ในที่สุดก็กลับมาเก็บชัยชนะได้แล้ว หลังจากที่สะดุด 2 เกมติดต่อกันสำหรับ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูลที่เปิดบ้านเอาชนะ "ผึ้งน้อย" เบรนท์ฟอร์ด 3-0 โดยในเกมที่ลิเวอร์พูล พบ เบรนท์ฟอร์ดนั้นมีหลากหลายประเด็นให้พูดถึง ทั้งตัวนักเตะ ทีม และรังเหย้าอย่าง "แอนฟิลด์" โดยผมรวบรวมมาให้ 5 ประเด็นที่น่าพูดถึง แต่ก่อนจะไปดูว่าจะมีประเด็นอะไรบ้าง ขอแอบกระซิบนิดนึงว่าตอนนี้ลิเวอร์พูลขยับขึ้นมาเป็น "รองจ่าฝูง" แล้วค้าบบบบบพี่น้องงงงง แซงอาร์เซนอลและสเปอร์ขึ้นมาเป็นรองจ่าฝูง โดยมีแต้มเท่ากับไอ้ปืนใหญ่แต่ลูกได้เสียดีกว่า 1 ลูก และตามหลังแมนเชสเตอร์ ซิตีเพียงแต้มเดียว เอาล่ะครับ กระซิบบอกเรื่องสำคัญไปแล้ว ไปดู 5 ประเด็นหลังเกมเมื่อวานอาทิตย์ที่ผ่านมากันดีกว่าครับ1. เล่นในแอนฟิลด์ = ชนะหลังจากที่สะสุดไป 2 เกมติดต่อกันทั้งเสมอกับลูตัน ทาวน์ในพรีเมียร์ลีกและแพ้ต่อตูลูสในยูโรปา ลีก โดยทั้งสองเกมนั้นเป็นเกมเยือนทั้งนั้น แต่พอกลับมาเล่นในแอนฟิลด์ที่เป็นสนามที่ขึ้นชื่อเรื่องของเสียงเชียร์นั้นก็ไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ พอมีแฟนๆ ของตัวเองส่งเสียงเชียร์ดังกึกก้อง เหล่านักเตะทั้งหลายก็สามารถเค้นฟอร์มของตัวเองมาได้ตลอด ตัวอย่างเช่น คอสตาส ซิมิคาสและวาตารุ เอ็นโดที่ในเกมนี้ถือว่ามีฟอร์มการเล่นที่น่าพอใจและมีผลงานมาฝากให้แฟนบอลชื่นใจพอสมควร ซึ่งจะเป็นในหัวข้อที่จะพูดต่อไปครับนอกจากนี้นับเป็นเวลา 17 เกม (รวมทุกรายการ) แล้วที่ลิเวอร์พูลไม่แพ้ในเกมที่ลงเล่นที่แอนฟิลด์ โดยเกมล่าสุดที่พ่ายคาบ้านต้องย้อนกลับไปในเกมยูซีแอลที่โดนเรอัล มาดริดบุกมาถล่มถึงถิ่น 2-5 ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2023 และมีถึง 15 เกมที่เก็บชัยชนะ โดยเกมที่สะดุดเป็นการเสมอกับอาร์เซนอลและแอสตัน วิลลาในช่วงท้ายของพรีเมียร์ลีก ฤดูกาลที่แล้ว พอมาในฤดูกาลนี้นอกจากจะไม่แพ้ใครในบ้านแล้ว ยังสามารถชนะรวดทุกเกมที่ลงแข่งในแอนฟิลด์ และยิงอย่างน้อย 3 ประตูไปถึง 6 เกมจากทั้งหมด 9 เกม (รวมทุกรายการ) แถมมีผลต่าง 2 ประตูทุกเกม ทำให้ทาบสถิติที่ยาวนานที่สุดของสโมสรที่เคยทำไว้ได้ในปี 1980 ช่วงระหว่างเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม (สถิติชนะในบ้านติดต่อกันด้วยการยิงมากกว่า 2 ประตู)2. ซิมิคาสและเอ็นโด โอเคเลยเรามาเริ่มกันที่คอสตาส ซิมิคาสก่อนดีกว่าครับ หลังจากที่แอนดรูว โรเบิร์ตสันนั้นมีอาการบาดเจ็บบริเวณหัวไหล่จากเกมทีมชาติและต้องเข้ารับการผ่าตัด ทำให้โอกาสในการลงเล่นตำแหน่งแบ็คซ้ายตกเป็นของซิมิคาสอย่างน้อย 2-3 เดือนเลยทีเดียว บอกตรงๆ ว่าช่วงก่อนหน้านี้ซิมิคาสเล่นได้ไม่น่าประทับใจเลย เกมรุกก็เปิดบอลไม่แม่น เกมรับก็หลุดตำแหน่งบ่อยครั้ง เกมที่พบกับตูลูสเขาก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทีมเสียประตู นอกจากนี้ยังจ่ายบอลไม่ดีให้กับวาตารุ เอ็นโดจนเพื่อนได้รับใบเหลืองไปแต่พอมาเกมนี้ ช่วงต้นก็ยังดูไม่เข้าที่เท่าไหร่ แต่พอแอสซิสต์ให้กับโม ซาลาห์โหม่งทำประตูเข้าไป หลังจากนั้นก็เหมือนความมั่นใจของเจ้าตัวกลับมาอีกครั้ง ฟอร์มเดิมๆ ที่เคยเล่นดี เป็นคนที่ทดแทนร็อบโบ้ได้ก็ดูเหมือนกลับมาแล้ว จบเกมนี้เจ้าตัวทำไป 2 แอสซิสต์ หวังว่าหลังจากนี้ช่วงที่ร็อบโบ้ยังไม่กลับมา ซิมิคาสจะสามารถรักษาฟอร์มการเล่นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ขอให้ดีขึ้นเรื่อยๆมาถึงกองกลางกัปตันซามูไรอย่างวาตารุ เอ็นโดกันบ้างดีกว่าที่ในเกมนี้ได้รับโอกาสลงสนามเป็นตัวจริงในพรีเมียร์ลีกเป็นเกมแรก หลังจากที่อเล็กซิส แมคอัลลิสเตอร์นั้นสะสมใบเหลืองครบโควตาและโดนแบนในเกมนี้ไป ในเกมนี้ถือว่าเป็นเกมที่เอ็นโดโชคดีมากๆ ที่จบเกมแล้วเจ้าตัวไม่ได้รับใบเหลืองเลย ทั้งๆ ที่มีจังหวะที่เข้าสกัดหลายต่อหลายครั้ง มีเสี่ยงโดนใบแดงด้วยซ้ำ แต่จบเกมแบบคลีนชีทใบเหลือง สถิติในเกมนี้ของเอ็นโดอาจจะดูเฉยๆ ผ่านบอล 57 ครั้ง, แม่นยำ 86% แทคเกิลครั้งเดียว, ชนะการดวลกลางอากาศ 2 ครั้ง, เคลียร์บอล 4 ครั้งแต่ถ้าดูในเกมจริงๆ จะเห็นได้ว่าเอ็นโดนั้นจะเป็นคนที่คอยทำลายจังหวะของผู้เล่นเบรนท์ฟอร์ดอยู่หลายครั้ง เป็นเหมือนแมลงวันที่คอยตามกวนใจเกมรุกเบรนท์ฟอร์ดเรื่อยๆ ตอดเล็กตอดน้อย ตัดเกมหลายครั้งและโชคดีมากๆ ที่ไม่โดนเหลืองเลย แต่ก็ยังมีจุดที่ต้องปรับปรุงกันอีกพอสมควร ต้องให้ลงเล่นในเกมลีกมากกว่านี้ เพื่อที่จะได้ปรับตัวกับสปีดของฟุตบอลอังกฤษให้ได้ เพราะในหลายๆ จังหวะเขายังช้ากับฟุตบอลอังกฤษอยู่ แต่ภาพรวมแล้วดีขึ้นเรื่อยๆ รอวันที่ปรับตัวให้ได้กับฟุตบอลอังกฤษ3. เดอะ หนูน (ยัง) เป็นคอนเทนต์ ครีเอเตอร์"ดาร์วิน นูนเญซ" ชื่อนี้ยังการันตีและรับประกันว่าในแต่ละเกมจะต้องมีอย่างน้อยหนึ่งคอนเทนต์ เช่นเดียวกันกับในเกมนี้ครับ เพราะเจ้าตัวก็มีคอนเทนต์ให้แฟนบอลได้พูดถึงอีกแล้ว เพราะในเกมนี้เขานั้นสามารถส่งบอลลงไปกองก้นตาข่ายได้แล้วถึง 2 ครั้ง แต่สุดท้ายแล้วทั้งสองครั้งนั้นถูกริบไปทั้งหมดจังหวะแรกนั้นเป็นจังหวะล้ำหน้าที่ฉิวเฉียดมากๆ เจ้าตัวยืนเหลื่อมกองหลังของเบรนท์ฟอร์ดเพียงครึ่งฝ่าเท้าแค่นั้น ส่วนลูกที่สองนี้อุตส่าห์ได้ยิงแบบสุดสวย เจ้าตัวนั้นหันหลังให้ประตูและตีลังกาเข้าไป แต่สุดท้ายก็จังหวะที่ยิงนั้นเขารับบอลตอนที่ตัวเองล้ำหน้า อันนี้ชัดเจนกว่าจังหวะแรกมากๆ ทำให้ถึงแม้จะยิงได้แบบท่าสวยแต่ก็โดนริบอยู่ดีเสียดายแทนน้องหนูนจริงๆ แต่ไม่เป็นไร เจ้าตัวยังมีความอันตราย คุกคามเกมรับคู่แข่งได้เหมือนเดิม และยังมีแอสซิสต์ที่จ่ายให้โม ซาลาห์ยิงให้ทีมขึ้นนำอีกด้วย ถึงยิงไม่ได้แต่ก็ยังมีผลงานอยู่เสมอ เป็นกำลังใจให้หนูนต่อไป4. คู่หูโม-หนูนร้อนแรงไม่หยุดถ้าหากย้อนอดีตไปตั้งแต่ผมทันดู ลิเวอร์พูลนั้นก็มักจะมีคู่หูในเกมรุกเสมอมา เจอร์ราร์ด-ตอร์เรส, ซัวเรส-สเตอร์ริดจ์ หรือก่อนนั้นก็จะมีโอเวน-เฮสกีย์จนมาในยุคของเยอร์เกน คล็อปป์เขาก็ได้สร้างสามประสานแห่งยุค ซาลาห์-บ๊อบบี้-มาเน ที่พาทีมประสบความสำเร็จคว้าทุกแชมป์ แต่ ณ ตอนนี้ 2 คนอย่างเฟอร์มิโนและมาเนได้ย้ายออกไปแล้ว เหลือซาลาห์คนเดียว หลายคนอาจจะเป็นกังวลว่าเกมรุกของลิเวอร์พูลจะดรอปไป แต่ที่ไหนได้ตอนนี้เขามีคู่หูคนใหม่แล้ว คู่หูของเขาคือดาร์วิน นูนเญซนี่เองฤดูกาลนี้คู่หูโม-หนูนนั้นสร้างสรรค์โอกาสให้กันและกันไปแล้ว 19 ครั้งและแอสซิสต์ให้กันไปแล้ว 5 ครั้ง (นับเฉพาะเกมลีก) โดยแบ่งเป็นบังโมสร้างสรรค์ให้นูนเญซ 13 ครั้ง แอสซิสต์ 1 ครั้ง ส่วนนูนเญซสร้างสรรค์โอกาสให้บังโม 6 ครั้งและแอสซิสต์ 4 ครั้ง ซึ่งนั่นเท่ากับว่าทุกแอสซิสต์ในเกมลีกฤดูกาลนี้ของนูนเญซ คือการแอสซิสต์ให้ซาลาห์คนเดียวหมดเลย และถ้าหากนับจำนวนแอสซิสต์ทั้งหมดที่นูนเญซทำได้ 10 ครั้ง 9 ครั้งคือการจ่ายให้บังโมยิง อีกครั้งนึงที่เจียดมาคือการแอสซิสต์ให้ไรอัน