กีฬาถือเป็นสิ่งบ่งชี้อัตลักษณ์ของวัฒนธรรมนั้น ๆ แม้กระทั่งกีฬาสากลในโอลิมปิก ก็เป็นการบอกเล่าถึงเส้นทาง วิถี และคุณค่าในกีฬานั้น ๆ ผ่านการละเล่นของคนรุ่นต่อรุ่น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ากีฬาสากล ย่อมมีความมั่นคงกว่าในเรื่องของการสืบทอด แต่กีฬาพื้นบ้าน กลับเป็นสิ่งที่กำลังลดหายลงไป โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีกำลังเข้ามามีบทบาทในชีวิตมนุษย์เรามากขึ้น หากได้ลองครุ่นคิดดูว่าครั้งล่าสุดที่เราเห็นเหล่าเด็ก ๆ เล่นมอญซ่อนผ้านั้น คือเมื่อไหร่ ในสมัยที่เทคโนโลยียังไม่ได้พัฒนาและมีบทบาทมากเท่าทุกวันนี้ กิจกรรมยามว่างของผู้คนก็จะเป็นการออกไปเดินเล่นตามสวนสาธารณะ หรือหากอยู่ต่างจังหวัดที่เงียบ ๆ ก็อาจจะเดินเล่นในหมู่บ้าน เด็ก ๆ รวมกลุ่มตามลานวัด จัดหากิจกรรมมาเล่นกัน และในจังหวัดกระบี่นั้น ก็เล่น อีฉุด หรือในชื่อแบบทางการว่า หมากฉุด ที่ถือเป็นกิจกรรมของเด็ก ๆ ทางภาคใต้ ซึ่งเสมือนมอญซ่อนผ้าที่นิยมเล่นกันในกรุงเทพมหานครดังแต่ก่อน โดยอุปกรณ์การเล่นก็เล่าถึงวิถีชีวิตได้เป็นอย่างดี ที่ใช้เพียงแค่ลูกเกย หรือลูกสะบ้าที่หาได้จากธรรมชาติ ที่บ่งบอกว่าการละเล่นนี้เป็นการละเล่นที่สามารถหาได้ในป่าเขาใกล้บ้าน ต่อมาก็ต้องทำการขีดเส้นบนพื้นดินเพื่อทำตารางแบ่งเขตเมือง โดยขีดเป็นช่องสี่เหลี่ยมจำนวนหกช่อง ซึ่งจะเรียกกันว่าหกเมือง และจุดหนึ่งที่เรียกว่าจุดหัวกะโหลก วิธีการเล่นคือให้ผู้เล่นคนที่หนึ่ง เริ่มทอยลูกเกยลงไปในเขตเมืองที่หนึ่ง แล้วกระโดดยืนเท้าเดียวในเมืองที่หนึ่ง จากนั้นให้ใช้ปลายเท้าที่ยืนเข้าไปฉุดลูกเกยให้ติด แล้วกระโดดขาเดียวทั้งแนบลูกเกยไปในเขตเมืองที่สอง สาม สี่ ห้า หก ตามลำดับ จากนั้นก็ฉุดลูกเกยออกจากเขตเมืองที่หก ต่อไปผู้เล่นคนเดิมต้องทอยลูกเกยลงในเมืองที่สอง แล้วกระโดดยืนเท้าเดียวในเมืองที่หนึ่งข้ามไปเมืองที่สอง แล้วทำเหมือนเดิมไปจนครบทุกเมือง จนถึงเมืองที่หกที่หลังจากทอยและฉุดลูกเกยได้ครบแล้ว ให้ผู้เล่นคนเดิมกระโดดด้ายเท้าข้างเดียว จังหวะเดียวลงที่เมืองที่หนึ่งจนถึงเมืองที่หก ห้ามกระโดดหลายจังหวะ มิเช่นนั้นจะถือว่าแพ้ หากกระโดดครบแล้วไม่แพ้ ให้เข้าสู่การเล่นในท่าต่อไป คือ เอาลูกเกยวางบนหลังเท้าแล้วสาวลงไปในเมืองทั้งหกแบบสลับฟันปลาตามลำดับ โดยที่เท้าหนึ่งลงเมืองได้เพียงแค่ครั้งเดียว เช่นเท้าซ้ายเหยียบเมืองหนึ่ง เท้าขวาเหยียบเมืองสองและสลับไปจนครบ โดยที่ลูกเกยต้องไม่ตกและไม่เหยียบเส้นเมือง หากเหยียบเส้นเมือง ถือว่าแพ้ และออกให้ผู้เล่นอื่นเข้ามา หากไม่เหยียบและเดินจนถึงเมืองที่ห้า ให้กระโดดลงสองเท้าที่เมืองที่จุดหัวกะโหลกแบบหันหลัง จากนั้นก็โยนลูกเกยข้ามศรีษะตนเอง ถ้าลูกเกยลูกนั้นตกลงที่เมืองใด เมืองนั้นจะเป็นของผู้เล่นทันทีและสามารถยืนสองเท้าในเมืองนั้นได้ จากนั้นก็เล่นต่อไปจนกว่าจะแพ้หรือได้ครบทุกเมือง ซึ่งถือเป็นการวัดความสามารถของกล้ามขาได้เป็นอย่างดี กีฬานี้ยังมีการปฏิสัมพันธ์โดยการพูดที่น่าสนใจไว้อยู่คือ ขณะที่ผู้เล่นกำลังก้าวเท้าลงแต่ละเมืองนั้น ผู้เล่นต้องกล่าวคำถามว่า อู่ บอ ซึ่งมีความหมายว่า เหยียบเส้นหรือไม่ ถ้าผู้เล่นคนอื่นและกรรมการเห็นว่าไม่เหยียบจะตอบกลับว่า บอ แต่ถ้าเหยียบเส้น จะกล่าวตอบว่า อู่ ซึ่งยังหาข้อมูลที่แน่ชัดไม่ได้ว่าสองคำนี้เป็นภาษาใต้หรือภาษาอื่นใด แต่ก็ถือเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของการละเล่นนี้ ที่สำคัญ อีฉุด ถือเป็นกีฬาพื้นบ้านที่เล่นได้ทุกโอกาส อีกทั้งยังเป็นการละเล่นท้องถิ่นยอดนิยมของเด็ก ๆ ชาวจังหวัดกระบี่ แม้ว่ากาลเวลาจะทำให้วัฒนธรรมต่าง ๆ หดหายลงไป แต่เหนืออื่นใดที่นอกเหนือจากการอนุรักษ์การละเล่นดั้งเดิมของชุมชนแล้ว กีฬาพื้นบ้านแบบนี้ยังได้บอกเล่าถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ชาวจังหวัดกระบี่ ที่เป็นการบ่งชี้ถึงการใช้ชีวิตร่วมกับธรรมชาติได้อย่างลงตัว อีกทั้งยังช่วยสร้างความแข็งแรงแก่ร่างกาย เสริมสร้างความสามัคคี ความรัก ความผูกพันธ์ในหมู่คณะให้เป็นกลุ่มก้อน