หลังจากที่ยืดเยื้อกันมาเป็นหลักปี นับตั้งแต่ที่ตระกูลเกลเซอร์ประกาศขาย "ปีศาจแดง" สโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในช่วงปลายปี 2022 จนกลับคำไปๆ มาๆ อยู่หลายครั้ง มีอภิมหึมามหาเศรษฐีหลายคนอยู่เช่นกันที่สนใจในดีลนี้ มีตั้งแต่กลุ่มทุนจากตะวันออกกลางและสุดท้ายบทสรุปก็มาลงเอยที่ "เซอร์จิม แรทคลิฟฟ์" มหาเศรษฐีชาวอังกฤษได้เข้ามาซื้อหุ้นจำนวน 25% และได้สิทธิในการบริหารทีมฟุตบอล โดยในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ทางสมาคมฟุตบอลอังกฤษและพรีเมียร์ลีกได้รับรองการซื้อหุ้นในครั้งนี้อย่างเป็นทางการแล้วและสำหรับบทความนี้ ผมก็จะพาคุณผู้อ่านไปทำความรู้จักกับเซอร์จิมว่าเป็นใครมาจากไหนและทำไมเขาถึงได้สนใจที่เข้ามาซื้อหุ้นแมนยู เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปดูกันเลยครับเซอร์จิม แรทคลิฟฟ์ในวัย 71 ปี เขาเป็นเจ้าของธุรกิจปิโตรเคมีที่มีชื่อ INEOS ซึ่งเป็นบริษัทเคมีภัณฑ์อันดับที่ 4 ของโลก โดยทรัพย์สินของเซอร์จิมที่มีการเปิดเผยจาก Bloomberg Billionaires Index อยู่ที่ 13.6 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ทาง Sunday Times Rich List ได้บอกว่าเขามีทรัพย์สินที่ประเมินคร่าวๆ อยู่ที่ 29.6 พันล้านปอนด์ซึ่งกลายเป็นคนที่รวยที่สุดอันดับที่ 2 ของสหราชอาณาจักรผมเชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะยังไม่รู้ แต่ก็เชื่อว่าอีกหลายคนก็รู้แล้วเช่นกันว่าเซอร์จิมนั้นเป็นแฟนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว โดยที่นักเตะคนโปรดของเซอร์จิมก็คือ "เดอะ คิง" เอริก คันโตนา รวมไปถึงเรื่องที่เขาเคยพยายามยื่นซื้อเชลซีต่อจากโรมัน อับราโมวิชในช่วงที่ทรัพย์สินของเสี่ยหมีถูกอายัดจากรัฐบาลอังกฤษในช่วงปี 2022 ผลจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน เซอร์จิมนั้นมีวัยเด็กที่เติบโตมาในย่านเฟลส์เวิร์ธในเมืองแมนเชสเตอร์ ภายหลังครอบครัวของเขาย้ายไปอยู่ที่ยอร์คเชียร์ เขาได้เข้าเรียนที่ Beverley Grammar School หลังจากนั้นก็เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮมในสาขาวิศวกรรมเคมี หลังจบมาก็ได้เข้าไปทำงานที่ Esso บริษัทน้ำมันรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของโลก และในปี 1992 เขาก็ได้เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทเคมีภัณฑ์ Inspec ก่อนที่ 6 ปีต่อมาจะก่อตั้ง INEOS ที่ได้เกริ่นไปในช่วงต้นมาในพาร์ทของกีฬา นอกจากแมนยูแล้ว เซอร์จิมนั้นคือเจ้าของทีมทีมฟุตบอลอย่าง "นีซ" ทีมในลีกเอิง ฝรั่งเศสและก่อนหน้านั้นในปี 2017 อย่างโลซาน-สปอร์ตในสวิตเซอร์แลนด์ และไม่เพียงแต่เป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอล เซอร์จิมนั้นยังเป็น 1 ใน 3 เจ้าของทีมรถแข่งสูตรหนึ่งที่ประสบความสำเร็จที่สุดทีมหนึ่งอย่าง Mercedes F1, เจ้าของทีมเรือใบ Britannia sailing และทีมจักรยานที่สามารถก้าวไปคว้าแชมป์จักรยานทางไกลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอย่างตูร์ เดอ ฟรองส์ไม่เพียงแต่เรื่องของกีฬาเท่านั้น ขึ้นชื่อว่านักธุรกิจแล้วเซอร์จิมก็มีอีกหลากหลายธุรกิจที่เขาเป็นเจ้าของอยู่ ไม่ว่าจะเป็นผับในลอนดอน, โรงแรมแฮมป์เชียร์ใกล้กับเซาแธมป์ตัน, รีสอร์ทสกีในฝรั่งเศส และทรัพย์สินอีกเยอะแยะมากมายตัดภาพมาที่แมนยูกันครับ สำหรับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เซอร์จิมเคยพูดถึงไว้ในช่วงที่ยังไม่ได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการว่า"ในมุมมองของผมที่มองไปที่แมนยู ถ้าเราลงทุนแม้ว่าราคาแพงแต่ถ้าหากเราลงทุนแล้วจะไม่ลงทุนแค่ปีสองปี แต่เราจะมองไปถึง 10 ปี ซึ่งถึงตอนนั้นเราน่าจะอยู่ในจุดที่ดีและผมไม่คิดว่าเงินที่จ่ายไปจะสูญเปล่า"และหลังจากที่ตระกูลปลิงเกลเซอร์ประกาศขายทีม INEOS ที่นำโดยเซอร์จิมก็ได้ทำการติดต่อทันทีและหลังจากที่ยืดเยื้อกันมานานในที่สุดดีลก็จบที่การซื้อหุ้นสโมสรจำนวน 25% พร้อมกับอำนาจในการบริหารทีมในเรื่องของฟุตบอลซึ่งมูลค่าในดีลนี้อยู่ที่ 1.3 พันล้านปอนด์ นอกจากนี้เซอร์จิมจะลงทุนอีก 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐในการปรับปรุงสนามโอลด์ แทรฟฟอร์ดในมุมมองส่วนตัวของผมที่ถึงแม้จะเป็นแฟนลิเวอร์พูล คู่แข่งโดยตรงของแมนยู แต่ผมมองว่าแมนยูดูดีขึ้นแน่นอนในยุคของเซอร์จิม เพราะนับตั้งแต่ที่การซื้อขายลงตัว ก่อนที่จะมีการประกาศอย่างเป็นทางการด้วยซ้ำ การดำเนินงานของแมนยูดีขึ้นเรื่อยๆ ในเรื่องหลังบ้าน เรื่องผลงานหน้างาน ในสนามไม่ขอพูดถึงก็แล้วกันนะครับ เพราะการที่จะดึงตัวแดน แอชเวิร์ธ ที่ตอนนี้กลายเป็นอดีตผู้อำนวยการกีฬาของนิวคาสเซิล (ตอนนี้แอชเวิร์ธอยู่ในช่วง Gardening Leave) มันก็แสดงให้เห็นถึงความทะเยอทะยานในการที่จะซ่อมแซมและทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่ตระกูลเกลเซอร์ได้สร้างไว้ เพราะถ้าหากคนที่ติดตามฟุตบอลอังกฤษมาก็น่าจะรู้จักชื่อเสียงของแอชเวิร์ธเป็นอย่างดี ยิ่งในช่วงหลังๆ เขายิ่งมีชื่อเสียงขึ้นมา สามารถเข้าไปอ่านบทความที่ผมได้เขียนถึงแอชเวิร์ธได้ที่ ทำความรู้จัก "แดน แอชเวิร์ธ" เต็ง 1 ผอ.