ถือว่าผ่านเกมที่ยากและกดดันไปได้อีกเกมครับ สำหรับ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูลที่สามารถบุกไปถล่ม "เดอะ เชอร์รีส์" บอร์นมัธได้แบบเซอไพรส์กับผลการแข่งขันและสกอร์ที่ออกมาพอสมควร เพราะก่อนเกมนี้ต้องยอมรับว่าบอร์นมัธก็มีฟอร์มการเล่นที่แข็งแกร่งเหมือนกัน เพราะ 7 เกมหลังสุด พวกเขาแพ้เพียงเกมเดียวที่แพ้ให้กับท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ แถมมีบุกไปถล่มแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดคาโอลด์ แทรฟฟอร์ด 0-3 และโดยเฉพาะโดมินิก โซลันกีที่ก่อนเกมนี้ยิงในพรีเมียร์ลีกไปแล้ว 12 ประตู เป็นรองดาวซัลโวต่อจากเออร์ลิง เบราท์ ฮาแลนด์และโมฮัมเหม็ด ซาลาห์ที่ 14 ประตู แต่ในเกมนี้เรียกได้ว่าเล่นไม่ออกเลยส่วนฟากของผู้มาเยือนอย่างลิเวอร์พูลก็มีความกดดันพอสมควร เพราะแมนเชสเตอร์ ซิตีนั้นจี้หลังมาเหลือ 2 คะแนนแล้วแถมเรือใบก็แข่งน้อยกว่า 1 เกมทำให้เกมนี้จำเป็นต้องเอาชนะให้ได้เพื่อทิ้งห่างช่องว่างไปที่ 5 คะแนนซึ่งสุดท้ายก็สามารถทำได้สำเร็จ และในเกมนี้ก็มีหลากหลายประเด็นให้พูดถึงเหมือนกัน แต่ผมขอยกมาเพียง 5 ประเด็นมาพูดคุยกัน จะมีประเด็นใดบ้าง ไปดูกันเลยครับ1. ผู้ตัดสินพรีเมียร์ลีกไร้มาตรฐาน (รอบที่ล้านนนนน)เป็นอีกครั้งแล้วที่ผู้ตัดสินพรีเมียร์ลีก อังกฤษนั้นไร้ซึ่งมาตรฐานในการตัดสิน เพราะในเกมนี้ในนาทีที่ 34 นั้นมีจังหวะที่หลุยส์ ดิอาซถูกจัสติน ไคลเวิร์ตเข้าที่บริเวณเหนือข้อเท้าขึ้นมา แต่ผู้ตัดสินไม่แม้จะเป่าให้ฟาล์ว โอเค ในจุดนี้อาจจะมองว่าไคลเวิร์ตโดนบอลก่อนเลยไม่ฟาล์ว แต่กับ VAR ล่ะทำไมไม่เช็ค เพราะมันจังหวะที่อันตราย เข้าบอลเหนือข้อเท้าแทบจะถึงหน้าแข้งอยู่แล้วซึ่งจังหวะแบบนี้มีให้เห็นหลายต่อหลายครั้งแล้วว่าเป็นใบแดง ไม่ว่าจะเป็นคาเซมิโรเมื่อฤดูกาลที่แล้วหรือในฤดูกาลนี้ที่เคอร์ติส โจนส์โดนใบแดงในเกมพบกับท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ซึ่งลักษณะก็คล้ายกันเลย คือสกัดที่บอลก่อนแต่จังหวะต่อเนื่องมันดันไปตรงบริเวณเหนือข้อเท้า คำถามคือทำไมไคลเวิร์ตรอดแล้วทำไมโจนส์กับคาเซมิโรถึงไม่รอด ทั้งๆ ที่ก็โดนบอลก่อนเหมือนกัน มาตรฐานอยู่จุดไหน (อีกแล้ว) และนี่ไม่ได้เป็นแค่จังหวะเดียวที่ตัดสินแบบค้านสายตาในนาทีที่ 51 มีจังหวะที่ดิโอโก โชตาโดนอิลยา ซาบาร์นยีเข้าปะทะบริเวณเส้นกรอบเขตโทษพอดี แต่ทั้งกรรมการในสนามและ VAR ก็ปล่อยจอยไม่ตัดสิน ทั้งๆ ที่ภาพช้าก็เห็นชัดว่าโชตาโดนปะทะแบบที่บอลผ่านไปแล้วแต่โชตาโดนปะทะและล้มลงไปอยากจะถามเหมือนกันว่าชาติไหนจะปรับปรุงคุณภาพและมาตรฐานของผู้ตัดสินพรีเมียร์ลีก จะดีขึ้นกี่โมงงงงงง???2. โซลันกีเล่นไม่ออกอย่างที่ได้เกริ่นไปในช่วงต้นว่าหนึ่งในกองหน้าที่ร้อนแรงที่สุดในพรีเมียร์ลีก ณ ตอนนี้โดมินิก โซลันกีคือหนึ่งนั้นครับ เพราะยิงจนตอนนี้ขึ้นไปเป็นรองดาวซัลโวที่ 12 ประตู ทำให้ก่อนเกมผมเชื่อว่าแฟนหงส์แดงหลายๆ คนก็แอบหวั่นๆ กับความร้อนแรงของโซลันกีเหมือนกัน กลัวว่า "กฎยิงประตูทีมเก่า" จะถูกใช้งานโดยโซลันกี แต่สุดท้ายกฎนี้ก็ไม่ได้ใช้งานในเกมนี้ต้องชื่นชมเกมรับของลิเวอร์พูลที่สามารถเก็บโซลันกีเข้ากระเป๋าได้อย่างหมดจด โซลันกีนั้นไม่สามารถแผลงฤทธิ์ได้เลย โดยเฉพาะคู่หู "พี่ไดจ์กน้องเต้" อย่างเวอร์จิล ฟาน ไดจ์กและอิบราฮิมา โกนาเตที่ช่วยกันเล่นเกมรับได้อย่างยอดเยี่ยมและสามารถช่วยให้ทำเก็บคลีนชีทได้อีกเกม ส่วนโซลันกีนั้นก็ถือว่าสอบตกในเกมนี้แถมโดนเปลี่ยนตัวออกในนาทีที่ 83 อีกด้วยและจบเกมด้วยสถิติดังนี้ครับสัมผัสบอล 27 ครั้งเลี้ยงบอลสำเร็จ 2 ครั้งโอกาสยิง 1 ครั้งเรทติง 6.07 (จาก Whoscored)3. ครึ่งแรกสุดจะอึดอัดถึงแม้ว่าเกมนี้ผลสกอร์จะออกมาด้วยการถล่มของลิเวอร์พูลแต่ต้องบอกว่าครึ่งแรกของเกมนี้เป็นครึ่งแรกที่อึดอัดพอสมควรของหงส์แดง เพราะไม่สามารถเจาะตาข่ายของบอร์นมัธได้เลย รูปเกมครึ่งแรกนั้นชวนง่วงให้น่าหลับเสียจริง แถมมีจังหวะน่าหวาดเสียวอีกด้วย โดยจุดนี้ก็ต้องชมลูกทีมของอันโดนี อิราโอลาด้วยที่วางแทคติกได้อย่างยอดเยี่ยมจนลิเวอร์พูลนั้นไม่ได้สร้างอันตรายให้เจ้าถิ่นได้มากนักโดยสถิติครึ่งแรกของลิเวอร์พูลนั้นมีจังหวะยิง 4 ครั้งเท่านั้นและตรงกรอบเพียง 2 ครั้ง แถมโอกาสแรกก็ต้องรอถึงนาทีที่ 19 ด้วยซ้ำถึงจะมีโอกาสยิงจากอเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์และเป็นการยิงไกลด้วย ส่วนบอร์นมัธนั้นมีจังหวะ 3 ครั้ง โดยจังหวะยิงของทั้งสองทีมในครึ่งแรกไม่มีโอกาสได้ยิงในกรอบเขตโทษเลยบอกตรงๆ ว่าเกมครึ่งแรกทำเอาเกือบหลับเหมือนกัน รูปเกมค่อนข้างสูสี บอร์นมัธทำได้ดีเลยทีเดียว4. แม็คก้าร่างทองเบอร์ 6ก่อนอื่นต้องบอกตรงๆ ว่าการไปรับใช้ทีมชาติญี่ปุ่นของศึกเอเชียน คัพ 2023 ของวาตารุ เอนโดนั้นทำให้แอบหวั่นใจอยู่เหมือนกันว่าตำแหน่งกองกลางตัวรับหรือเบอร์ 6 นี้จะมีปัญหาหรือไม่ เพราะถึงแม้ว่าอเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์นั้นเล่นได้ แต่มันก็ไม่ใช่ตำแหน่งที่ถนัดของเขาและเห็นมาหลายๆ นัดแล้วว่าเขาเบียดปะทะกับคู่แข่งไม่ค่อยได้ หลายๆ ครั้งเหมือนกันที่โดนเบียดกระเด็นอยู่ แต่กับเกมนี้ภาพเดิมๆ นั้นหายไปหมดเลย เขาสามารถเล่นได้แบบสุดยอด เป็นเบอร์ 6 อีกสไตล์ที่แตกต่างกับเอนโดไปเลยในเกมนี้ทำให้คิดเหมือนกันถ้าหากเอนโดกลับมา ใครจะได้เล่นในตำแหน่งนี้เพราะก็ต้องยอมรับว่าทั้งคู่นั้นมีสไตล์การเล่นที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เอนโดจะเป็นประเภทที่สู้ยิบตา กัดไม่ปล่อย บวกเป็นบวกไม่กลัวเจ็บ แต่แม็คก้านั้นจะเป็นสายดักบอล ชั้นเชิงสูงพอสมควร พลิกบอลและออกบอลให้ได้เปรียบหลายครั้งซึ่งมันก็มีข้อดีกันคนละแบบเหมือนกัน แต่ถ้าให้เลือก ยังไงผมก็ขอให้เอนโดเล่นตัวต่ำและดันแม็คก้าขึ้นสูงอยู่ดี เพราะสกิลเกมรุกของแม็คก้านั้นควรอยู่ใกล้ๆ กรอบเขตโทษของคู่แข่งจริงๆ ลูกจ่ายสวยๆ หรือแม้กระทั่งลูกยิงไกลแบบในเกมที่ชนะฟูแลมนั้นควรอยู่ใกล้ๆ ประตูของคู่แข่ง และต่อไปนี้คือสถิติของแม็ค อัลลิสเตอร์ในเกมที่พบกับบอร์นมัธ บอกได้เลยว่าสุดยอด ร่างทองมากๆ ครับสัมผัสบอล 95 ครั้ง (มากที่สุดในสนาม)ผ่านบอล 69 ครั้ง (แม่นยำ 87%)บอลยาว 9 ครั้ง (เข้าเป้า 5 ครั้ง)แทคเกิล 9 ครั้ง (มากที่สุดในสนาม)ดักบอล 3 ครั้ง (มากที่สุดในสนามร่วมกับไรอัน คริสตี)เคลียร์บอล 1 ครั้งแย่งบอลกลับมาครอง 15 ครั้ง (มากที่สุดในสนาม)คีย์พาส 4 ครั้ง (มากที่สุดในสนาม)5. โชตาคมกริบ ส่วนหนูนมาเงียบๆ แต่มานะ"ครึ่งแรก-ครึ่งหลัง หนังคนละม้วน" วลีนี้ใช้ได้กับเกมนี้เลย เพราะอย่างที่บอกว่าครึ่งแรกอึดอัดมากๆ แต่กับครึ่งหลังนั้นกลายเป็นฝ่ายลิเวอร์พูลที่เยอร์เกน คล็อปป์และทีมสตาฟฟ์นั้นแก้เกมได้อย่างยอดเยี่ยม ทำให้เป็นฝ่ายคุมเกมได้ตลอดครึ่งหลัง พิษสงของบอร์นมัธดูลดประสิทธิภาพลดลงไปพอสมควร รวมไปถึงทีเด็ดทีขาดในการจบสกอร์ก็เรียกได้ว่ายอดยเยี่ยมเลย เพราะในครึ่งหลังลิเวอร์พูลนั้นมีโอกาสสับไกไป 10 ครั้งและได้มา 4 ประตูซึ่งก็ต้องชื่นชมการจบสกอร์ของดิโอโก โชตาและดาร์วิน นูนเญซที่สามารถปิดบัญชีได้ในจังหวะที่ควรทำให้ได้โดยเฉพาะโชตา ผมยังยืนยันคำเดิมว่าโชตาคือคนที่ผมไว้ใจในการยิงประตูมากที่สุดแล้ว ผมยกให้เขาคือกองหน้าที่มีการยิงประตูที่คมที่สุดในทีมชุดนี้แล้ว แต่เอาจริงๆ นับตั้งแต่หมดยุคดูโอ้ "SAS" อย่างหลุยส์ ซัวเรสและดาเนียล สเตอร์ริดจ์ไป ผมก็ไม่ได้เห็นกองหน้าคนไหนที่ยิงคมได้เท่าคู่นั้นอีกแล้ว จนมาถึง "เกมเมอร์ที่เตะบอลได้นิดหน่อย" อย่างโชตาได้ง้างเท้ายิง เพราะมันมีสิทธิเป็นประตูสูงมากๆ และเชื่อหรือไม่ครับว่าเกมนี้ทั้งเกม โชตามีโอกาสยิงเพียง 2 ครั้ง เข้ากรอบทั้ง 2 ครั้งและสองครั้งนั้นก็คือสองประตูที่เกิดขึ้นครับ นอกจากนี้ยังมีอีก 1 แอสซิสต์ที่จัดให้กับดาร์วิน นูนเญซ พร้อมกับการคว้ารางวัล MOTM ในเกมนี้ไปครองและนี่คือสถิติของดิโอโก โชตาในเกมที่ถล่มบอร์นมัธครับสัมผัสบอล 51 ครั้งผ่านบอล 26 ครั้ง (แม่นยำ 73%)บอลยาว 4 ครั้ง (แม่นยำ 75%)แทคเกิล 3 ครั้งดักบอล 1 ครั้งคีย์พาส 1 ครั้งแอสซิสต์ 1 ครั้งมาถึงพระเอกอีกคนของเกมนี้ครับ สำหรับ "น้องหนูน" ดาร์วิน นูนเญซที่ในเกมนี้ก็จัดสองประตูเหมือนกับโชตาและบอกได้เลยว่าเอออออ ค่อยสมกับฟอร์มการเล่นที่รอคอยหน่อย เพราะการยิงประตูของนูนเญซในวันนี้ค่อยเหมือนคนเดิมที่เคยยิงประตูใส่ลิเวอร์พูลในสมัยที่ยังอยู่กับเบนฟิกาหน่อย ยิงแบบที่ไม่ต้องเน้นแต่ความแรง มียิงแบบเล่นทิศทางบ้าง โดยเฉพาะประตูที่ยิงให้ทีมขึ้นนำ 0-1 ยิงแบบเน้นทิศทางแบบนั้นแหละที่ทุกคนอย่างเห็น เพราะที่ผ่านมาเขานั้นเหมือนจะยิงแบบเน้นเอาแต่ความแรง ทิศทางไม่ค่อยมี ทำให้เราเห็นนูนเญซยิงชนเสาชนคานแทบหักหลายๆ ครั้งซึ่งผลจากการยิงในวันนี้ทำให้เขากลายนักเตะคนแรกของพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้ที่ยิง 10 ประตูและแอสซิสต์ 10 ครั้ง (รวมทุกรายการ) รวมไปถึงทำให้เจ้าตัวยิงครบ 100 ประตูในชีวิตการค้าแข้งไปเป็นที่เรียบร้อย (รวมทั้งหมด 101 ประตู)และในเกมนี้ก็เป็นอีกเกมที่นูนเญซนั้นโชว์ฟอร์มเป็นที่น่าพอใจสมควร เพราะเขาสามารถคุกคามแนวรับของบอร์นมัธได้หลายต่อหลายครั้ง เกือบทำแอสซิสต์ให้กับโคนอร์ แบรดลีย์อีกด้วย รวมไปถึงการลงมาช่วยเกมรับในฝั่งซ้ายอีกด้วย รับสนุก-รุกก็เพลิดเพลินจริงๆ ในเกมนี้และนี่คือสถิติของนูนเญซในเกมนี้ครับสัมผัสบอล 45 ครั้งผ่านบอล 25 ครั้ง (แม่นยำ 80%)ชนะการแทคเกิล 2 ครั้ง (ทั้งหมด 3 ครั้ง)บล็อคลูกยิง 1 ครั้งแย่งบอลกลับมาครอง 2 ครั้งชนะการดวลกลางอากาศ 2 ครั้งคีย์พาส 3 ครั้งโอกาสยิง 3 ครั้ง (เข้ากรอบ 3 ครั้ง)2 ประตูสถิติหลังเกมที่น่าสนใจลิเวอร์พูลชนะเกมเยือนในทุกรายการ 3 เกมหลังสุดด้วยผลสกอร์รวม 8-0 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ชนะเกมเยือน 3 เกมติดต่อกันโดยที่ไม่เสียประตูเลยนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2022 ที่ในตอนนั้นชนะเกมเยือนแบบไม่เสียประตูติดต่อกัน 5 เกมดาร์วิน นูนเญซนั้นยิงประตูไปแล้ว 101 ประตูตลอดอาชีพการค้าแข้ง รวมทั้งทีมชาติและสโมสร (ทีมชาติอุรุกวัย 8 ประตู, เปญารอล 4 ประตู, อัลเมเรีย 16 ประตู, เบนฟิกา 48 ประตูและลิเวอร์พูล 25 ประตู)ดาร์วิน นูนเญซกลายเป็นนักเตะ "คนแรก" ของพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้ที่สามารถทั้งยิงและแอสซิสต์แตะหลัก 10 ประตู (รวมทุกรายการ)มีเพียงแมนเชสเตอร์ ซิตีที่ทำผลงานได้ดีกว่าในการเจอกับบอร์นมัธ เพราะบอร์นมัธแพ้แมนซิตี้ไป 13 เกมและเสียประตูไป 44 ประตูในพรีเมียร์ลีก ส่วนกับลิเวอร์พูลนั้นพวกเขาแพ้ไป 11 ครั้งและเสีย 43 ประตู และบอร์นมัธนั้นแพ้ต่อลิเวอร์พูลด้วยผลต่างประตู 3 ประตูขึ้นไปไปแล้ว 8 เกมตลอดการเจอกัน 10 เกมลีกหลังสุดเป็นครั้งแรกในรอบ 12 เกมลีกหลังสุดที่บอร์นมัธนั้นไม่สามารถยิงประตูได้ รวมไปถึงนี่เป็นการพ่ายแพ้เกมพรีเมียร์ลีกในบ้านที่ย่อยยับที่สุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2023 ที่แพ้ต่ออาร์เซนอล 0-4เกมนี้เป็นเกมแรกในฤดูกาลนี้ที่ลิเวอร์พูลสามารถยิงประตูในเกมเยือนพรีเมียร์ลีกได้ถึง 4 ประตูและเป็นเกมที่มีผลต่างประตูในเกมเยือนที่ห่างที่สุดนับตั้งแต่ที่บุกไปถล่มลีดส์ ยูไนเต็ดในเดือนเมษายน 2023 1-6ดิโอโก โชตายิงประตูที่ 10 และ 11 ในฤดูกาลนี้ไปเป็นที่เรียบร้อย (รวมทุกรายการ) และการทั้งยิงและแอสซิสต์ในเกมนี้ ทำให้เขาทำสถิติยิงและแอสซิสต์ในเกมเดียวไปแล้ว 6 ครั้ง (เฉพาะพรีเมียร์ลีก) ซึ่ง 5 ครั้งจากทั้งหมดมาจากการเล่นในฐานะทีมเยือนโคนอร์ แบรดลีย์กลายเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดอันดับ 3 ของลิเวอร์พูลที่สามารถทำแอสซิสต์ได้ตั้งแต่เกมแรกที่ลงเล่นในพรีเมียร์ลีกในวัย 20 ปี 196 วัน โดย 2 คนก่อนหน้านี้ที่สามารถทำแอสซิสต์ได้ตั้งแต่เกมเดบิวต์ในพรีเมียร์ลีกกับลิเวอร์พูลก็คือ จอร์ดอน ไอบ์ (17 ปี 162 วัน) และโจ โกเมซ (18 ปี 78 วัน)บทความที่เกี่ยวของเหตุใดวาตารุ เอนโดถึงสำคัญกับลิเวอร์พูล จากกัปตันทีมชาติญี่ปุ่นสู่ตัวหลักหงส์แดง5 ประเด็นหลังเกมคาราบาวคัพ หงส์แดงแซงเจ้าสัว สำรองเปลี่ยนเกม!!!ซาลาห์เบิ้ล 2, โชตาเปลี่ยนเกม!!! 5 ประเด็นหลังเกมลิเวอร์พูล พบ นิวคาสเซิลตัดเกรด 20 นักเตะลิเวอร์พูลหลังผ่านไปครึ่งซีซั่นแดงเดือดของแทร่!!! 5 ประเด็นหลังเกมลิเวอร์พูลไล่ตีเสมออาร์เซน่อลขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจากOpta AnalystWhoscoredOfficial Facebook ของลิเวอร์พูล, บอร์นมัธ และพรีเมียร์ลีกOfficial Instagram ของอเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ (@alemacallister)ภาพปก 1, ภาพปก 2, ภาพปก 3, ภาพประกอบ 1, ภาพประกอบ 2, ภาพประกอบ 3, ภาพประกอบ 4, ภาพประกอบ 5 และภาพประกอบ 6 ส่องนักบอลตัวเต็ง ดูสดระเบิดแมทช์สุดมันส์บน App TrueID โหลดฟรี