ถึงแม้ว่าสถานการณ์แพร่ระบาดจากทั่วโลกของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ COVID-19 ยังไม่ได้เบาบางลงไป แต่ในที่สุดรัฐบาลของประเทศอังกฤษก็ได้มีมติอนุญาตให้ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกกลับมาทำการเตะแข่งขันกันอีกครั้งเพื่อให้จบฤดูกาล 2019-2020 หลังจากหยุดพักไปตั้งแต่กลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และประเทศอังกฤษเองนั้นก็มีผู้ติดเชื้อไวรัสสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกเลยก็ตามที รวมทั้งนักเตะและบุคลากรในวงการสโมสรฟุตบอลอังกฤษก็ติดเชื้อกันมากมายหลายคนเช่นกัน แต่ภายหลังที่รัฐบาลอนุญาตให้ทำการแข่งขันได้แล้วนั้น สมาคมฟุตบอลก็ได้เรียกประชุมทีมต่าง ๆ เพื่อปรึกษาหารือ และในที่สุดก็ได้อนุมัติให้ทำการแข่งขันภายใต้เงื่อนไขของความปลอดภัย พรีเมียร์ลีกหลังโควิด สถานการณ์ที่เปลี่ยนไป จะมีทิศทางเป็นอย่างไรนั้น ก็เป็นที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้จะกลับมาแข่งขันอีกครั้งได้ก็ตาม แต่การแข่งขันฟุตบอลก็ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขความปลอดภัยสูงสุดทางด้านสุขอนามัย คือ ต้องผ่านคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และประเมินความเสี่ยงของสต๊าฟทีมงาน นักกีฬา และผู้เกี่ยวข้องก่อน และยังไม่สามารถเปิดให้ผู้ชมเข้าไปดูในสนามได้อย่างเด็ดขาด เพื่อหลีกเลี่ยงการที่ผู้คนจำนวนมากจะมารวมตัวกัน แต่จะมีการถ่ายทอดสดทุกนัดเพื่อแฟนฟุตบอลจะดูเกมได้จากที่บ้าน แต่การกลับมาเตะครั้งนี้ก็มีหลายสโมสรที่ไม่เห็นด้วย รวมทั้งกลุ่มแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ที่กังวลว่ากลุ่มนักฟุตบอลจะเป็นตัวการแพร่เชื้อเสียเอง แต่ก่อนหน้านี้สมาคมก็ได้ผ่อนปรนมาตรการต่าง ๆ ออกมาแล้วเป็นระยะ ทั้งการให้แยกกลุ่มซ้อมเล็ก ๆ ไม่ให้มีการฝึกซ้อมการแข่งขันแบบฟูลทีม ไม่ให้โดนตัวกัน ไม่อนุญาตให้มีการถอดเสื้อ ฯลฯ แต่หลังจากนั้นก็ให้นักฟุตบอลทำการซ้อมแบบปะทะตัวกันได้ และจากการเปิดเผยผลการตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 ครั้งล่าสุด จากตัวอย่างที่สุ่มตรวจ 1,130 คน ปรากฎว่าไม่มีผู้ติดเชื้อไวรัสเพิ่มขึ้นเลยแม้แต่รายเดียว ซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีในการกลับมาแข่งขัน การหยุดพักการแข่งขันไปยาวนานหลายเดือนส่งผลกระทบต่อวงการฟุตบอลอังกฤษ และวงการฟุตบอลยุโรปเป็นอย่างมาก เพราะปัจจุบันอย่างเป็นที่ทราบกันดีว่าฟุตบอลคือกีฬาอันดับ 1 ของโลก ที่มีทั้งจำนวนแฟนบอลและฐานของรายได้ที่มีมูลค่าสูงมาก รวมถึงโฆษณาสินค้า สปอนเซอร์ต่าง ๆ ของนักเตะและสโมรสร ค่าลิขสิทธิ์ต่าง ๆ ค่าตั๋วเข้าชม ซึ่งการหยุดชะงักไปนั้นทำให้สโมสรต่าง ๆ ต้องขาดรายได้ไปอย่างมหาศาล แต่ในขณะเดียวกันก็สวนทางกับรายจ่ายที่ยังมีอยู่ตลอดเวลา แม้ในช่วงหยุดพักการแข่งขัน นั่นก็คือค่าจ้างนักเตะ ค่าบำรุงดูแลสโมสร ดูแลพนักงานด้านต่าง ๆ มีการคาดการณ์ตัวเลขออกมาว่าจากการที่ต้องหยุดพักไปและกลับมาแข่งขันแบบไร้คนดูนั้น ทำให้สโมสรในพรีเมียร์ลีกทั้ง 20 ทีมนั้น จะสูญเสียรายได้ไปราว ๆ 15,000 ล้านบาท เลยทีเดียว ผลพวงจากผลกระทบในวงการฟุตบอลครั้งนี้ อาจจะยังมีต่อเนื่องไปถึงอนาคตข้างหน้าอีกด้วย จากรายได้ที่สูญเสียไปก็เป็นปัญหาใหญ่แล้ว ยังต้องเผชิญกับภาวะที่ไม่แน่นอนของสถานการณ์อีก และการต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายไว้ก่อนหน้านั้น ทำให้หลายสโมสรต้องหาทางเจรจากับบรรดานักเตะซูเปอร์สตาร์ค่าตัวแพงทั้งหลาย ให้ยอมลดค่าเหนื่อยลงมาบ้าง เพื่อจะได้อยู่รอดกันทั้งสองฝ่าย รวมไปถึงอาจต้องลดต้นทุนต่าง ๆ ของสโมสรหลาย ๆ ด้านลงอีกด้วย เพื่อพยุงสถานภาพทางการเงินจนกว่าจะกลับมามั่นคงอีกครั้งเสียก่อน ธุรกิจการกีฬาอาจจะไม่เฉพาะฟุตบอลพรีเมียร์ลีกเท่านั้น ฟุตบอลประเทศอื่น ๆ ก็คงจะได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องไปทั้งหมด เพราะธุรกิจที่เป็นผู้สนับสนุนต่าง ๆ ก็ได้รับผลกระทบไม่แพ้กัน การลงทุนกับวงการฟุตบอลอาจจะลดน้อยถอยลงไปมากกว่าที่เคยเป็นอยู่ สปอนเซอร์ต่าง ๆ ก็อาจจะต้องพลิกฟื้นตัวเองด้วยเช่นกัน ในแง่ของการแข่งขันก็อาจจะต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบเพื่อให้เกิดความปลอดภัยมากขึ้น รวมถึงการปรับเปลี่ยนแมทช์การแข่งขัน หรือทัวร์นาเมนต์ต่าง ๆ ที่มีอยู่มากมายให้ลดน้อยลง ซึ่งก็เท่ากับว่าการทำเงินอย่างมากมายมหาศาลของวงการฟุตบอลก็อาจจะลดน้อยลงเป็นเงาตามตัวเช่นเดียวกัน ขอบคุณภาพปก ภาพประกอบ True ID True ID True ID True ID True ID True ID True ID True ID