ปี ในปี 2022 อย่างที่ทราบกันว่าได้เกิดดีลที่เขย่าพรีเมียร์ลีก เมื่อกลุ่มทุนจากประเทศซาอุฯ เข้ามาเทคโอเวอร์นิวคาสเซิล ยูไนเต็ดทำให้สาลิกาดงกลายเป็นทีมที่ขึ้นชื่อว่า "รวยที่สุดในโลก"สิ่งที่หลายๆ คนคิดว่านิวคาสเซิลคงทุ่มเงินแบบบ้าคลั่งในการซื้อนักเตะมาเสริมทีมเพื่อให้สมกับทีมที่รวยที่สุด แต่เปล่าเลยครับ พวกเขาเริ่มจากการปรับโครงสร้างของสโมสรเป็นอย่างแรก และแดน แอชเวิร์ธก็คือคนๆ นั้นที่นิวคาสเซิลเลือกเข้ามาจัดการในเรื่องนี้โดยที่แอชเวิร์ธเข้ามารับตำแหน่งผู้อำนวยการกีฬาและอย่างที่เห็นในตอนนี้ครับ หลังจากที่เงินประมาณ 160 ล้านปอนด์ที่นิวคาสเซิลลงทุนไปพร้อมกับการเข้ามาของแดน แอชเวิร์ธ นิวคาสเซิลสามารถจบอันดับที่สูงที่สุดในพรีเมียร์ลีกในรอบ 20 ปีและได้กลับไปเล่นในยูฟา แชมเปียนส์ลีกจนมาถึงปัจจุบันที่กลุ่ม INEOS ที่นำโดยเซอร์จิม แรตคลิฟฟ์เข้ามาซื้อหุ้นแมนยูและได้สิทธิในการดูแลเรื่องฟุตบอล แอชเวิร์ธก็ได้เป็นหนึ่งในแคนดิเดตคนที่จะเข้ามารับตำแหน่งผู้อำนวยการกีฬาของยูไนเต็ด ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีรายชื่อเหมือนกันที่เข้ามาอยู่ในลิสต์ รวมไปถึงไมเคิล เอ็ดเวิร์ดที่ก่อนหน้านี้เคยทำงานที่ลิเวอร์พูลและคือคนที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของลิเวอร์พูลในยุคของเยอร์เกน คล็อปป์ แต่สุดท้ายกระแสของคนอื่นๆ ก็เงียบหายไปจนเหลือเพียงแอชเวิร์ธคนเดียวที่เป็น "เต็ง 1" และดูเหมือนว่าแมนยูก็จะมีผอ.กีฬาคนใหม่ที่ชื่อ "แดน แอชเวิร์ธ"ผลงานของแดน แอชเวิร์ธ (แบ่งตามสโมสรและทีมชาติอังกฤษ)ปีเตอร์โบโรห์ (2000): ดูแลทีมเยาวชนทุกช่วงอายุ รวมไปถึงการปลุกปั้นแมทธิว เอเธอริงตันที่ภายหลังได้ก้าวขึ้นมาเล่นบนเวทีพรีเมียร์ลีกเกือบ 300 เกมและติดทีมชาติเวลส์ไปถึง 58 นัดเวสต์บรอมวิช (2004 - 2013): ช่วยให้เวสต์บรอมเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีกและจบครึ่งบนของตารางได้ถึง 2 ฤดูกาลทีมชาติอังกฤษ (2013 - 2018): สร้างโปรแกรม England DNA ในการวางรากฐานทีมชาติอังกฤษทุกชุดอายุ (ทั้งชายและหญิง), ทีมชาติอังกฤษจบอันดับที่ 4 ในฟุตบอลโลก 2018ไบรท์ตันฯ (2019 - 2022): มองหานักเตะฝีเท้าดีราคาถูกเข้าทีมและขายออกไปด้วยราคาแพงๆ เช่น มอยเซส ไคเซโด, มาร์ก คูคูเรลยา, เลอันโดร ทรอสซาร์ดและอเล็กซิส แม็คอัลลิสเตอร์ หรือบางคนที่ยังอยู่กับทีมอย่างคาโอรุ มิโตมะและทาริค แลมพ์ตีนิวคาสเซิล (2022 - ปัจจุบัน): ดูแลโครงสร้างสโมสร, ดึงตัวเอ็ดดี ฮาวมาคุมทีมและคัดสรรนักเตะเข้าสู่ทีม เช่น อเล็กซานเดอร์ อิซัค, ซานโดร โตนาลี, แอนโธนี กอร์ดอน, ฮาร์วีย์ บาร์นส์, ติโน ลิฟราเมนโตและสเวน บอทแมน และนิวคาสเซิลได้ไปยูฟา แชมเปียนส์ลีกในรอบ 20 ปีบทความที่เกี่ยวข้องวิลลาได้เต้น ผีแดงได้แต้ม!!! 5 ประเด็นหลังเกมแอสตันวิลลา พบ แมนยู"ค็อบบี ไมนู" แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ของแมนยูฮอยลุนด์ปลดล็อก!!! 5 ประเด็นหลังเกมแมนยู พบ แอสตันวิลลาผีปลิว UCL, เสียแมคไกวร์!!! 5 ประเด็นหลังบาเยิร์นดีดแมนยูตกรอบ UCLจับตรงไหนก็เจ็บ!!! เจาะปัญหาทั้ง 4 ตำแหน่งของแมนยูขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจากThe AthleticSky SportTransfermarktOfficial X ของไบรท์ตันฯ (@OfficialBHAFC), เวสต์บรอม (@WBA), นิวคาสเซิล (@NUFC) และทีมชาติอังกฤษ (@EnglandFootball)ภาพปก 1, ภาพปก 2, ภาพปก 3, ภาพประกอบ 1, ภาพประกอบ 2, ภาพประกอบ 3 และภาพประกอบ 4