กีฬาคนใหม่ของแมนยู (พร้อมผลงาน)https://x.com/ManUtd/status/1760557785144869334?s=20แถมล่าสุดก็มีรายงานว่าเซอร์จิมสั่งให้โอมาร์ เบร์ราดา ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการที่แมนยูไปดึงตัวมาจากแมนเชสเตอร์ ซิตีนั้น ดูแลในเรื่องของการจ่ายเงินค่าเหนื่อยของนักเตะ ให้จ่ายตามผลงานซึ่งส่วนตัวผมมองว่านี่แหละคือหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้แมนยูมีวิกฤติ เพราะการที่นักเตะคนนึงได้เงินเดือนที่ไม่ได้สมเหตุสมผลกับผลงานเลย มันทำให้พวกเขานั้นไม่ได้มีแรงจูงใจและไม่มีความตั้งใจที่จะเล่นให้กับทีมเลย ผมเชื่อว่าแฟนแมนยูก็เห็นมาตลอดไม่ว่าจะเป็นพอล ป็อกบา, เจสซี ลินการ์ดและอเล็กซิส ซานเชส อดีตนักเตะของทีมที่ได้รับค่าเหนื่อยแพงระยับ หรือแม้กระทั่งในทีมชุดปัจจุบันก็เช่นกันอย่างมาร์คัส แรชฟอร์ดที่รับต่อสัปดาห์ในตอนนี้ที่ 350,000 ปอนด์/สัปดาห์ การที่เอะอะขึ้นค่าเหนื่อยให้นักเตะหรือให้นักเตะลงเล่นด้วยค่าเหนื่อยแพงๆ มันคือ "มะเร็ง" ที่กัดกินแมนยูอยู่ในทุกวันนี้โอเคแหละ แมนยูนั้นมีชื่อเสียง มีประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ ใครๆ ก็อยากมาเล่นให้ สามารถดึงดูดได้ง่าย แต่ก็มีนักเตะจำนวนไม่น้อยที่มองถึงเรื่องเงินในการเล่นฟุตบอล เพราะฉนั้นก็มีนักเตะหลายๆ คนที่ลงเล่นให้แมนยูเพื่อเงินไม่ได้เพื่อแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เราจึงได้เห็นนักเตะหลายๆ คนแสดงออกถึงความไม่ทุ่มเทให้กับแมนยูและมันก็ส่งผลถึงในสนามด้วย นั่นจึงเป็นเหตุผลที่แมนยูควรจัดการเรื่องค่าเหนื่อยนักเตะ ควรมีเพดานค่าเหนื่อยและจัดสรรค่าเหนื่อยให้เหมาะสมกับนักเตะ ไม่ใช่เอะอะขึ้นค่าเหนื่อยเพียงเพราะนักเตะได้เล่นได้ดีเพียงไม่กี่เกมหลังจากนี้ต้องมารอดูกันครับว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในการบริหารเซอร์จิม แรทคลิฟฟ์นั้นจะไปในทิศทางไหน จะดีขึ้นหรือไม่ จะดีขึ้นมากน้อยแค่ไหน หลังจากที่ทนทุกข์กับการบริหารจากตระกูลเกลเซอร์เพียงฝ่ายเดียว ส่วนตัวผมว่ามองว่าดีขึ้นแน่นอน ดูจากทิศทางการทำงานที่สื่อรายงานและคงไม่มีแย่ไปกว่าการที่ให้ตระกูลเกลเซอร์บริหารฝ่ายเดียวแน่นอนบทความที่เกี่ยวข้องทำความรู้จัก "แดน แอชเวิร์ธ" เต็ง 1 ผอ.กีฬาคนใหม่ของแมนยู (พร้อมผลงาน)วิลลาได้เต้น ผีแดงได้แต้ม!!! 5 ประเด็นหลังเกมแอสตันวิลลา พบ แมนยูฮอยลุนด์ปลดล็อก!!! 5 ประเด็นหลังเกมแมนยู พบ แอสตันวิลลาวารานรับจบ, นูนเญซพึ่งไม่ได้!!! 5 ประเด็นหลังเกมแดง (ไม่) เดือดผีปลิว UCL, เสียแมคไกวร์!!! 5 ประเด็นหลังบาเยิร์นดีดแมนยูตกรอบ UCLขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจากThe AthleticOfficial X ของสโมสรนีซ, สมาคมฟุตบอลอังกฤษและแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดภาพปก 1, ภาพประกอบ 1, ภาพประกอบ 2, ภาพประกอบ 3 และภาพประกอบ 4ห้องพูดคุยฟุตบอล วิเคราะห์นักเตะ