TRUE TALK : ภาพยนตร์ลูกหนังไร้แผ่นฟิล์ม ที่ไม่ได้จบแบบ "Happy Ending" แต่ผมก็ "Happy Ending" ... by "จอน"
เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 4 มกราคม ที่ผ่านมา ผมได้เดินทางมาชมภาพยนตร์ลูกหนังไร้แผ่นฟิล์มเรื่องหนึ่ง ที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งก่อนเหยียบดินแดนอาหรับครั้งแรกในชีวิต ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นภาพยนตร์ลูกหนังประเภทไหน
โรแมนติ๊ก โรแมนติก จบสวยดูดี ?
คอมเมดี้ ฮาเตลิดเปิดเปิง ?
บู๊ล้างผลาญ แบบ ดายฮาร์ด ของเฮีย บรูซ วิลลิส ?
ดราม่าตบจูบ สไตล์อาพิศาล ?
น่ารักน่าชังอย่างหนัง วอลท์ ดิสนีย์ ?
หลอนทุกโสตประสาทอย่างกับหนังผี ?
หรือ จะจบเร็วอย่างหนังสั้นที่ทำเอาไว้ส่งอาจารย์ตอนปีสี่
ไม่รู้อะไรทั้งนั้น ไม่รู้แม้กระทั่งจุดเริ่มต้นจะเป็นเช่นไร
และไม่อาจคาดเดาจุดจบได้เลยสักนิดว่า จะแฮปปี้เอ็นดิ้งขนาดไหน
รู้แค่เพียงว่า นี่คือการเดินทางมาชมภาพยนตร์ลูกหนังที่ไกลที่สุดในชีวิตของผม กว่า 5,000 กิโลเมตร และผู้แสดงก็ไม่ใช่พระเอกพันล้านจากฮอลลีวู้ด หากแต่คือ “นักฟุตบอลทีมชาติไทย” ที่ไม่สามารถใช้แสตนด์อินแทนได้ ซึ่งผมตั้งใจมาเชียร์พวกเขาให้ถึงฝั่งฝันที่สุดเท่าที่จะทำได้ในศึก เอเชียน คัพ 2019
… ฉากแรกของภาพยนตร์เรื่องนี้ เริ่มต้นอย่างเจ็บแสบ เพราะ ทีมชาติไทย พ่ายแพ้ย่อยยับถึง 1-4 ต่อทีมที่ “ช้างศึก” คิดมาตลอดว่า เจอที่ไหนก็ต้องชนะอย่างทีมชาติอินเดีย
กลิ่นอายความดราม่าเกิดขึ้นต่อเนื่องทั้งใน และนอกสนาม คละคลุ้งไปทั่วชนิดที่จบเกมยังมีความน้ำตาตกใน จนกระทั่งจุดหักเหของเรื่องมาเกิดขึ้นในฉากที่ “มิโลวาน ราเยวัช” ถูกผลักออกจากตัวละครหลัก และได้พระรองบ้านนอกอย่าง “โค้ชโต่ย” ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย ขึ้นมาเป็นผู้นำตัวหลักของภาพยนตร์เรื่องนี้แทน
“กลับบ้านก่อนกำหนดอย่างแน่นอน” … นี่คือสิ่งที่แฟนบอลอย่างผมคิด เฮ้ออออ เราน่าจะได้ออกจากโรงภาพยนตร์เร็วกว่ากำหนดแน่ หนังมันน่าเบื่อจัง ออกไปฉี่แล้วกลับเลยดีกว่าเนอะ
แม้ลึกๆ แล้ว จะยังมีความเชื่อมั่นอยู่เล็กๆ ว่า ผู้กำกับจะสรรค์สร้างตอนจบที่ยังมาไม่ถึงให้ “จบดีกว่าที่คิด” ได้
และแล้ววันเวลาเดินทางมาถึงแมตช์ที่สอง ที่เกิดขึ้นหลังเกมแรก 4 วัน โดย ทีมชาติไทย พบกับ บาห์เรน และนั่นคือ “ช่วงเวลาแห่งชัย” ของภาพยนตร์เรื่องนี้ มันคือช่วงเวลาแห่งการรวบรวมอารมณ์ที่สุดของภาพยนตร์เรื่องนี้ จากที่กำลังหดหู่สุดฤทธิ์ จนความรู้สึกแบบโคตรดีจนบอกไม่ถูก เมื่อตัวละครเอกที่ผู้คนคาดหวังที่สุด อย่าง ชนาธิป สรงกระสินธ์ จัดการโผล่ออกมาในซีนที่ทุกคนต้องการ
และประตูเดียวของเขาในวันนั้น ก็กลายเป็นประตูประวัติศาสตร์ที่สร้างชัยชนะแรกให้กับทีมชาติไทย ในศึกเอเชี่ยนคัพ รอบสุดท้าย นอกประเทศ
“3 แต้มจาก 2 เกม ทำให้ผู้คนลืมดราม่าบนฟลอร์หญ้าเรื่องนี้ ที่เคยมีไปซะหมดสิ้น…”
ผ่านไปอีก 4 วัน ในที่สุด ภาพยนตร์ลูกหนังเรื่องนี้ก็ทำให้ผมได้พบฉากที่ได้เห็นเมืองที่สวยงามที่สุดเมืองหนึ่งที่เคยไปเยือนมาในชีวิต นั่นคือ “อัล ไอน์” และหนังเรื่องนี้ก็เดินทางมาถึงจุดไคลแมกซ์สักที เพราะ ทีมชาติไทย ต้องพบกับ เจ้าภาพ และเจ้าบ้านอย่าง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่มีตั๋วเข้ารอบสองเป็นเดิมพัน