กราเฟนแบร์คจากประตูที่โม ซาลาห์ยิงได้ในเกมเมื่อก่อนวันอาทิตย์ที่ผ่านมานั้น ทำให้เขากลายเป็นนักเตะลิเวอร์พูลคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ทำประตูในเกมเหย้าของในลีกได้ทุกเกมจาก 6 เกมแรกของซีซัน อธิบายง่ายๆ ก็คือ เกมลีก 6 เกมแรกของซีซันที่เล่นในบ้าน ซาลาห์เป็นคนแรกที่ทำประตูได้ทุกเกมซึ่งถ้าหากนับตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้ว ซาลาห์ทำประตูในแอนฟิลด์ได้ 15 เกมติดต่อกันเข้าไปแล้ว และตอนนี้ทำให้เขารั้งอันดับที่ 2 ของดาวซัลโวพรีเมียร์ลีกที่ 10 ประตูตามหลังเออร์ลิง เบราท์ ฮาแลนด์ 3 ประตู และส่งให้ซาลาห์มีส่วนร่วมกับประตูให้ลิเวอร์พูลในเกมพรีเมียร์ลีกที่เล่นที่แอนฟิลด์ไปแล้ว 118 ประตูจากการลงเล่น 117 เกม (ยิง 86 แอสซิสต์ 32)ส่วนนูนเญซถึงเกมนี้จะส่งบอลตุงตาข่ายไปถึง 2 ครั้งและถูกริบทั้งหมด แต่ถ้าหากดูข้างในรายละเอียดเกมจริงๆ แล้วนูนเญซนั้นสามารถสร้างอิมแพคให้กับทีมได้ค่อนข้างดี เขาก่อกวน คุกคามใส่กองหลังเบรนท์ฟอร์ดได้อยู่เรื่อยๆ หาช่องหาตำแหน่งการยืนที่จะหาโอกาสทำประตูได้อยู่บ่อยครั้งซึ่งนี่คือจุดเด่นของเขาอยู่แล้ว และถึงแม้ยิงไม่ได้แต่ก็ยังดีที่มีแอสซิสต์ อย่างน้อยก็เรียกความมั่นใจกลับมาให้ตัวเองได้อยู่บ้าง หลังจากในเกมที่พบกับลูตัน เขาพลาดแบบไม่พลาด หวังว่าความมั่นใจจะยังมีอยู่นะ5. เวอร์จิล ฟาน ไดจ์กร่างทองถ้าหากใครคิดถึงเวอร์จิล ฟาน ไดจ์กตอนร่างทอง ร่างที่เป็นอันดับ 2 ของบัลลงดอร์ ผมบอกเลยว่าในเกมที่พบกับเบรนท์ฟอร์ด คุณได้กลับมาเห็นร่างนั้นอีกครั้ง ร่างทองของฟาน ไดจ์กน่ะและนี่คือสถิติของฟาน ไดจ์กในเกมที่พบกับเบรนท์ฟอร์ดครับ แทคเกิล 3 ครั้ง, เคลียร์บอล 4 ครั้ง, บล็อคลูกยิง 2 ครั้ง, จ่ายบอลแม่นยำ 89%, ชนะการดวลกลางอากาศ 6 ครั้ง, จ่ายบอลเข้าพื้นที่สุดท้าย 6 ครั้ง, วางบอลยาวสำเร็จ 10 ครั้ง (จากทั้งหมด 10 ครั้ง) มีจังหวะสกัดบอลหน้าปากประตูด้วย เหยียดขาสกัดได้แบบเฉียดฉิวสุดๆเอาดีๆ นี่คือฟาน ไดจ์กร่างที่แฟนๆ หงส์แดงคิดถึงกันมาก จังหวะที่ตัวเองต้องดวลก็สามารถเก็บกินได้หมด แต่ถ้าเป็นจังหวะที่คอยซ้อนหรือที่ต้องจัดการกับความผิดพลาดของเพื่อนก็สามารถเก็บกินได้เหมือนกัน บางจังหวะเขาโชว์สปีดวิ่งตามตัวที่จะหลุดเข้าไปทำประตูและสกัดออกหลังได้ นี่คือภาพที่คุ้นเคยในช่วงที่กัปตันทีมคนใหม่คนนี้ทำได้อยู่เสมอจนถึงตอนนี้ผมบอกตรงๆ ว่าผมเสียดายมากๆ ที่ในฤดูกาล 2020/2021 ฟาน ไดจ์กได้รับบาดเจ็บบริเวณ ACL จากการถูกปะทะจากจอร์แดน พิคฟอร์ด นายทวารของเอฟเวอร์ตัน เพราะมันทำให้ฟาน ไดจ์กนั้นหายไปทั้งฤดูกาลและร่างกายของเขาก็ไม่เหมือนเดิมอีกเลย กว่าจะกลับมาเล่นได้ดีครั้งก็นานจนมาถึงฤดูกาลนี้นี่แหละ ลองคิดภาพว่าถ้าฟาน ไดจ์กไม่เจ็บยาวไป ร่างกายของเขาจะฟิตและสมบูรณ์ขนาดไหนและยิ่งด้วยสไตล์การเล่นของพี่ไดจ์กที่เป็นบอลเชิง ไม่ได้เป็นคนที่เข้าบวกปะทะรุนแรงอะไร ตอนนี้เขาจะโหดขนาดไหนและลิเวอร์พูลจะแข็งแกร่งขนาดไหน ถึงแม้อายุ 32 ย่าง 33 แล้วแต่ยังเป็นลูกพี่ใหญ่ในเกมรับได้อย่างสุดยอดน่าเสียดายที่เจ็บยาวในตอนนั้นจริงๆหลังจากนี้ก็จะเข้าสู่ช่วงเบรคทีมชาติ โดยจะเป็นเบรคทีมชาติโปรแกรม FIFA Day สุดท้ายของปีปฏิทินนี้แล้ว ก็ได้แต่หวังว่าขออย่าให้มีนักเตะได้รับอาการบาดเจ็บกลับมาเลย ไม่งั้นงานหยาบแน่ๆ เพราะก่อนเกมนี้อิบราฮิมา โกนาเตและโจ โกเมซก็เจ็บเพิ่มไปอีก รวมไปถึงทุกๆ ทีมด้วย ขออย่าให้มีนักเตะบาดเจ็บเพิ่ม เพราะมันไม่ใช่เรื่องดีอะไรเลยและก็ขอให้แก๊งนักเตะโซนอเมริกาใต้กลับมาเร็วๆ จะได้มีเวลาพักฟื้นและซ้อมกับทีม เพราะเปิดเกมแรกมาก็เป็นศึกใหญ่ที่สุดของฤดูกาลเลย เพราะต้องออกไปเยือนจ่าฝูงแมนเชสเตอร์ ซิตี ขอให้เจอกันในชุดฟูลทีมจริงๆ จะได้หวดกันมันส์ๆขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจากOptaJoeWhoscoredOfficial Facebook ลิเวอร์พูลOfficial Instagram เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ก (@virgilvandijk) และวาตารุ เอ็นโด (@endowataru)ภาพปก 1, ภาพปก 2, ภาพปก 3, ภาพประกอบ 1, ภาพประกอบ 2, ภาพประกอบ 3, ภาพประกอบ 4, ภาพประกอบ 5 และภาพประกอบ 6บทความที่เกี่ยวข้องบ่น 3 ข้อหลังเกมลิเวอร์พูลบุกเสมอลูตัน ทาวน์เปิดสถิติ 2 ฤดูกาล "ดาร์วิน นูนเญซ" ดาวยิงเกิดใหม่ของลิเวอร์พูลเวอร์จิล ฟาน ไดจ์ก กับบทบาทกัปตันลิเวอร์พูลแมคอัลลิสเตอร์ & โซโบซไล สร้างเรื่องให้ลิเวอร์พูลอีกแล้วดิลิเวอร์พูลกลับมาเป็นผู้ท้าชิงแมนซิตี้ ? ติดตามข่าวสาร คอนเทนต์เด็ด ๆ ก่อนใคร อย่าช้า โหลดเลยที่ TrueID !!