ผลสกอร์ 1-1 จากประตูตีเสมอของ “ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์” เป็นผลการแข่งขันที่ทำให้ทีมชาติไทย ผ่านเข้ารอบน็อคเอ้าท์ได้ในฐานะทีมอันดับ 2 ของกลุ่ม ซึ่งเราได้ทำตามเป้าหมายแรกได้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว
มันเป็นช่วงเวลาที่น้ำตาแห่งความดีใจ ไหลหยดย้อยอย่างอิ่มเอมที่สุด
และผมเองก็จะจำไม่ลืมว่า มันเคยเกิดความรู้สึกแบบนี้ที่ ฮัซซา บิน ซาเยด สเตเดี้ยม
“มันเหมือนคุณได้ดูภาพยนตร์สักเรื่อง ที่คุณไม่สามารถจำเนื้อเรื่องได้หมดทุกตอน
แต่การที่คุณสามารถจดจำได้สักฉากหนึ่ง
และจำฉากนี้ไว้ในความทรงจำดีๆ ตลอดทั้งชีวิต
ผมคิดว่า ภาพยนตร์เรื่องนั้นประสบความสำเร็จแล้วแหละ”
จากนั้น ทีมชาติไทย ต้องรอคอยอีกทั้งหมด 6 วัน ก่อนได้ลงสนามในเกมรอบน็อคเอ้าท์ บอกได้เลยว่า มันเป็น 6 วันที่ภาพยนตร์ดำเนินไปอย่างช้าๆ ในเมืองที่ถูกโอบกอดด้วยทะเลทราย ท่ามกลางบรรยากาศหนาวเหน็บอย่าง อัล ไอน์
จนกระทั่ง แมตช์ประวัติศาสตร์ ระหว่างทีมชาติไทย กับ ทีมชาติจีน ได้เริ่มต้นขึ้น
เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2019 ที่ผ่านมา
ผมคงไม่พูดถึงเกมการแข่งขันมากนัก เพราะทุกท่านคงทราบดีว่า ทีมชาติไทย สามารถขึ้นนำได้ก่อน และยันสกอร์ที่มีค่าพอจะเข้ารอบต่อไปได้ถึงแค่นาที 60 กว่าๆ แต่สุดท้าย เราก็ตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายไปด้วยสกอร์ 1-2
จบแล้วครับ มันจบแล้ว ภาพยนตร์ลูกหนังเรื่องนี้จบแล้ว
พลอตเรื่องที่ไม่มีใครคาดเดาได้ 100% ได้จบลงอย่างสมบูรณ์เรียบร้อย
ความรู้สึกดีใจเป็นบ้าเป็นหลัง พังพาบด้วยสกอร์ที่ถูกโชว์บนจอยักษ์ที่สนาม หลังเกมจบ
และเบื้องหน้าของตอนจบคือ ภาพของนักเตะที่ขอบคุณแฟนบอล ก่อนจะเดินกลับห้องพัก
เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว เรายังเข้ารอบอยู่เลย
แต่สุดท้ายมันกลับไม่ได้แฮปปี้เอ็นดิ้งอย่างที่หวังเฉกเช่นสองนัดก่อนหน้านี้
มันเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ลูกหนังที่จบแบบไม่แฮปปี้เอ็นดิ้ง
ภายใต้การแสดงโดยพระเอกคนเดิม นั่นคือ “ทีมชาติไทย” ที่เปลี่ยนแค่เพียงตัวละคร
มันไม่ใช่ภาพยนตร์ลูกหนังไร้แผ่นฟิล์มเรื่องแรกหรอกครับที่ผมดูแล้วจะจบแบบไม่แฮปปี้เอ็นดิ้ง
มันมีหลายครั้งแล้วที่ผมได้ดูพระเอกของผม ต่อสู้บนฟลอร์หญ้า ไม่ใช่แผ่นฟิล์ม
ชนะบ้าง แพ้บ้าง เสมอบ้าง มันเกิดขึ้นได้หมดแหละ
แต่การจบแบบไม่ดีเลิศ ก็ไม่ใช่ว่า สักวันหนึ่ง มันจะจบแบบแฮปปี้ได้หนิ
ภาพยนตร์มากมาย ยังมีภาคต่อให้คุณได้ลุ้น ได้รัก ได้สนุก ได้คิด ได้ไตร่ตรอง ได้กลัว ได้กล้า
ได้มีอารมณ์คิดถึงภาคเก่าๆ และยินดีกับแฮปปี้ เอ็นดิ้งของภาคใหม่
แล้วภาพยนตร์ลูกหนังไทยแท้ๆ ทำไมจะมีภาคต่อไม่ได้
ขอขอบคุณนักเตะทีมชาติไทยทุกท่าน
ขอขอบคุณทีมงานสต๊าฟฟ์โค้ชทุกท่าน
และขอขอบคุณทุกท่านที่เป็นแฟนบอลที่ดี ที่น่ารัก และให้กำลังใจนักเตะเสมอมา
“เรามารอภาคต่อของภาพยนตร์เรื่องนี้กันนะ ^^”
“จอน”
อ่านข่าว ตลาดซื้อขายนักเตะไทยลีก 2019
อ่านข่าว ตลาดซื้อขายนักเตะพรีเมียร์ลีก 2018/19
ดูบอลสด – ไฮไลท์บอล แบบจัดเต็มได้ ที่นี่
ดูบอลสดผ่านเว็บไซต์ ทรูไอดี ฟรี คลิก!
ดูไฮไลท์บอล พรีเมียร์ลีก ฟรี คลิก!
ติดตามข่าวสารกีฬาได้ที่ TrueID App หรือร่วมพูดคุยกันผ่านทาง Line @TrueID ร่วมไปถึงแฟนเพจ TrueID Sports